เมื่อเข้าสู่เดือนตุลาคม อากาศก็เริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงก่อนเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วง เมื่อเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนแปลงฤดูก็จะมีช่วงฝน พร้อมพายุอยู่ในหลายๆ วัน ซึ่ง วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา อากาศดีสุดๆ เราจึงตัดสินใจจัดทริปสั้นๆ ขึ้น โดยทริปนี้เป็นทริปเที่ยว 2 วัน 1 คืน ซึ่งถึงแม้ว่าช่วงนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของญี่ปุ่นจะคงที่มากขึ้น แต่ก็ยังคงมีผู้ติดเชื้ออยู่ในจังหวัดต่างๆ อยู่ ผู้คนใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลา และแต่ละร้านก็ยังคงมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอยู่อย่างสม่ำเสมอ ทำให้เราสามารถเที่ยวได้อย่างสบายใจมากขึ้น และคนญี่ปุ่นเองก็ออกมาเที่ยวกันเพิ่มมากขึ้น ครั้งนี้จึงเป็นทริปสั้นๆ ที่โอซาก้า และนารา โดยเน้นเที่ยวแบบสบายๆ ผู้คนไม่แออัด
ไฮไลท์
"จังหวัดนารา"
- เดินเล่นย่านร้านค้าในนารา / ย่านเมืองโบราณ "นารามาจิ"
- วัดโทได / สวนนารา พบปะเจ้ากวาง
"โอซาก้า"
- รีวิวโรงแรม SEKAI HOTEL Fuse
- พาชมเมืองฟุเสะ ทางตะวันออกของโอซาก้า
(พาเที่ยวพร้อมแทรกข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยวมือใหม่ ทั้ง การซื้อตั๋ว และวิธีการเดินทาง)
อย่างที่บอกไปคือทริปนี้เราเน้นเที่ยวแบบสบายๆ จึงไม่เน้นที่ๆ มีคนเยอะแออัด อย่างเช่นหากเที่ยวโอซาก้า โดยเฉพาะในเมืองย่านดังอย่างโดทงโบริในตอนนี้ คนก็เริ่มออกมาเที่ยวกันแล้ว บรรยากาศค่อนข้างแออัด จึงเลือกหาที่พักที่อยู่ห่างออกจากย่านแออัดเล็กน้อย อย่างเมืองฟุเสะ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีมากๆ เพราะว่าสามารถเดินทางเข้าเมืองได้ไม่ยาก ในกรณีที่อยากหลีกเลี่ยงย่านแออัด แต่ก็อยากเดินทางไปเที่ยวช้อปในย่านดังอยู่
ส่วนที่เที่ยวที่เสริมมาในทริปนี้ก็คือ นารา ที่มีทั้งธรรมชาติ วัด ศาลเจ้า และย่านร้านค้า ซึ่งบรรยากาศภายในเมืองยังมีกลิ่นอายญี่ปุ่นดั้งเดิมพร้อมๆ กับบรรยากาศสมัยปัจจุบันอยู่
เราจะพูดถึงทริป 1 day ใน “จังหวัดนารา” ก่อน ซึ่งตั้งอยู่ติดโอซาก้าทางทิศตะวันออก สามารถเดินทางจากสถานีใกล้ที่พัก SEKAI HOTEL Fuse จากสถานีฟุเสะ ได้โดยใช้เวลาเดินทางแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
การเดินทางจาก สถานีรถไฟคินเท็ตสึ “สถานีฟุเสะ” ไป สถานีรถไฟคินเท็ตสึ “สถานีนารา” ไปซื้อตั๋วกันเลย
เราจะอธิบายวิธีการซื้อตั๋วเดินทางอย่างง่ายให้ค่ะ
ก่อนอื่นก็ต้องเช็คราคาค่าเดินทางก่อน เช็คได้จากแผนผังที่อยู่บนเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ โดยเราจะต้องรู้ว่าสถานีที่เราจะไปชื่อว่าอะไร ครั้งนี้เราจะไปนาราเพราะฉะนั้นจะไปลงที่ “สถานีคินเท็ตสึ-นารา” ค่าเดินทาง 500 เยน ต่อเที่ยว (หากไม่ทราบว่าต้องลงสถานีไหนก็สามารถสอบถามนายสถานี หรือค้นหาจากแอป Google map ในมือถือดูได้เลย) เมื่อรู้ราคาแล้วก็ไปกดที่ตู้เลย
วิธีซื้อตั๋ว – เริ่มจากกดปุ่มเปลี่ยนภาษาเป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นกด “Purchase ticket” ต่อไปก็กดค่าเดินทางตามปลายทาง ของเราคือ 500 เยน จากนั้นก็ใส่เหรียญหรือแบงค์ตามช่องใส่เงินเลย สุดท้ายรับตั๋วรถไฟ และเงินทอนได้เลย
และวิธีผ่านช่องตรวจตั๋วอัตโนมัติสำหรับตั๋วเดินทางแบบปกติ ขาเข้า ใส่ตั๋วในช่อง TICKET IN แล้วก็รับตั๋วที่ช่อง TAKE TICKET แล้วไปขึ้นรถไฟได้เลย (ส่วนขาออกแต่เสียบตั๋วเข้าเครื่องเท่านั้น)
รถไฟไปนาราจะออกจากชานชาลาหมายเลข 6 เพราะฉะนั้นขึ้นบันไดเลื่อนทางช่องสีแดง
รถไฟไปสถานีคินเท็ตสึนารา จะออกจากชานชาลาหมายเลข 6 เดินทางไป 6 สถานี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 28 นาที หากขึ้นรถไฟที่มั่งหน้าไปสู่นาราก็ไม่ยาก แค่นั่งไปสุดสายเท่านั้น
ระหว่างรอรถไฟก็ได้มุมถ่ายรูปไปอีก
รถไฟมาแล้ว ออกเดินทางกันเลย
เดินทางมาถึงสถานีคินเท็ตสึ-นาราแล้ว ภายในสถานีสวยมากๆ คิดว่าน่าจะเพิ่งปรับปรุงใหม่ได้ไม่นาน ใหม่และสวยมากๆ
แวะถ่ายกันป้ายต้อนรับก็ได้น้า 5555 ถ้าพูดถึงนาราก็ต้องนึกถึง “กวาง” คาแรคเตอร์ฝั่งขวาก็คือมาสคอตจังหวัดนาราแหละ
ออกจากช่องตรวจตั๋วแล้วก็จะเจอบริเวณโล่งๆ มีที่นั่งพักหาข้อมูลเที่ยวในจังหวัดนารา หยิบแผ่นพับแผนที่ข้อมูลท่องเที่ยวได้ตรงโซนรูปล่างซ้ายเลย ถึงจะไม่มีภาษาไทยแต่ก็มีภาษาอังกฤษอยู่ค่ะ และโซนอื่นๆ ก็เป็นร้านค้าทั้งขายของฝาก และของกิน
ออกจากสถานีกัน โดยเดินออกจากประตูทางออกหมายเลข 2 ทางฝั่งขวามือ เป็นทางออกไปสู่ย่านร้านค้า แหล่งของกิน วัดโทไดจิ หรือสวนนารา
เมื่อเดินขึ้นมาสู่ชั้นบนดินแล้ว ก็เข้าสู่ย่านร้านค้า เดินเข้าซอยไปทางขวามือเลย เราจะไปเดินเล่นดูร้านต่างๆ รอบๆ นี้ก่อน
ภายในย่านร้านค้านี้ก็เป็นแหล่งรวมร้านเยอะมากๆ ทั้งร้านอาหาร และร้านขายของฝาก ของจุกจิกแบบญี่ปุ่นๆ
เราว่าจุดเด่นของย่านร้านค้าที่นี่ก็คือ ใครชอบงาน Craft หรืองานฝีมือประดิดประดอย ของจุกจิกน่ารักจะต้องชอบที่นี่มากๆ แน่ๆ เลยค่ะ อย่างเช่นร้านนี้ที่เราไปเจอมา เป็นร้านขายคุกกี้ตกแต่ง ร้านน่ารักสุดๆ ชื่อร้าน "คิมิชากะ KUMI Chaka"
เราซื้อคุ๊กกี้ซูชิมากด้วย ไม่ใช่แค่น่ารักแต่อร่อยด้วยนะคะ หอมอร่อยมาก คุกกี้ไม่แข็งด้วย
ไหนๆ ก็เป็นช่วงฮาโลวีนพอดี ก็เลยซื้อเซตนี้มาด้วย ว่าจะเก็บไว้นานหน่อยค่อยกินเพราะเสียดาย แต่พอได้ลองวันเดียวก็หมดเลย แงง
เข้าสู่โซน “นารามาจิ” กันเลย
เดินเล่นไปเรื่อยๆ ระหว่างทางก็มีซอยแยกออกไป ช่วงนี้สิ้นเดือนตุลาแล้ว กำลังจะเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงของญี่ปุ่นแล้ว ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีนิดๆ แล้วค่ะ
เดินไปเรื่อยๆ ก็จะเข้าสู่ “นารามาจิ” ที่เป็นบริเวณร้านค้าอาคารโบราณ อาคารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม และนี่คือศูนย์ให้ข้อมูลนารามาจิ มีให้เช่าจักรยานด้วย
ทั้งร้านอาหารและร้านค้าระหว่างทางเป็นอาคารโบราณ ได้บรรยากาศสุดๆ
เดินเล่นชิวๆ ได้เพลินมากๆ ดื่มด่ำบรรยากาศญี่ปุ่นได้เต็มที่จริงๆ
หลังจากเดินเล่นภายในย่านร้านค้า และถ่ายรูปบริเวณนี้ไปแล้ว ก็มุ่งหน้าไปวัดโทได และสวนนารากันเลย
ได้เวลาไปเจอกวางแล้ววว
โดยหากเดินจากสถานีคินเท็ตสึมาโดยตรง ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 15-20 นาที หรือ รถบัสมาก็ได้เหมือนกัน แต่เดินมาเรื่อยๆ ชิวๆ ยิ่งช่วงนี้อากาศดีมากๆ เดินไปเหนื่อยเลยค่ะ สบายชิวๆ สุดๆ
นี่ไงง ระหว่างทางเราเจอเจ้ากวางแล้ว กำลังถ่ายรูปกับกวางกันอยู่เลย
พอมาบริเวณนี้ก็จะเจอกวางเรื่อยๆ เลยค่ะ ทั้งเจ้าตัวเล็ก ตัวใหญ่
สบายๆ สุดๆ เลยเจ้าตัวนี้ เราหยุดถ่ายรูปมันไม่ได้เลย น่ารักมากๆ
ที่นี่มีบริการรถลากด้วย
ที่นาราก็มีบริการเช่าชุดยูกาตะอยู่ด้วย ใส่ชุดเดินเล่นในเมืองก็ได้บรรยากาศสุดๆ โดยเฉพาะบริเวณนารามาจิ แต่รูปคุณผู้หญิงคนนี้เป็นชุดกิโมโนแบบจัดเต็ม ถ้าเช่าชุดจะเป็นการแต่งที่สบายๆ กว่านี้ค่ะ
หลังจากช่วงระบาดโควิดหนักๆ เห็นว่าพักการขายอาหารกวางไป แต่ตอนนี้เริ่มกลับมาขายเหมือนเดิมแล้วค่ะ และนี่ก็คือ “ชิกะเซ็มเบ้” เซตละ 200 เยน บางตัวก่อนให้ก็จะโค้งหัวให้เราก่อนด้วยนะคะ บางคนอาจจะเคยเห็นบ้างแล้ว เวลาให้อย่าไปแกล้งมันนะคะ บางตัวอาจจะกัดเสื้อ ดึงเสื้อหรือกระชากของเราไปได้ ถ้าให้ปกติ ไม่แกล้งยื้ออาหารมัน ก็ให้ได้ตามปกติเลย มันจะโค้งให้ด้วย ต้องมาลองนะคะ
ยิ่งเป็นบริเวณใกล้ๆ จุดขาย หรือร้านขายของฝาก ก็จะมารวมตัวกันแบบนี้เลย
ร้านค้าระหว่างทางนอกจากอาหารกวาง ก็มีอาหารคนขายอยู่ด้วย
ระหว่างเราเจอคาเฟ่ร้านนี้ mamejica kitchen มีเครื่องดื่มและอาหาร แล้วก็ซอฟต์ครีม อันนี้เป็นซอฟต์ครีมเจ้ากวาง ตัวซอฟต์ครีมเป็นรสนมอร่อยมากๆ ภายในร้านมีที่นั่งทานอยู่ค่ะ แต่ถ้าใครไม่อยากนั่งที่ร้านก็ซื้อมานั่งที่ม้านั่งที่สวนก็ได้ แต่ต้องคอยระวังเจ้ากวางมาแย่งนะคะ
เดินไปที่วัดโทไดกัน โซนนี้เป็นย่านร้านค้าบริเวณทางเข้าวัดค่ะ มีทั้งเจ้ากวาง แล้วก็ร้านของฝาก ของกินเจ้ากวางกับคน
และนี่ก็คือประตูทางเข้าวัดชั้นแรก “นันไดมง” เป็นประตูไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น โดยมีความสูงถึง 25 เมตร หรือประมาณตึกที่สูงกว่า 8 ชั้นเลย
ดีเทลละเอียดอ่อนมากๆ ทั้งสองฝั่งมีรูปปั้นไม้แกะสลักขนาดใหญ่อยู่อีกด้วย เรียกว่า “นิโอโซ (仁王像)”
และเมื่อเดินผ่านประตูไม้ชั้นแรกไปแล้ว ก็เข้าใกล้บริเวณวัดโทไดแล้ว
เดินไปทางเข้าโดยเดินจนสุดทางแล้วเดินไปทางซ้ายมือ
เข้าทางนี้เพื่อไปซื้อตั๋วเข้าชมกันเลย ในช่วงโคโรน่าแบบนี้ทางวัดหรือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ก็มีมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด ซึ่งที่วัดโทไดเอง ก่อนซื้อตั๋วก็จะต้องล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ล้างมือก่อน
ตั๋วราคาผู้ใหญ่ เพราะตั๋วเข้าชมอาคารวัดโทไดจะอยู่ที่คนละ 600 เยน
แล้วนี่ก็คืออาคารวัดโทได ได้รับการบันทึกว่าเป็นอาคารไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และประดิษฐานพระพุทธรูปไดบุตสึ(大仏) ขนาดใหญ่
พระพุทธรูปไดบุตสึ(大仏) ขนาดใหญ่ หรือ “หลวงพ่อโต” (พระไวโรจนพุทธะ) ที่มีความสูงถึง 15 เมตรเลยทีเดียว
มีต่อนะคะ
[CR] ทริปสั้นคันไซ! สายชิว เที่ยว นารา/โอซาก้า พร้อมรีวิวที่พักโอซาก้า SEKAI HOTEL Fuse เดินทางสะดวก
เมื่อเข้าสู่เดือนตุลาคม อากาศก็เริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงก่อนเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วง เมื่อเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนแปลงฤดูก็จะมีช่วงฝน พร้อมพายุอยู่ในหลายๆ วัน ซึ่ง วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา อากาศดีสุดๆ เราจึงตัดสินใจจัดทริปสั้นๆ ขึ้น โดยทริปนี้เป็นทริปเที่ยว 2 วัน 1 คืน ซึ่งถึงแม้ว่าช่วงนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของญี่ปุ่นจะคงที่มากขึ้น แต่ก็ยังคงมีผู้ติดเชื้ออยู่ในจังหวัดต่างๆ อยู่ ผู้คนใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลา และแต่ละร้านก็ยังคงมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอยู่อย่างสม่ำเสมอ ทำให้เราสามารถเที่ยวได้อย่างสบายใจมากขึ้น และคนญี่ปุ่นเองก็ออกมาเที่ยวกันเพิ่มมากขึ้น ครั้งนี้จึงเป็นทริปสั้นๆ ที่โอซาก้า และนารา โดยเน้นเที่ยวแบบสบายๆ ผู้คนไม่แออัด
ไฮไลท์
"จังหวัดนารา"
- เดินเล่นย่านร้านค้าในนารา / ย่านเมืองโบราณ "นารามาจิ"
- วัดโทได / สวนนารา พบปะเจ้ากวาง
"โอซาก้า"
- รีวิวโรงแรม SEKAI HOTEL Fuse
- พาชมเมืองฟุเสะ ทางตะวันออกของโอซาก้า
(พาเที่ยวพร้อมแทรกข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยวมือใหม่ ทั้ง การซื้อตั๋ว และวิธีการเดินทาง)
อย่างที่บอกไปคือทริปนี้เราเน้นเที่ยวแบบสบายๆ จึงไม่เน้นที่ๆ มีคนเยอะแออัด อย่างเช่นหากเที่ยวโอซาก้า โดยเฉพาะในเมืองย่านดังอย่างโดทงโบริในตอนนี้ คนก็เริ่มออกมาเที่ยวกันแล้ว บรรยากาศค่อนข้างแออัด จึงเลือกหาที่พักที่อยู่ห่างออกจากย่านแออัดเล็กน้อย อย่างเมืองฟุเสะ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีมากๆ เพราะว่าสามารถเดินทางเข้าเมืองได้ไม่ยาก ในกรณีที่อยากหลีกเลี่ยงย่านแออัด แต่ก็อยากเดินทางไปเที่ยวช้อปในย่านดังอยู่
ส่วนที่เที่ยวที่เสริมมาในทริปนี้ก็คือ นารา ที่มีทั้งธรรมชาติ วัด ศาลเจ้า และย่านร้านค้า ซึ่งบรรยากาศภายในเมืองยังมีกลิ่นอายญี่ปุ่นดั้งเดิมพร้อมๆ กับบรรยากาศสมัยปัจจุบันอยู่
เราจะพูดถึงทริป 1 day ใน “จังหวัดนารา” ก่อน ซึ่งตั้งอยู่ติดโอซาก้าทางทิศตะวันออก สามารถเดินทางจากสถานีใกล้ที่พัก SEKAI HOTEL Fuse จากสถานีฟุเสะ ได้โดยใช้เวลาเดินทางแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
การเดินทางจาก สถานีรถไฟคินเท็ตสึ “สถานีฟุเสะ” ไป สถานีรถไฟคินเท็ตสึ “สถานีนารา” ไปซื้อตั๋วกันเลย
เราจะอธิบายวิธีการซื้อตั๋วเดินทางอย่างง่ายให้ค่ะ
ก่อนอื่นก็ต้องเช็คราคาค่าเดินทางก่อน เช็คได้จากแผนผังที่อยู่บนเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ โดยเราจะต้องรู้ว่าสถานีที่เราจะไปชื่อว่าอะไร ครั้งนี้เราจะไปนาราเพราะฉะนั้นจะไปลงที่ “สถานีคินเท็ตสึ-นารา” ค่าเดินทาง 500 เยน ต่อเที่ยว (หากไม่ทราบว่าต้องลงสถานีไหนก็สามารถสอบถามนายสถานี หรือค้นหาจากแอป Google map ในมือถือดูได้เลย) เมื่อรู้ราคาแล้วก็ไปกดที่ตู้เลย
วิธีซื้อตั๋ว – เริ่มจากกดปุ่มเปลี่ยนภาษาเป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นกด “Purchase ticket” ต่อไปก็กดค่าเดินทางตามปลายทาง ของเราคือ 500 เยน จากนั้นก็ใส่เหรียญหรือแบงค์ตามช่องใส่เงินเลย สุดท้ายรับตั๋วรถไฟ และเงินทอนได้เลย
และวิธีผ่านช่องตรวจตั๋วอัตโนมัติสำหรับตั๋วเดินทางแบบปกติ ขาเข้า ใส่ตั๋วในช่อง TICKET IN แล้วก็รับตั๋วที่ช่อง TAKE TICKET แล้วไปขึ้นรถไฟได้เลย (ส่วนขาออกแต่เสียบตั๋วเข้าเครื่องเท่านั้น)
รถไฟไปนาราจะออกจากชานชาลาหมายเลข 6 เพราะฉะนั้นขึ้นบันไดเลื่อนทางช่องสีแดง
รถไฟไปสถานีคินเท็ตสึนารา จะออกจากชานชาลาหมายเลข 6 เดินทางไป 6 สถานี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 28 นาที หากขึ้นรถไฟที่มั่งหน้าไปสู่นาราก็ไม่ยาก แค่นั่งไปสุดสายเท่านั้น
ระหว่างรอรถไฟก็ได้มุมถ่ายรูปไปอีก
รถไฟมาแล้ว ออกเดินทางกันเลย
เดินทางมาถึงสถานีคินเท็ตสึ-นาราแล้ว ภายในสถานีสวยมากๆ คิดว่าน่าจะเพิ่งปรับปรุงใหม่ได้ไม่นาน ใหม่และสวยมากๆ
แวะถ่ายกันป้ายต้อนรับก็ได้น้า 5555 ถ้าพูดถึงนาราก็ต้องนึกถึง “กวาง” คาแรคเตอร์ฝั่งขวาก็คือมาสคอตจังหวัดนาราแหละ
ออกจากช่องตรวจตั๋วแล้วก็จะเจอบริเวณโล่งๆ มีที่นั่งพักหาข้อมูลเที่ยวในจังหวัดนารา หยิบแผ่นพับแผนที่ข้อมูลท่องเที่ยวได้ตรงโซนรูปล่างซ้ายเลย ถึงจะไม่มีภาษาไทยแต่ก็มีภาษาอังกฤษอยู่ค่ะ และโซนอื่นๆ ก็เป็นร้านค้าทั้งขายของฝาก และของกิน
ออกจากสถานีกัน โดยเดินออกจากประตูทางออกหมายเลข 2 ทางฝั่งขวามือ เป็นทางออกไปสู่ย่านร้านค้า แหล่งของกิน วัดโทไดจิ หรือสวนนารา
เมื่อเดินขึ้นมาสู่ชั้นบนดินแล้ว ก็เข้าสู่ย่านร้านค้า เดินเข้าซอยไปทางขวามือเลย เราจะไปเดินเล่นดูร้านต่างๆ รอบๆ นี้ก่อน
ภายในย่านร้านค้านี้ก็เป็นแหล่งรวมร้านเยอะมากๆ ทั้งร้านอาหาร และร้านขายของฝาก ของจุกจิกแบบญี่ปุ่นๆ
เราว่าจุดเด่นของย่านร้านค้าที่นี่ก็คือ ใครชอบงาน Craft หรืองานฝีมือประดิดประดอย ของจุกจิกน่ารักจะต้องชอบที่นี่มากๆ แน่ๆ เลยค่ะ อย่างเช่นร้านนี้ที่เราไปเจอมา เป็นร้านขายคุกกี้ตกแต่ง ร้านน่ารักสุดๆ ชื่อร้าน "คิมิชากะ KUMI Chaka"
เราซื้อคุ๊กกี้ซูชิมากด้วย ไม่ใช่แค่น่ารักแต่อร่อยด้วยนะคะ หอมอร่อยมาก คุกกี้ไม่แข็งด้วย
ไหนๆ ก็เป็นช่วงฮาโลวีนพอดี ก็เลยซื้อเซตนี้มาด้วย ว่าจะเก็บไว้นานหน่อยค่อยกินเพราะเสียดาย แต่พอได้ลองวันเดียวก็หมดเลย แงง
เข้าสู่โซน “นารามาจิ” กันเลย
เดินเล่นไปเรื่อยๆ ระหว่างทางก็มีซอยแยกออกไป ช่วงนี้สิ้นเดือนตุลาแล้ว กำลังจะเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงของญี่ปุ่นแล้ว ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีนิดๆ แล้วค่ะ
เดินไปเรื่อยๆ ก็จะเข้าสู่ “นารามาจิ” ที่เป็นบริเวณร้านค้าอาคารโบราณ อาคารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม และนี่คือศูนย์ให้ข้อมูลนารามาจิ มีให้เช่าจักรยานด้วย
ทั้งร้านอาหารและร้านค้าระหว่างทางเป็นอาคารโบราณ ได้บรรยากาศสุดๆ
เดินเล่นชิวๆ ได้เพลินมากๆ ดื่มด่ำบรรยากาศญี่ปุ่นได้เต็มที่จริงๆ
หลังจากเดินเล่นภายในย่านร้านค้า และถ่ายรูปบริเวณนี้ไปแล้ว ก็มุ่งหน้าไปวัดโทได และสวนนารากันเลย
ได้เวลาไปเจอกวางแล้ววว
โดยหากเดินจากสถานีคินเท็ตสึมาโดยตรง ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 15-20 นาที หรือ รถบัสมาก็ได้เหมือนกัน แต่เดินมาเรื่อยๆ ชิวๆ ยิ่งช่วงนี้อากาศดีมากๆ เดินไปเหนื่อยเลยค่ะ สบายชิวๆ สุดๆ
นี่ไงง ระหว่างทางเราเจอเจ้ากวางแล้ว กำลังถ่ายรูปกับกวางกันอยู่เลย
พอมาบริเวณนี้ก็จะเจอกวางเรื่อยๆ เลยค่ะ ทั้งเจ้าตัวเล็ก ตัวใหญ่
สบายๆ สุดๆ เลยเจ้าตัวนี้ เราหยุดถ่ายรูปมันไม่ได้เลย น่ารักมากๆ
ที่นี่มีบริการรถลากด้วย
ที่นาราก็มีบริการเช่าชุดยูกาตะอยู่ด้วย ใส่ชุดเดินเล่นในเมืองก็ได้บรรยากาศสุดๆ โดยเฉพาะบริเวณนารามาจิ แต่รูปคุณผู้หญิงคนนี้เป็นชุดกิโมโนแบบจัดเต็ม ถ้าเช่าชุดจะเป็นการแต่งที่สบายๆ กว่านี้ค่ะ
หลังจากช่วงระบาดโควิดหนักๆ เห็นว่าพักการขายอาหารกวางไป แต่ตอนนี้เริ่มกลับมาขายเหมือนเดิมแล้วค่ะ และนี่ก็คือ “ชิกะเซ็มเบ้” เซตละ 200 เยน บางตัวก่อนให้ก็จะโค้งหัวให้เราก่อนด้วยนะคะ บางคนอาจจะเคยเห็นบ้างแล้ว เวลาให้อย่าไปแกล้งมันนะคะ บางตัวอาจจะกัดเสื้อ ดึงเสื้อหรือกระชากของเราไปได้ ถ้าให้ปกติ ไม่แกล้งยื้ออาหารมัน ก็ให้ได้ตามปกติเลย มันจะโค้งให้ด้วย ต้องมาลองนะคะ
ยิ่งเป็นบริเวณใกล้ๆ จุดขาย หรือร้านขายของฝาก ก็จะมารวมตัวกันแบบนี้เลย
ร้านค้าระหว่างทางนอกจากอาหารกวาง ก็มีอาหารคนขายอยู่ด้วย
ระหว่างเราเจอคาเฟ่ร้านนี้ mamejica kitchen มีเครื่องดื่มและอาหาร แล้วก็ซอฟต์ครีม อันนี้เป็นซอฟต์ครีมเจ้ากวาง ตัวซอฟต์ครีมเป็นรสนมอร่อยมากๆ ภายในร้านมีที่นั่งทานอยู่ค่ะ แต่ถ้าใครไม่อยากนั่งที่ร้านก็ซื้อมานั่งที่ม้านั่งที่สวนก็ได้ แต่ต้องคอยระวังเจ้ากวางมาแย่งนะคะ
เดินไปที่วัดโทไดกัน โซนนี้เป็นย่านร้านค้าบริเวณทางเข้าวัดค่ะ มีทั้งเจ้ากวาง แล้วก็ร้านของฝาก ของกินเจ้ากวางกับคน
และนี่ก็คือประตูทางเข้าวัดชั้นแรก “นันไดมง” เป็นประตูไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น โดยมีความสูงถึง 25 เมตร หรือประมาณตึกที่สูงกว่า 8 ชั้นเลย
ดีเทลละเอียดอ่อนมากๆ ทั้งสองฝั่งมีรูปปั้นไม้แกะสลักขนาดใหญ่อยู่อีกด้วย เรียกว่า “นิโอโซ (仁王像)”
และเมื่อเดินผ่านประตูไม้ชั้นแรกไปแล้ว ก็เข้าใกล้บริเวณวัดโทไดแล้ว
เดินไปทางเข้าโดยเดินจนสุดทางแล้วเดินไปทางซ้ายมือ
เข้าทางนี้เพื่อไปซื้อตั๋วเข้าชมกันเลย ในช่วงโคโรน่าแบบนี้ทางวัดหรือสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ก็มีมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด ซึ่งที่วัดโทไดเอง ก่อนซื้อตั๋วก็จะต้องล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ล้างมือก่อน
ตั๋วราคาผู้ใหญ่ เพราะตั๋วเข้าชมอาคารวัดโทไดจะอยู่ที่คนละ 600 เยน
แล้วนี่ก็คืออาคารวัดโทได ได้รับการบันทึกว่าเป็นอาคารไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และประดิษฐานพระพุทธรูปไดบุตสึ(大仏) ขนาดใหญ่
พระพุทธรูปไดบุตสึ(大仏) ขนาดใหญ่ หรือ “หลวงพ่อโต” (พระไวโรจนพุทธะ) ที่มีความสูงถึง 15 เมตรเลยทีเดียว
มีต่อนะคะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้