ยืมล็อคอินเขาเล่น - ครั้งเดียวก็เกินพอ เข็ดขยาดกับงานเลี้ยงรุ่น

ยืมล็อคอินเขาเล่น   ไม่เกี่ยวกับเจ้าของล็อคอินตัวจริง 

สมัยเรียนมัธยมได้ย้ายตามครอบครัวไปอยู่ต่างประเทศ  หลังจากนั้นไม่มีโอกาสติดต่อเพื่อนฝูง และไม่ได้กลับมาที่อำเภอนี้อีกเลย    
 
ตลอดเวลาที่อยู่ต่างประเทศ 26ปี  ได้กลับมาเที่ยวเมืองไทยบ้าง ไปเที่ยววนเวียนแค่  กรุงเทพ เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต  กระบี่ และหาดใหญ่  

เป็นคนไม่ชอบเล่นโซเชียลฯ ไม่มีเฟสฯ ไม่มีไอจี ไม่มีทวิตฯ    แต่ ใช้ whatsapp  เพราะที่ทำงานบังคับ  และใช้ไลน์ติดต่อกับครอบครัวและญาติสนิทที่เป็นคนไทยเท่านั้น

ปีที่แล้วได้มีโอกาสกลับเมืองไทย เลยตั้งใจแวะมารำลึกความหลังสมัยเด็กที่อำเภอนี้ ในฐานะนักท่องเที่ยว โดยพักอยู่ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง    ตอนไปหาของกินที่ตลาดเช้า บังเอิญเจอเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนหนึ่ง เพื่อนคนนี้สมัยเรียนไม่ค่อยสนิทกัน  พวกเราพูดคุยทักทายกันตามประสา และบังเอิญได้มาอีกสองเด้ง   เด้งแรก เขาบอกว่าคืนวันเดียวกันจะมีงานเลี้ยงรวมรุ่นคืนสู่เหย้า  เด้งที่สอง งานเลี้ยงจัดที่ห้องประชุมสัมนาของรีสอร์ตที่เราพักอยู่

เขาเลยชวนให้ไปร่วมงานเซอร์ไพร์สบรรดาเพื่อนๆ  ซึ่งตัวเราได้รับปากตกลงและรู้สึกดีใจมากที่สุดที่จะได้เจอเพื่อนๆครบชั้น ก่อนเข้าไปในงาน เราพยายามเดินหาตัวประธานรุ่นที่เป็นโต้โผใหญ่จัดงาน เพราะต้องการซื้อบัตรเชิญเข้างาน จะให้เดินเข้าไปตัวเปล่าเฉยๆดูน่าเกลียด ทุกอย่างมันต้องมีค่าใช้จ่าย  พอเจอตัวและได้คุยกัน  เขาบอกว่าคนกันเองทั้งนั้น แค่มางานเห็นหน้ากันก็ดีใจแล้ว
  
ตอนเข้าไปในงาน เพื่อนๆทุกคนต่างตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะได้เจอเราอีกครั้งหลังจากหายหน้าไป 26ปี  ส่วนตัวก็ดีใจมากที่ได้เจอทุกคน 
พอเดินเข้าไปทักทายกลุ่มเพื่อนที่สนิทกันมากที่สุดสมัยเรียน สีหน้าพวกเขาเฉยๆไม่รู้สึกยินดียินร้าย  ต่างกับตัวเราซึ่งดีใจจนออกนอกหน้ามากไปหน่อย พอเริ่มคุยกันก็ถามคำตอบคำ โดยเฉพาะเรื่องการงาน  พวกเขาทุกคนต่างมีตำแหน่งหน้าที่การงานดีมั่นคง พอรู้ว่าเราทำงานอะไร  มีบางประโยคทำเอาเราถึงกับเหวออ้าปากค้างไปต่อไม่ถูกเลย   งานใช้แรงงานแบบนี้ ที่เมืองไทยใช้ต่างด้าวทำ  ค่าแรงถูกยิ่งกว่าค่าแรงขั้นต่ำอีก    มาเที่ยวหลายเดือนแบบนี้ ที่ทำงานไม่ไล่ออกเหรอ?  แถมยังได้ค่าแรงชดเชยในระหว่างหยุดงานอีก  สวัสดิการดีกว่าตำแหน่งหัวหน้างานที่เมืองไทยเนอะ
เราไม่อยากให้บรรยากาศการสนทนาเคร่งเครียดมากไปกว่านี้ เลยเปลี่ยนเรื่องสนุกๆคุยแทน โดยเฉพาะเรื่องมิตรภาพความทรงจำที่ดีสมัยเรียน  แต่ดูเหมือนคำพูดแต่ละคำของพวกเขา บ่งบอกให้รู้ว่า อดีตส่วนอดีต  ตอนนี้ปัจจุบัน มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป  สังคมพวกเขาตอนนั้นกับตอนนี้ สถานะภาพมันต่างกัน  ฟังแล้วรู้สึกผิดหวังน้อยใจนิดๆ แต่ก็เข้าใจและเคารพความคิดพวกเขา

พอปลีกตัวออกมาคุยกับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง ก็รู้สึกไม่ต่างจากกลุ่มแรกเท่าไหร่  กลุ่มนี้สมัยเรียนจะเป็นเด็กเรียนเก่งมาก ท็อปทุกวิชา เกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.8 ทุกเทอม  ในอดีตถึงไม่สนิทกันมากเหมือนกลุ่มแรก   แต่พวกเขายังดูยิ้มแย้มแจ่มใส ชวนคุยหลายเรื่องได้มากกว่า   พอเราเรียกชื่อพวกเขาเฉยๆเหมือนสมัยเรียน  เช่น A  B  C  D E F   โดยไม่มียศหรือตำแหน่งนำหน้า     ดูเหมือนพวกเขาแสดงสีหน้าไม่ค่อยโอเค    เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มนั้นเลยแกล้งเรียกชื่ออีกคน เหมือนแสดงให้เรารู้ว่าควรเรียกอย่างไรถึงจะถูกต้อง  เช่น  หมอA   อาจารย์B    สารวัตรC   ผอ.D    เชฟE    ดร.F    บลาๆๆ
สังคมต่างประเทศที่เราอยู่ ส่วนใหญ่การเรียกบุคคลโดยใช้ยศตำแหน่งนำหน้าชื่อนั้น จะใช้เรียกเฉพาะเวลาทำงาน ปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น เพื่อเป็นการให้เกียรติในตำแหน่งทักษะวิชาชีพของคนๆนั้น  นอกเวลางานก็ถอดหัวโขนออก และกลับมาเรียกชื่อกันเฉยๆเหมือนเดิม     
แต่สังคมไทยจะไม่เป็นอย่างนั้น  นอกเวลางานแล้วยังคงใส่หัวโขนเรียกกันตามยศถาบรรดาศักดิ์อยู่

เมื่อคลิกกับกลุ่มนี้ไม่ได้  เลยย้ายมาคุยกับอีกกลุ่มหนึ่ง  กลุ่มนี้ก็ค่อนข้างต่างจากสองกลุ่มที่ผ่านมา  เป็นกลุ่มที่มีความขยันหมั่นเพียร ทำบรรยากาศงานเลี้ยงให้กลายเป็นตลาด  พวกที่ชอบเขาของมาขายแกมบังคับให้เพื่อนๆช่วยอุดหนุน และพวกที่โน้มน้าวเพื่อนๆมาเป็นดาวไลน์งานขายตรงของตัวเอง  พอเราไม่สนใจ กริยาสีหน้าพวกเขาก็เปลี่ยนไปตามกลไกของตลาด

พอเปลี่ยนมาคุยกับกลุ่มสุดท้าย  กลุ่มนี้ก็ไม่น้อยหน้า มีความเป็นเอกลักษณ์ค่อนข้างสูง นั่นคือกลุ่มอวดลูกอวดผัว  ลูกฉันเรียนเก่งได้ทุนอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นตัวแทนโรงเรียน จังหวัด ภาค ประเทศ ไปแข่งที่นั่นที่นี่   ผัวฉันทำงานเป็นหัวหน้า เจ้าคนนายคน  ได้เงินเดือนเท่านั้นเท่านี้ ซื้อไอ้นั่นไอ้นี่ให้ฉัน พาฉันไปกิน ไปเที่ยวที่นั่น ไปฮันนีมูนรอบสองที่นี่  บลาๆๆ
พวกคนที่มีลูกมีผัว พูดข่มพวกคนโสดตัวคนเดียวว่า ฉันมีผัวไว้อยู่เคียงข้างเป็นเพื่อนคู่คิดมิตรคู่ใจ ยามแก่เฒ่าก็มีลูกมาคอยดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำฝากผีฝากไข้ได้  แล้วพวกเธอที่โสดๆกันอยู่  ไม่กลัวไม่ห่วงอนาคตตัวเองบ้างเหรอ อีกหน่อยจะมีใครมาดูแลปรนนิบัติ แก่เฒ่าตัวคนเดียวมันลำบากยากเข็ญ  บลาๆๆๆๆ

ส่วนเพื่อนดีๆเสมอต้นเสมอปลาย ยังทักทายกันเป็นห่วงเป็นใยกันไม่ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ก็ยังคงมีเหลืออยู่ในงาน แต่จำนวนน้อยมาก

เราตัดสินใจเดินออกจากงานทันที  ไม่น่าเสียเวลามางานนี้เลย เสียความรู้สึกมาก นี่มันงานเลี้ยงรุ่นหรืองานโอ้อวดความสำเร็จกันแน่?  รู้งี้นอนตากแอร์ กินขนม ดูทีวี อยู่ในห้องยังดีต่อใจมากกว่าอีก
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่