ความในใจจากคนที่ถูกบูลลี่มาตั้งแต่เด็กจนถึงวัยทำงาน

สวัสดีครับ วันนี้ผมถอดล็อกอินเดิมออกเนื่องจากไม่อยากให้ใครทราบตัวตนของผมใน Pantip วันนี้ผมจะมาระบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมและผลกระทบที่ตามมาจากการบูลลี่ด้วยถ้อยคำหรือความรุนแรง

ผมเป็นคนนึงที่ถูกกลั่นแกล้ง (บูลลี่ ศัพท์ที่ใช้ในปัจจุบัน) ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งตอนนี้ทำงานแล้วก็ยังโดนบูลลี่อยู่ ตอนผมเป็นเด็ก ม.1 - ม.3 เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตผม เมื่อผม ม.ต้น ผมได้เข้าเรียนที่โรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง เนื่องจากเป็นคนที่เรียนไม่ค่อยเก่งนัก จึงได้อยู่ห้องท้าย (จัดอันดับตามคะแนนสอบเข้า) ซึ่งเป็นห้องที่เต็มไปด้วยเพื่อนที่ไม่ค่อยดี สูบบุหรี่ ชกต่อย ไถ่เงิน กลั่นแกล้ง ซึ่งเหยื่อประจำห้องก็หนีไม่พ้นผม ลักษณะของผมคือคนเงียบๆ ไม่ชอบสุงสิงกับใคร ชอบทำอะไรคนเดียว มีลักษณะแบบ Introvert ไม่ค่อยมีเพื่อน แน่นอนว่าคนประเภทนี้ต้องตกเป็นเหยื่อของการกลั่นแกล้งอย่างแน่นอน ช่วง ม.1 - ม.3 ผมโดนบูลลี่ค่อนข้างบ่อย ทั้งไถ่ตัง ค่าขนมผม 50 บาท/วัน ต้องโดนอย่างน้อย 20 บาท บังคับให้เล่นไพ่ บังคับให้ทำการบ้านให้ ทำตัวปัญญาอ่อนต่อหน้าคนอื่น หากผมไม่ยอมยังไง ผมก็จะโดนตบหัว เอาขยะมายัดใส่กระเป๋า เอาดินมายัดใส่กางเกงช่วงที่นั่งเข้าแถวบ้าง ผมเป็นคนที่ไม่ตอบโต้ใดๆ ได้แต่แสยะยิ้มกลับไป โดนแบบนี้ซ้ำๆ ถึง 3 ปี ช่วงนั้นผมจึงกลายเป็นเด็กที่ค่อนข้างมีปัญหา ผลการเรียนต่ำ บางทีก็โกหกพ่อแม่เพื่อที่จะไม่ต้องไปโรงเรียน มีความรู้สึกโกรธ เกลียดชัง ส่งผลให้ผมเกลียดสังคม เกลียดคน แช่งคนที่ทำกับผมแบบนี้ให้ตาย ๆ ไปซะ เคยมีแม้กระทั่งความคิดฆ่าตัวตาย ซึ่งผมไม่กล้าลงมือทำจริงๆ สักที หลายคนคงสงสัยว่าทำไมถึงไม่บอกอาจารย์ ผมก็ตอบตรงนี้เลยว่าฟ้องอาจารย์มันไม่ช่วยอะไร มันยิ่งทำให้เรื่องหนักขึ้นกว่าเดิม แม้แต่ตัวอาจารย์เองก็ยังนำเรื่องที่ผมเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยสุงสิงกับใครมาล้ออย่างสนุกปาก ผมจึงไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น คำถามที่ว่าทำไมถึงไม่ฟ้องพ่อแม่ คำตอบคือผมไม่อยากให้ท่านมากังวลกับเรื่องแบบนี้ วันที่ผมมีความสุขที่สุดในช่วงเวลานั้นคือ วันที่ผมจบ ม.ต้น

จนปัจจุบันผมทำงานแล้ว แม้ว่าการบูลลี่ด้วยความรุนแรงจะหายไป แต่การสร้างแผลทางใจด้วยวาจากลับหนักขึ้นกว่าเดิม ทั้งพูดเหน็บแนม จิกกัด พูดให้ผมรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าต่ำลง หรือพูดให้ผมดูเป็นตัวตลกท่ามกลางผู้อื่น ทุกวันผมระแวงว่าวันนี้ผมจะถูกเหน็บแนมยังไง เขาจะเอาผมไปพูดให้ดูเป็นตัวตลกในสายตาคน เพื่อหัวเราะสนุกสนานอีกไหม เมื่อผมโดนแบบนั้น สิ่งที่ผมทำได้คงเป็นแค่ยิ้มเบาๆ และเก็บซ่อนความรู้สึกเท่านั้น บางวันผมเก็บมาคิดจนนอนไม่หลับ ผมคิดว่าปัญหาคงเกิดจากผมที่เอาแต่ซ่อนความรู้สึก ไม่พูดอะไร เขายิ่งได้ใจ เรื่องมันถึงได้หนักขึ้นทุกวันๆ แต่ผมเองก็รู้ว่าหากพูดอะไรออกไป ไม่ได้ช่วยอะไรทำให้เรื่องมันแย่กว่าเดิม เพราะคนแบบนี้เขาไม่ได้แคร์ความรู้สึกของคนอื่นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว 

ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าวัยทำงานยังจะต้องเจอการบูลลี่แบบนี้อีก มันทำให้ผมใช้เวลาช่วงตื่นนอนหรือก่อนนอน คิดย้อนไปถึงคำพูดต่างๆ ที่สร้างแผลในใจ ย้อนไปถึงช่วง ม.ต้น ที่อยากลืมที่สุด มันทำให้ผมไม่กล้าเข้าสังคมใหม่ๆ ที่ผมยังไม่ไว้ใจ ลบคอนแทคของทุกคนที่ผมคิดว่าเป็นเพื่อน จนกระทั่งหวาดระแวง มีทัศนคติด้านลบต่อตนเอง เก็บทุกคำพูดของคนอื่นมาคิดจนนอนไม่หลับ แผลกายไม่เวลาไม่นานก็สมาน แต่แผลใจมันฝังลึกนานมากๆ

ฝากถึงทุกท่านที่เป็นนักบูลลี่ทั้งหลาย พฤติกรรมที่น่ารังเกียจที่คุณกระทำ ไม่ว่าจะลดทอนคุณค่าของคนอื่น การบูลลี่ด้วยวาจาทั้งหลาย หลายๆคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา คนที่บูลลี่อาจจะไม่ได้คิดอะไรมากมายหรือรู้สึกสนุกปาก แต่คนที่โดนเขาไม่รู้สึกแบบนั้น มันรู้สึกว่าตนเองถูกลดทอนคุณค่า ถูกทำให้กลายเป็นตัวตลกในสายตาของคนอื่น มันเป็นแผลทางใจอย่างหนึ่งที่ยากจะลืมเลือน แน่นอนว่าคุณเป็นคนบูลลี่ คุณย่อมไม่เข้าใจความรู้สึกพวกนี้ 

ฝากถึงครูอาจารย์ ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาใหญ่ในโรงเรียน อย่าคิดว่าเป็นเด็กโตมาเดี๋ยวทุกอย่างก็ดีขึ้นเอง การโดนบูลลี่มันส่งผลต่อเนื่องถึงวัยผู้ใหญ่ มันไม่ใช่สิ่งที่พอโตแล้ว มันจะหาย หากครูหรือผู้บริหารไม่ให้ความสนใจใดๆ ก็จะกลายเป็นสิ่งที่เห็นในหน้าหนังสือพิมพ์ เด็ก ม.ต้น เอาปืนพ่อมายิงคนที่รังแกจนตาย หรือไม่ฝ่ายที่ถูกบูลลี่จะฆ่าตัวตายเสียเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่