เป็นข่าวที่น่าสนใจอย่างมากและเข้ากับบรรยากาศต้อนรับวันฮาโลวีนที่กำลังจะมาถึง เมื่อทางองค์การนาซา ได้ออกมาประกาศว่า ยานอวกาศ Juno ได้ทำการค้นพบแสงสว่างวาบประหลาดบนชั้นบรรยากาศของดาวพฤหัสบดีเป็นครั้งแรก การค้นพบนี้ถูกตีพิมพ์ใน Journal of Geophysical Research: Planets เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2020
การค้นพบในครั้งนี้ เกิดขึ้นด้วยความช่วยเหลือของระบบสเปกโตรกราฟอัลตราไวโอเลต (UVS) จากยาน Juno ของ NASA ซึ่งเป็นยานสำรวจอวกาศขนาดเล็กที่โคจรรอบก๊าซยักษ์มาตั้งแต่ปี 2016 โดยมันถูกเปิดเผยออกมาในวันที่ 28 ตุลาคม 2020 ที่ผ่านมา และเป็น " เหตุการณ์ส่องสว่างชั่วคราว " (TLEs / Transient Luminous Events) ที่เกิดจากปรากฏการณ์การระเบิดของไฟฟ้าคล้ายฟ้าผ่า ซึ่งถูกเรียกว่า “Sprites” หรือ “Elves” เหตุการณ์ส่องสว่างชั่วคราวเช่นนี้ แม้แต่บนโลกของเราก็ถือว่าเป็นของที่หาชมได้ยากมากๆ
"UVS ได้รับการออกแบบมาเพื่อแสดงลักษณะของแสงเหนือและใต้ที่สวยงามของดาวพฤหัสบดี" Giles นักวิทยาศาสตร์ของจูโนและผู้เขียนบทความกล่าว "แต่เราค้นพบภาพ UVS ที่ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นแสงออโรร่าของ Jovian เท่านั้น แต่ยังมีแสง UV สว่างวาบในมุมที่ไม่ควรจะเป็นด้วย ยิ่งตรวจสอบมากเท่าไหร่เราก็ยิ่งรู้ว่า Juno อาจตรวจพบ TLE บนดาวพฤหัสบดี มากขึ้นเท่านั้น "
“Sprites” ถูกตั้งชื่อตามตัวละครที่ซุกซนและมีไหวพริบใน English folklore เป็นเหตุการณ์ส่องสว่างชั่วขณะที่เกิดจากการปล่อยสายฟ้าจากพายุฝนฟ้าคะนองที่อยู่ด้านล่าง บนโลกเกิดขึ้นสูงถึง 60 ไมล์ (97 กิโลเมตร) เหนือพายุฝนฟ้าคะนองที่รุนแรงและสูงตระหง่านและทำให้ท้องฟ้าสว่างไสวไปทั่วบริเวณหลายสิบไมล์ แต่กินเวลาเพียงไม่กี่มิลลิวินาทีเท่านั้น (เศษเสี้ยวของเวลาที่กะพริบตา)
โดยแสงของ Sprites จะออกมาในรูปแบบคล้ายแมงกะพรุน มีลักษณะเป็นหยดน้ำตรงกลาง (บนโลกมีความยาว 15 ถึง 30 ไมล์หรือ 24 ถึง 48 กิโลเมตร) โดยมีเส้นเอ็นยาวยื่นลงไปที่พื้นและขึ้นด้านบน ส่วน " Elves " (ย่อมาจาก Emission of Light และ Very Low Frequency perturbations อันเนื่องมาจาก Electromagnetic Pulse Sources) ปรากฏคล้ายจานที่แบนราบซึ่งเรืองแสงในบรรยากาศชั้นบนของโลก เช่นกันพวกมันทำให้ท้องฟ้าสว่างขึ้นเพียงมิลลิวินาที แต่สามารถเติบโตได้ใหญ่กว่า Sprites โดยสูงถึง 200 ไมล์ (320 กิโลเมตร) บนโลก
โดย Johann Georg Estor เป็นบุคคลแรกที่บันทึกการพบเห็นปรากฏการณ์ Sprites ตั้งแต่เมื่อราวปี 1730 ก่อนที่วิลสัน (C.T.R.Wilson) จะเป็นคนที่อธิบายทฤษฎีการเกิดปรากฏการณ์นี้ จนกระทั่งได้มีการถ่ายภาพได้ครั้งแรกเมื่อปี 1989
(Sprites และ Elves นั้นจะเกิดขึ้นได้เมื่อฟ้าผ่าปล่อยประจุไฟฟ้าในความสูงมากๆ จนอิเล็กตรอนเคลื่อนที่สูงขึ้นไปในบรรยากาศ ชนกับไนโตรเจน และปล่อยพลังงานออกมาในรูปแบบแสง โดยแสงของ Sprites จะออกมาในรูปแบบคล้ายแมงกะพรุน ในขณะที่ Elves จะออกมาคล้ายจาน และทั้งคู่ตามปกติจะคงอยู่แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น ดังนั้นการค้นพบของหายากแบบนี้บนดาวอื่นๆ จึงถือว่าเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่)
“บนโลก Sprites และ Elves มักมีสีแดง เนื่องจากการปฏิสัมพันธ์กับไนโตรเจนในบรรยากาศชั้นบน” คุณ Rohini Giles ผู้เขียนหลักของงานวิจัยกล่าว
“แต่บนดาวพฤหัสบดี บรรยากาศชั้นบนส่วนใหญ่จะประกอบด้วยไฮโดรเจน ดังนั้น Sprites และ Elves ของที่นั่นจึงน่าจะปรากฏเป็นสีน้ำเงินหรือสีชมพู”
ปรากฏการณ์ฟ้าผ่าที่เรียกว่า Sprites ที่ปรากฎที่ดาวพฤหัสบดีในภาพประกอบนี้
บรรยากาศที่เต็มไปด้วยไฮโดรเจนของดาวพฤหัสบดีจะทำให้เกิดเป็นแสงสีน้ำเงิน แต่ในบรรยากาศชั้นบนของโลกการมีไนโตรเจนทำให้มีสีแดง
Cr.ภาพ NASA / JPL-Caltech / SwRI
Sprites ที่พบได้บนโลก
ถูกถ่ายได้เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2020 ที่ผ่านมา เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เรียกว่า “เรด-สไปรต์” (Red Sprite)
Stephen Hummel นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านปรากฏการณ์ท้องฟ้าจากมหาวิทยาลัยเท็กซัส ถ่ายภาพปรากฏการณ์นี้ได้ขณะที่ประจำการอยู่
ณ หอดูดาวแมคโดนัล (McDonald Observatory) ในรัฐเท็กซัส
Paul smith ได้บันทึกภาพ ปรากฏการณ์หายาก Red Sprite เหนือรัฐโอคลาโฮมา สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2560
ภาพการตรวจสอบดาวพฤหัสบดี: แถบสีฟ้าและสีขาวใกล้ขั้วดาวคือแสงออโรรา
ส่วนเหตุการณ์ส่องสว่างชั่วคราวที่ถูกพบเกิดขึ้นในวงกลมสีเหลือง
ทั้งนี้ แม้ว่านี่จะเป็นการค้นพบ Sprites และ Elves บนดาวพฤหัสบดีเป็นครั้งแรก แต่จากการตรวจสอบบันทึกของยาน Juno นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าจริงๆ แล้วยานนี้ ก็อาจจะเคยเจอเหตุการณ์ส่องสว่างชั่วคราวแบบนี้มาแล้วถึง 11 ครั้ง เพียงแค่ที่ผ่านมา เรายังไม่รู้ว่าเหตุการณ์เหล่านั้น คืออะไรก็เท่านั้นเอง
ตอนนี้ นักวิจัยได้รู้ว่าสิ่งที่พบในดาวพฤหัสบดี บางทีอาจพบได้ในดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ด้วย รวมถึงรูปแบบของฟ้าผ่าจากดาวเสาร์หรือดาวเคราะห์นอกระบบ HAT-P-11b จะเป็นเรื่องง่ายขึ้นแล้ว และการค้นหา Sprites และ Elves บนโลกอื่นไม่ได้หมายถึงปาร์ตี้ฮาโลวีนทั่วทั้งกาแลคซีเท่านั้น แต่ยังเป็นอีกก้าวหนึ่งในการทำความเข้าใจในกิจกรรมไฟฟ้าในชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ด้วย
ที่มา iflscience, futurism
Cr.
https://www.catdumb.tv/sprites-on-jupiter-378/?fbclid=IwAR2lKygXQquOKjHzRKAyLb4H- 0PwwNksZgqBU5Cs6kzACzHjsjA2C4ELadU By เหมียวศรัทธา - 30 October 2020
Cr.
https://www.jpl.nasa.gov/news/news.php?feature=7769
Cr.
https://www.iflscience.com/space/sprites-caught-frolicking-in-jupiters-atmosphere-for-the-first-time/
Cr.
https://www.flagfrog.com/red-sprite-phenomena/
Cr.
https://www.facebook.com/sararueaipueai/posts/1601183270015217/
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
ปรากฏการณ์ “แสงสว่างวาบหายาก” บนดาวพฤหัสครั้งแรกในประวัติศาสตร์
การค้นพบในครั้งนี้ เกิดขึ้นด้วยความช่วยเหลือของระบบสเปกโตรกราฟอัลตราไวโอเลต (UVS) จากยาน Juno ของ NASA ซึ่งเป็นยานสำรวจอวกาศขนาดเล็กที่โคจรรอบก๊าซยักษ์มาตั้งแต่ปี 2016 โดยมันถูกเปิดเผยออกมาในวันที่ 28 ตุลาคม 2020 ที่ผ่านมา และเป็น " เหตุการณ์ส่องสว่างชั่วคราว " (TLEs / Transient Luminous Events) ที่เกิดจากปรากฏการณ์การระเบิดของไฟฟ้าคล้ายฟ้าผ่า ซึ่งถูกเรียกว่า “Sprites” หรือ “Elves” เหตุการณ์ส่องสว่างชั่วคราวเช่นนี้ แม้แต่บนโลกของเราก็ถือว่าเป็นของที่หาชมได้ยากมากๆ
"UVS ได้รับการออกแบบมาเพื่อแสดงลักษณะของแสงเหนือและใต้ที่สวยงามของดาวพฤหัสบดี" Giles นักวิทยาศาสตร์ของจูโนและผู้เขียนบทความกล่าว "แต่เราค้นพบภาพ UVS ที่ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นแสงออโรร่าของ Jovian เท่านั้น แต่ยังมีแสง UV สว่างวาบในมุมที่ไม่ควรจะเป็นด้วย ยิ่งตรวจสอบมากเท่าไหร่เราก็ยิ่งรู้ว่า Juno อาจตรวจพบ TLE บนดาวพฤหัสบดี มากขึ้นเท่านั้น "
“Sprites” ถูกตั้งชื่อตามตัวละครที่ซุกซนและมีไหวพริบใน English folklore เป็นเหตุการณ์ส่องสว่างชั่วขณะที่เกิดจากการปล่อยสายฟ้าจากพายุฝนฟ้าคะนองที่อยู่ด้านล่าง บนโลกเกิดขึ้นสูงถึง 60 ไมล์ (97 กิโลเมตร) เหนือพายุฝนฟ้าคะนองที่รุนแรงและสูงตระหง่านและทำให้ท้องฟ้าสว่างไสวไปทั่วบริเวณหลายสิบไมล์ แต่กินเวลาเพียงไม่กี่มิลลิวินาทีเท่านั้น (เศษเสี้ยวของเวลาที่กะพริบตา)
โดยแสงของ Sprites จะออกมาในรูปแบบคล้ายแมงกะพรุน มีลักษณะเป็นหยดน้ำตรงกลาง (บนโลกมีความยาว 15 ถึง 30 ไมล์หรือ 24 ถึง 48 กิโลเมตร) โดยมีเส้นเอ็นยาวยื่นลงไปที่พื้นและขึ้นด้านบน ส่วน " Elves " (ย่อมาจาก Emission of Light และ Very Low Frequency perturbations อันเนื่องมาจาก Electromagnetic Pulse Sources) ปรากฏคล้ายจานที่แบนราบซึ่งเรืองแสงในบรรยากาศชั้นบนของโลก เช่นกันพวกมันทำให้ท้องฟ้าสว่างขึ้นเพียงมิลลิวินาที แต่สามารถเติบโตได้ใหญ่กว่า Sprites โดยสูงถึง 200 ไมล์ (320 กิโลเมตร) บนโลก
โดย Johann Georg Estor เป็นบุคคลแรกที่บันทึกการพบเห็นปรากฏการณ์ Sprites ตั้งแต่เมื่อราวปี 1730 ก่อนที่วิลสัน (C.T.R.Wilson) จะเป็นคนที่อธิบายทฤษฎีการเกิดปรากฏการณ์นี้ จนกระทั่งได้มีการถ่ายภาพได้ครั้งแรกเมื่อปี 1989
(Sprites และ Elves นั้นจะเกิดขึ้นได้เมื่อฟ้าผ่าปล่อยประจุไฟฟ้าในความสูงมากๆ จนอิเล็กตรอนเคลื่อนที่สูงขึ้นไปในบรรยากาศ ชนกับไนโตรเจน และปล่อยพลังงานออกมาในรูปแบบแสง โดยแสงของ Sprites จะออกมาในรูปแบบคล้ายแมงกะพรุน ในขณะที่ Elves จะออกมาคล้ายจาน และทั้งคู่ตามปกติจะคงอยู่แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น ดังนั้นการค้นพบของหายากแบบนี้บนดาวอื่นๆ จึงถือว่าเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่)
“บนโลก Sprites และ Elves มักมีสีแดง เนื่องจากการปฏิสัมพันธ์กับไนโตรเจนในบรรยากาศชั้นบน” คุณ Rohini Giles ผู้เขียนหลักของงานวิจัยกล่าว
“แต่บนดาวพฤหัสบดี บรรยากาศชั้นบนส่วนใหญ่จะประกอบด้วยไฮโดรเจน ดังนั้น Sprites และ Elves ของที่นั่นจึงน่าจะปรากฏเป็นสีน้ำเงินหรือสีชมพู”
ตอนนี้ นักวิจัยได้รู้ว่าสิ่งที่พบในดาวพฤหัสบดี บางทีอาจพบได้ในดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ด้วย รวมถึงรูปแบบของฟ้าผ่าจากดาวเสาร์หรือดาวเคราะห์นอกระบบ HAT-P-11b จะเป็นเรื่องง่ายขึ้นแล้ว และการค้นหา Sprites และ Elves บนโลกอื่นไม่ได้หมายถึงปาร์ตี้ฮาโลวีนทั่วทั้งกาแลคซีเท่านั้น แต่ยังเป็นอีกก้าวหนึ่งในการทำความเข้าใจในกิจกรรมไฟฟ้าในชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ด้วย
ที่มา iflscience, futurism
Cr.https://www.catdumb.tv/sprites-on-jupiter-378/?fbclid=IwAR2lKygXQquOKjHzRKAyLb4H- 0PwwNksZgqBU5Cs6kzACzHjsjA2C4ELadU By เหมียวศรัทธา - 30 October 2020
Cr.https://www.jpl.nasa.gov/news/news.php?feature=7769
Cr.https://www.iflscience.com/space/sprites-caught-frolicking-in-jupiters-atmosphere-for-the-first-time/
Cr.https://www.flagfrog.com/red-sprite-phenomena/
Cr.https://www.facebook.com/sararueaipueai/posts/1601183270015217/
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)