สยอง!!! เมื่อนักบิน GARUDA ((( ฆ่า ))) ผู้โดยสารบนเที่ยวบิน

เมื่อนักบินผู้มีหน้าที่พาผู้โดยสารออกเดินทางสู่จุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพ กลับกลายเป็น “ฆาตกร” สังหารผู้โดยสารที่ออกเดินทางบนเที่ยวบินเดียวกับเขา ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? อะไร คือ สาเหตุที่เขาต้องทำแบบนั้น? เราจะไปดูกันครับ…
ย้อนกลับไปเมื่อ 16 ปีที่แล้ว วันที่ 7 กันยายน ค.ศ.2004 นาย Munir Said Thalib นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนหนุ่มไฟแรงชาวอินโดนีเชีย วัยเพียง 38 ปี ได้ออกเดินทางจากกรุงจาการ์ตา โดยสายการบินแห่งชาติ Garuda Indonesia มุ่งหน้าสู่กรุงอัมสเตอร์ดัม เพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาโท ณ มหาวิทยาลัย Utrecht ประเทศเนเธอร์แลนด์ 
ระหว่างทางเครื่องบินต้องแวะพักรับส่งผู้โดยสารที่สนามบินชางงี ประเทศสิงคโปร์ และภายหลังจากที่เครื่องบินทะยานขึ้นไม่นาน Munir ก็มีอาการป่วยเกิดขึ้น เขามีอาการท้องร่วงเฉียบพลันและอาเจียนออกมามากมาย ลูกเรือได้ประกาศขอความช่วยเหลือจากแพทย์ในเที่ยวบินให้มาดูแลอาการของเขา แต่ก่อนเครื่องบินจะลงจอดที่สนามบิน Schiphol เพียง 2 ชั่วโมง Munir ที่มีอาการหนักมากขึ้น ได้เสียชีวิตบนเที่ยวบิน โดยที่หลายฝ่ายเริ่มตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดเที่ยวบินที่มีระยะทางบินกว่า 12 ชั่วโมง เที่ยวบินนี้ นักบินหรือลูกเรือที่เกี่ยวข้องเมื่อทราบว่ามีผู้โดยสารป่วยหนัก กลับไม่ตัดสินใจขอลงจอดฉุกเฉินเพื่อส่งผู้โดยสารให้ถึงมือแพทย์บนพื้นดิน ทั้งๆที่เส้นทางบินก็บินผ่านประเทศต่างๆมากมาย แต่กลับบินไปเรื่อยๆจนถึงจุดหมาย ทั้งๆที่ผู้โดยสารก็เริ่มป่วยมาตั้งแต่ออกบินได้ไม่นาน…
ที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ร่างของ Munir ได้ถูกส่งไปชันสูตรที่สถาบันนิติเวช และในอีก 2 เดือนต่อมา ผลก็ออกมาว่ามีการพบสารหนู (Arsenic) ที่มีปริมาณเกือบสามเท่าของปริมาณปกติที่จะทำให้มนุษย์เสียชีวิตได้ ข่าวนี้สร้างความตื่นตัวในสังคมอินโดนีเชียอย่างมาก เพราะสาเหตุน่าจะระบุได้ว่าเขาถูกฆาตกรรม แต่ใครเป็นคนฆาตกรรมเขา? และใช้วิธีใดในการฆาตกรรม? เพราะสถานที่ๆเขาเสียชีวิตก็อยู่ในที่สาธารณะ บนการเดินทางทางอากาศ ที่ว่ากันว่าปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินมากที่สุดวิธีหนึ่งแล้ว
ย้อนกลับไปดูประวัติ Munir Said Thalib ผู้เป็นคุณพ่อของลูกน้อย 2 คน วัยเพียง 6 และ 2 ขวบ มีภรรยาเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิแรงงาน Munir เริ่มต้นงานเป็นผู้ช่วยเหลือด้านกฎหมายในเมืองสุราบายา ภายหลังเรียนจบปริญญาตรีสาขาเดียวกัน ในปี 1989 จากนั้นก็ทำงานด้านกฎหมายและเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนและต่อต้านการทุจริต จนก้าวขึ้นมาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของอินโดนีเซีย
เขาเป็นผู้ก่อตั้งคณะกรรมาธิการสอบสวนผู้สูญหายและเหยื่อความรุนแรง (KontraS) ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสอบสวนเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในติมอร์ตะวันออก จังหวัดปาปัวและอาเจะห์ โดยกองทัพอินโดนีเชีย ซึ่งกำลังมีความขัดแย้งอย่างสูงในเวลานั้น รวมทั้งการกล่าวหาว่ากองทัพมีความเกี่ยวข้องกับการลักลอบตัดไม้และการลักลอบขนยาเสพติดอีกด้วย โดยก่อนที่จะถูกลอบสังหารเขาได้ตำรงตำแหน่งผู้อำนวยการของ Indonesia Human Rights Monitor (IMPARSIAL) ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนของอินโดนีเชีย
การตายของเขาเป็นที่สนใจอย่างสูง ทุกคนเพ่งเล็งไปที่การสืบสวนคดี ทำให้ ปธน. Susilo Bambang Yudhoyono ในเวลานั้น ถูกกดดันจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศจนต้องออกมาให้คำมั่นสัญญาว่าจะพิจารณาคดีอย่างตรงไปตรงมาและรวดเร็ว เรื่องราวการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินถูกประติดประต่อเป็นขั้นตอน
ย้อนกลับไปในวันที่เขาออกเดินทาง Munir จองตั๋วโดยสารชั้น Economy Class บนเที่ยวบิน GA 974 บินด้วยเครื่องบินแบบ B747-400 โดยออกเดินทางจากกรุงจาการ์ตา มุ่งหน้าสู่กรุงอัมสเตอร์ดัม แต่ระหว่างทางเครื่องบินจะแวะจอดเพื่อรับส่งผู้โดยสารและเติมเชื้อเพลิงที่สนามบินชางงี ประเทศสิงคโปร์ เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
การเดินทางในเลกแรกผ่านไปได้ด้วยดี และเมื่อถึงสนามบินชางงี ผู้โดยสารบางส่วนได้ลงจากเครื่องไป ระหว่างนั้นแอร์โฮสเตสได้เดินมาหา Munir และแจ้งว่าจะอัพเกรดที่นั่งของเขาให้ไปนั่งในชั้น Business เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทางเลกที่สองที่ยาวนานกว่า 12 ชั่วโมง และนี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาต้องเสียชีวิต
จากการสืบสวนพบว่าที่นั่งในชั้น Business ที่เขาไปนั่งนั้น เดิมทีเป็นของนักบินคนหนึ่งของสายการบิน ที่มีชื่อว่า Pollycarpus Budihari Priyanto ซึ่งออกเดินทางมากับเครื่องบินในฐานะ Deadhead Pilot (***นักบินที่เดินทางพร้อมกับเที่ยวบินนั้นๆ  แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ในระหว่างเที่ยวบิน โดยมีจุดประสงค์เพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ๆปลายทาง หรือต้นทาง หรือเดินทางกลับบ้าน เป็นต้น***) จากการสืบสวนพบว่า Priyanto จะต้องลงที่สนามบินชางงี เพื่อทำหน้าที่บินในอีกเที่ยวบินนึงกลับไปยังกรุงจาการ์ตาในวันเดียวกัน
และเมื่อ Munir เข้าไปนั่งในชั้น Business แล้ว แอร์โฮสเตสก็ได้นำน้ำส้มมาเสิร์ฟให้เขา จากนั้นเขาก็ไม่ได้กินอะไรเข้าไปอีก จนกระทั่งเริ่มมีอาการป่วย สอดคล้องกับผลรายงานนิติเวชจากเนเธอร์แลนด์ที่ระบุว่าเขาได้รับสารพิษไปในเวลาไม่นานหลังจากบินขึ้นจากสนามบินชางงี หรือในเวลาใกล้เคียงกันนั้น ฝ่ายสืบสวนตีกรอบไปยังแอร์โฮสเตส 2 คนที่อยู่ในส่วนบริการแก่เขา เพราะเป็นคนที่นำเอาน้ำส้มไปให้เขากิน และจากการสอบสวนแอร์โฮสเตสให้การว่า นักบิน Priyanto เข้ามาใน Galley ของเครื่อง และเป็นคนแจ้งว่าต้องการสละที่นั่งให้ Munir และให้ไปเชิญ Munir มานั่งที่ของเขา พร้อมจัดหาน้ำส้มให้ไปเสิร์ฟเพื่อเป็น Welcome Drink เนื่องจาก Munir ก็ถือว่าเป็นคนที่มีชื่อเสียงมาก ใครๆก็รู้จักเขาดี
นักบิน Priyanto ถูกควบคุมตัวมาสอบสวน และเรื่องราวก็ถลันลึกลงไปอีก เมื่อมีการพบว่าเอกสารแจ้งทำการบินที่ Priyanto ถือไปในวันนั้น ไม่ตรงกับเที่ยวบินตามตารางบินที่แท้จริงของเขา ฝ่ายสืบสวนพิสูจน์ลึกลงไปจนพบว่าเอกสารปลอมฉบับนั้น ได้รับการอนุมัติจาก Indra Setiawan CEO สูงสุดของสายการบินในเวลานั้น เรื่องราวนี้ใหญ่โตจนน่าตกใจ เพราะเป็นการทำเป็นกระบวนการและมาจากคนที่มีตำแหน่งใหญ่โต แน่นอน! จากการสืบสวนพบว่าทั้ง Priyanto และ Setiawan ไม่เคยรู้จักกับ Munir หรือมีความขัดแย้งเป็นการส่วนตัว ดังนั้น ใครหล่ะ? คือคนสั่งการที่แท้จริง และต้องใหญ่พอที่จะบังคับให้นักบินและ CEO สายการบินแห่งชาติ ทำตามคำสั่งของตนได้
จากการสืบสวนเบอร์โทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อของนักบิน Priyanto พบว่าระหว่างที่อยู่ในจาการ์ตา จนมาถึงสนามบินชางงี เขาได้ติดต่อกับเบอร์โทรลึกลับเบอร์หนึ่งมากถึง 41 สายสนทนา โดยผู้ลงทะเบียนในเบอร์นั้นเป็นพ่อค้าไม้รายใหญ่คนหนึ่งในประเทศ แต่ผู้ที่สนทนากับเขาแท้จริงแล้วเป็นนายพลคนหนึ่งที่มีชื่อว่า Muchdi Purwopranjono อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งรัฐ (BIN) หลักฐานชิ้นสำคัญนี้จะเป็นตัวคลี่คลายคดีได้อย่างชัดเจนที่สุด
สำนักข่าวกรองแห่งรัฐ (State Intelligence Agency) หรือชื่อเต็มในภาษาบาฮาซา คือ “Badan Intelijen Negara (BIN)” องค์กรที่มีหน้าที่ประสานงานหาข่าวและปฏิบัติการในทางลับเพื่อความมั่นคงของประเทศแห่งนี้ นับเป็นไม้เบื่อไม่เมากับองค์กร KontraS ของ Munir มาอย่างยาวนาน เนื่องจากองค์กรได้พบหลักฐานว่า BIN เกี่ยวพันกับการลักพาตัวนักเคลื่อนไหวหลายสิบคนตั้งแต่สิ้นสุดการปกครองของประธานาธิบดีซูฮาร์โตในช่วงปี 1997 ถึง 1999 ซึ่งในเวลานั้น BIN เปรียบได้กับองค์กรนอกกฎหมายที่จะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องโดนสอบสวนและรับความผิด รวมทั้งการรับสินบนในธุรกิจค้าไม้ที่ผิดกฎหมาย และการที่ Munir ได้กล่าววิพากษ์วิจารณ์ Kopassus หน่วยรบพิเศษหมวกแดงสุดโหด เทียบได้กับหน่วยซีลหรือรีคอนของบ้านเรา ที่มักจะใช้วิธีการป่าเถื่อนในการข่มขู่หาข่าว หรือทำร้ายทารุณผู้ต้องหาเพื่อให้ได้มาซึ่งการข่าว โดยในครั้งหนึ่งที่ Munir วิจารณ์ Kopassus อย่างรุนแรง ลูกระเบิดก็ถูกส่งไปข่มขู่ Munir ถึงหน้าบ้านมาแล้ว และแน่นอน! เรื่องนี้เกี่ยวพันโดยตรงกับนายพล Muchdi ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ใน BIN ในขณะนั้น และเขายังเคยเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของหน่วยรบ Kopassus อีกด้วย…

*** อ่านต่อในคอมเม้นต์ครับ ***
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่