UV มีผลต่อผิวอย่างไร? ความรุนแรงขนาดไหน? ทำไมเราควรต้องทากันแดด? มาดูกัน (part 1)

••••REVIEW LITERATURE••••
รังสี UV หรือ Ultraviolet ทำร้ายผิวของเราได้ยังไง? ความรุนแรงขนาดไหน? ทำไมเราควรต้องทากันแดด? 



วันนี้รักจะสรุป จากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ที่ตีพิมพ์วารสารต่างประเทศให้เลยแล้วกันนะคะ
เริ่มจากพื้นฐานที่ควรรู้ก่อนเลย

ชั้นผิวหนัง ชั้นผิวเราจะประกอบด้วย 2 ชั้น
Epidermis (ชั้นบน) กับ Dermis (ชั้นล่าง) ถูกเชื่อมกันด้วยชั้นบางๆ
ซึ่งชั้นนี้แหละเป็นตัวผลิตเซลล์ผิวชื่อ keratinocyte
แล้วเซลล์ผิวก็จะถูกดันๆขึ้นมา พร้อมๆกับถูกโปรแกรมให้มีขนาด รูปร่าง หน้าที่ๆแตกต่างกันไปในชั้นต่างๆ ของผิวหนังชั้นบน

ด้วยความที่เปเปอร์นี้ พูดถึงเรื่องสีผิวกับแดด เค้าก็เลยเสนอในมุมเดียวว่า
เวลาผิวหนังถูกดันๆขึ้นมา มันก็จะพาเม็ดสีเมลานิน ซึ่งถูกยัดในถุงชื่อ Melanosome (เมลาโนโซม) ในการพาเม็ดสีผิวขึ้นมาด้านบนให้เราเห็นกัน

👉 ลงดีเทลของ Melanin
 หน้าที่ของมัน จะทำหน้าที่เป็น Natural sun screen หรือสารธรรมชาติจากร่างกายที่ช่วยปกป้องรังสี UV 
ไม่ให้ทำร้ายผิว คุมสมดุลของผิวหนัง ปกป้องผิวจากการทำร้ายของอนุมูลอสระ และ มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ (Antimicrobial)

ประเภทเมลานิน แบ่งเป็น 2 ประเภท  
🟤 ยูเมลานิน (Eumelanin) = เม็ดสีเข้มดำ/น้ำตาล เป็น UV-protective ป้องกันรังสี UV
🔴 ฟีโอเมลานิน (Pheomelanin) = เม็ดสีอ่อน แดง/บลอนด์ เป็น UV-permeable รังสี UV ผ่านเข้ามาได้ง่าย

เนี่ยแหละสาเหตุที่ทูนหัวผิวไวแสง ส่วนนึงเพราะเป็คนผิวขาวไงหละ
เม็ดสี Eumelanin น้อยแต่ Pheomelanin เยอะ เลยขาดการปกป้องแสงแดดจากธรรมชาติไปหน่อยนึง
ซึ่งยิ่งขาวก็จะยิ่งไวแสงและเสี่ยงการเป็นมะเร็งผิวหนัง 
ทีนี้แล้วขาวแค่ไหนถึงจะเสี่ยงเป็นมะเร็งขนาดนั้น หรือต้องคล้ำแค่ไหนถึงจะไม่ไวแดด? 
ก็มาดูกันที่ห้วข้อต่อไป
----------------------------------------------------------------------------

Skin Pigmentation  สีผิวกับการตอบสนองต่อแสงแดด
หัวข้อนี้จะเกี่ยวข้องกับการแบ่งประเภทผิวแบบ Fitzpatrick phototype โดยตรง 
(รักได้ลงบทความรายละเอียดเรื่องการแบ่งประเภทผิวแบบนี้ไว้ หากใครต้องการรู้ดีเทลเพิ่มเติม สามารถเข้ามาอ่านได้ที่คอนเท้นนี้นะคะ 
"Fitzpatrick skin types การแบ่งประเภทผิวแบบฟิสแพทริก" https://ppantip.com/topic/40274379

ฟิสแพทริก จะเป็นการแบ่งประเภทผิว 6 ประเภท เช่น Type 1 เป็นผิวขาว ผมบลอนด์ไปจนถึง Type 6 เป็นชาวผิวสี ผมดำสนิท
นอกจากสีผิวก็มีการแบ่งว่า คนไหนไวแสง เสี่ยงมะเร็งแค่ไหน จะดูจากเงื่อนไขต่อไปนี้
📌 จำนวนเม็ดสี Eumelanin ของผิว ตา ผม
📌 ประเมินความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง
📌 ระดับการอักเสบของผิวจาก UV 

ซึ่งเค้าก็ไม่ได้เช็กแบบไก่กา เค้ามีเครื่องมือในการวัดผลได้อย่างจริงจัง
โดยเช็กได้จากค่า MED = Minimal Erythematous dose
แปลไทยคือ ปริมาณ UVB ที่ทำให้ผิวไหม้เบิร์นภายใน 24 - 48 ชั่วโมง (วัดจากการแดงและบวมของผิว)
เพราะฉะนั้น พวกขาวๆไวแดดเนี่ย ค่า MED จะน้อย โดนแดดนิดหน่อยไหม้
แต่กลุ่มที่ผิวคล้ำที่มี eumelanin เยอะ MED ก็จะสูง ไหม้แดดยากกว่าค่า

ซึ่งคนไทยจะอยู่ใน Fitzpatrick phototype 3 - 4 
ทุกอย่างจะกลางๆไปหมด ผิวออกเหลืองๆไม่เสี่ยงมาก ผิวอักเสบจากแดดก็กลางๆ ความเสี่ยงมะเร็งก็กลางๆ เรียกว่าอยู่ในช่วงค่าเฉลี่ยนั่นเอง
แต่ถ้าในบางคนที่ผิวออกขาวขึ้นมาหน่อย อยู่ในประเภท 3 แต่ขาวเกือบๆจะเป็นประเภท 2
ก็เป็นไปได้ที่ผิวจะไวแสงมากขึ้น อักเสบง่ายขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าทูนหัวอยู่ในเลเวลนี้ ก็น่าจะได้คำตอบแล้วนะ ว่าทำไมผิวตัวเองไวแดดจัง
------------------------------------------------------------------------------           

เมื่อรู้ปัจจัยภายในที่ทำให้ผิวไวแสงไปแล้ว เรามาดูปัจจัยภายนอกที่ทำให้เราไหม้แดดง่าย นั่นก็คือ
 
☀️☀️ รังสีUV ☀️☀️
รังสี UV เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่อยู่ในช่วงของความยาวคลื่นที่ตามองเห็น กับ รังสีแกมม่า แบ่งเป็น

1. UV-A 🔆
 ความยาวคลื่นสูงสุด 315-400 nm แต่ พลังงานต่ำสุด
 โดนโอโซนดูดซับน้อยสุดเลยตกลงมาถึงพื้นโลก 90-95%
 แค่นั้นยังไม่พอยังสามารถทะลุลงผิวหนังเราถึงชั้นล่างซึ่งก็คือ dermis ได้ด้วย
 แล้วทำให้เกิดอนุมูลอิสระไปทำลาย DNA ของผิวได้

2. UV-B 🔆
 ความยาวคลื่นสูง 280-320 nm ค่าพลังงานกลางๆ
 โดนโอโซนดูดซับไว้ประมาณนึงก็เลยมาถึงพื้นโลกแค่ 5-10%
 โชคดีที่ผิวหนังชั้นบนหรือ Epidermis ดูดไว้ได้อีกเลยมีแค่บางส่วนที่ลงไปชั้น Dermis
 แต่ข้อเสียคือ ส่วนที่เหลือที่ลงไปได้จะไปทำให้ DNA ของผิวกลายพันธุ์/เกิดมะเร็งได้

3. UV-C 🔆
 ความยาวคลื่นต่ำสุด 100-280 nm แต่พลังงานสูงสุดทะลุแมกซ์
 เป็น UV ที่โหดสุด อันตรายสุด แต่โชคดีที่ชั้นโอโซนดูดไปได้เยอะ เลยไม่ได้ลงมาถึงพื้นโลกมาทำลายผิวเท่าไหร่
 เว้นแต่ว่าโลกร้อนมีก๊าซเรือนกระจก ช่องโอโซนโหว่ อันนี้ก็จะอีกเรื่องละ (ช่วยกันลดโลกร้อนด้วยนะคะพลีส 🌏🌏🌏)

ซึ่งประเทศไทยอยู่ในเขตศูนย์สูตร โซนร้อนแดดเปรี้ยงปร้างมาก
ถึงจะพอมีความชื้นมีเมฆบ้างที่บดบังรังสี UV แต่โดยรวมแดดก็ยังจัดอยู่ในระดับแรงมากอยู่ดีค่ะ
ก็เป็นไปได้ที่จะมีรังสี UV มากกว่าที่อื่น ยังไม่พอ ยิ่งอยู่ในกรุงเทพซึ่งมลภาวะและก๊าซพิษทำลายโอโซนเยอะ
รูโหว่โอโซนก็มากกว่าปกติ ก็อาจทำให้ทูนหัวได้รับรังสีแต่ละชนิดมากกว่าปกติ
บวกกับร่างที่มีผิวไปทางขาว Eumelanin ก็ไม่ได้เยอะแยะอะไร เลยไหม้ง่ายขึ้นไปอี๊กนั่นเองค่า
           

สำหรับหัวข้อถัดไป เพื่อให้ลึกขึ้นสะใจสายวิชาการ เราจะมาดูกันว่าแดดทำอะไรกับเซลล์ผิวเรา
แต่ขอให้จำไว้ก่อนเลยว่า !!! แดดทำให้ ดำ อักเสบ ผิวหนา ผิวแก่ (ageing) และ มะเร็ง !!! (กาดอกจัน 700 ดอกไว้เลย)

📌 แดดทำให้ดำ (ใช้คำว่าดำเพื่อให้จำง่าย) ✋🏾🤚🏾
เมื่อเราเจอแดดแรงๆ หรือแดดเบาๆ แต่ระยะเวลานาน
UV-B จะไปทำลายเซลล์ผิว พอเซลล์ผิว keratinocyte เกือบๆจะตาย
นางจะใช้แรงเฮือกสุดท้ายหลั่งสาร POMC ออกมา (Pro-opiomelanocortin)
ซึ่ง POMC จะทำหน้าที่เหมือนนกพิราบ ส่งจดหมายซึ่งก็คือ ฮอร์โมน MSH (Melanocyte Stimulating Hormone)
ฮอร์โมน MSH จะถูกส่งไปหาแม่ทัพ ซึ่งก็คือ Melanocyte (เซลล์ผลิตเม็ดสี)
แม่ทัพก็จะสั่งการในวังตั่งต่างๆ ผ่าน Adenylate Cyclase ได้ cAMP กระตุ้นการสร้าง CREB และ Mitf
โดยที่ 2 ตัวนี้จะทำให้เกิดการสะสมวัตถุดิบในการผลิตเม็ดสี เช่น Tyrosinase และเอนไซม์ต่างๆ จนกระทั่งได้ Eumelanin ออกมา

เม็ดสีเข้มที่ได้ก็จะถูกทยอยส่งขึ้นมาที่ผิว เผื่อไว้คราวหน้าถ้าต้องเจอแดดแบบนี้อีก ผิวจะได้เข้มแข็ง
และแข็งแรงมากพอ ที่จะไม่ทำให้เซลล์เกือบตายแบบเดิมอีก
สรุป ผิวคล้ำดำจ้า จากกลไกปกป้องตัวเองล้วนๆ ✅

📌 แดดทำให้อักเสบผิวหนา
เป็นผลฉับพลันทันทีจากการตากแดดเกินลิมิต จนเซลล์ไม่ใช่แค่เกือบตายนะ แต่เซลล์ตายไปเลย !!
ข้อเมื่อกี๊แค่เกือบตายเลยแค่กระตุ้นให้ผิวดำ แต่พอรอบนี้หนักขึ้นจนเซลล์ผิวตาย
มันจะไปกระตุ้นอีกแบบนึง โดยมี p53 เพิ่มขึ้นมา ส่งผลให้กระบวนการสร้างเซลล์ผิวเพิ่มขึ้น ผลคือผิวหนาขึ้นนั่นเอง
สำหรับเซลล์ผิวบางส่วนที่เกือบๆจะตาย ก็จะไปกระตุ้นแบบข้อแรก
ทำให้สุดท้ายผิวทั้งดำทั้งหนาไปเลยจ้า 😨😨🥺😢😭

📌 แดดทำให้เซลล์บาดเจ็บ (อาจเป็นมะเร็งในขั้นนี้แหละ) โดยแดดจะกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ ภาษาอังกฤษ คือ ROS (Reactive Oxygen Species)
เช่น Superoxide anion, Hydrogen peroxide หรือ Hydroxyl radical
ซึ่งจะทำให้ Nucleotide องค์ประกอบของโปรตีนในผิวเกิดการกลายพันธุ์
เพราะอนุมูลอิสระพวกนี้ จะทำให้ DNA จับคู่สายผิดตำแหน่ง จากเดิม G/C กลายเป็น จับ G/A แทน
ถ้าสมมติระบบร่างกายไม่สามารถแก้ได้ ก็จะทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังค่ะ

✅✅ ซึ่งวิธีการแก้ไขคือ เซลล์ผิวเราจะมีระบบซ่อมบำรุง 2 อัน 

🧬อันแรก ชื่อ BER (Base Excision Repair) ทำหน้าที่ตรวจคู่สาย DNA ว่ามีอันไหนจับผิดคู่รึเปล่า
นางก็จะมาตัดทิ้ง ซ่อมใหม่ แล้วก็ต่อให้ถูกใหม่ เรียกง่ายๆ เหมือนเราเผลอติดกระดุมสลับเม็ดแล้วต้องานั่งแกะใหม่ติดใหม่จนหมดอ่ะ

🧬 อันที่สอง แผนกตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ผลิตสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) มาออกมา จับกับอนุมูลอิสระไปเลย เช่น
- Superoxide dismutase (SOD’s) วิ่งจับกับ Superoxide anion
- Gluthathione, Catalase วิ่งจับกับ Hydrogen peroxide
พอสองตัวแรกโดนจับ อนุมูลอิสระที่อันตรายที่สุดอย่าง Hydroxyl radical ก็ไม่เกิดขึ้นมาทำร้ายเซลล์ผิวให้จับคู่เบสผิดๆถูกๆอีก
ผิวเราก็จะปลอดภัยจากการเป็นมะเร็งค่ะ
------------------------------------------------------------------------------

ลองคิดดูนะ เปรียบเหมือนเราใส่เสื้อ ติดกระดุมผิดแค่แถวเดียวยังเสียเวลา แล้วก็หงุดหงิดเลย
แต่ผิวเรามีตั้งกี่ล้านเซลล์ แล้วแต่ละเซลล์มี DNA ยาวเบื๊อยยยยยยย
ไหนจะพันเกลียวกันเองไหนจะพันเกลียวกะเส้นข้างๆ ลองได้จับคู่ผิดขึ้นมาคือแย่เลย
เชื่อเหอะเลี่ยงแดดได้ให้ทำ สงสารร่างกายมั่ง ที่ต้องมานั่งแกะสายดีเอ็นเอทีคู่แล้วซ่อมต่อใหม่ทีละจุดนะคะ

ยังไงก็เลี่ยงแดดทากันแดดมั่งนะค้าาา อย่าให้ร่างกายต้องมาลำบาก และเสี่ยงมะเร็งกันเลยน้า
ปล.ยังไม่จบนะว่าแดดทำไรกับผิวไรได้มั่ง เดี๋ยวพรุ่งนี้รักจะมาต่อที่เหลือให้จบนะคะ

#เพราะรักจึงบอก
#เภสัชกรรักคนเดิม เพิ่มเติมคืออ่านเปเปอร์ยากๆมาเล่าให้ฟังง่ายๆค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่