หมอเตือน! ไวรัส RSV ตอนนี้กลับมาระบาดอีกแล้ว
หลายท่านอาจจะยังไม่คุ้นหูกับคำว่าเชื้อไวรัส RSV เท่าไรนัก คนที่รู้จักไวรัสชนิดนี้ดีส่วนใหญ่มักจะเป็น คุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ปกครอง นั่นก็เพราะ RSV คือเชื้อไวรัสที่มักจะเกิดขึ้นในหมู่เด็กเล็ก ซึ่งช่วงนี้ก็กำลังกลับมาระบาดอีกครั้ง ทั้งโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน พบผู้ป่วยเด็กเยอะมากๆ ที่ป่วยด้วยไข้หวัด หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส RSV โดยจะมีอาการไข้ มีน้ำมูก มีเสมหะ บางคนที่อาการหนักจะมีอาการหายใจหอบเหนื่อย หายใจมีเสียงหวีด
ดังนั้น พ่อแม่ ผู้ปกครองควรหมั่นสังเกตอาการของลูกหลานอย่างใกล้ชิด เพราะหากพลาดไปสักนิดอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ หมอจึงอยากจะมาย้ำเตือนถึงอันตรายของเจ้าเชื้อไวรัส RSVตัวนี้กันอีกรอบว่า...
RSV เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 3 ปี หรือมีโรคประจำตัว และในเด็กกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น
👉 เด็กโรคปอดเรื้อรัง
👉 เด็กโรคหัวใจ
👉 เด็กคลอดก่อนกำหนด
👉 เด็กที่มีโรคทางระบบประสาท เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีปัญหาในการไอ การระบายเสมหะ
👉 เด็กป่วย RSV ที่มีติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงสูงนี้จะมีโอกาสที่มีอาการรุนแรงกว่าเด็กปกติ เชื้อไวรัสนี้สามารถทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบรุนแรงและเสียชีวิตได้
ไวรัส RSV สามารถติดต่อได้จากน้ำลาย ละอองเสมหะของเด็กที่ป่วยและไอออกมา นอกจากการแพร่กระจายจากผู้ที่มีเชื้อแล้ว อาจติดจากการไปสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนน้ำลายของผู้มีเชื้อ ดังนั้นผู้ปกครอง หรือพี่เลี้ยงที่สัมผัสเด็กป่วย ก่อนจะไปสัมผัสเด็กคนอื่นควรล้างมือให้สะอาดก่อนทุกครั้ง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากเด็กคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง
ไวรัสตัวนี้น่ากลัวไม่น้อยเลยนะครับ เพราะถ้ามองเผินๆ คุณพ่อคุณแม่อาจจะคิดว่าลูกเป็นแค่หวัดธรรมดา เนื่องจากอาการของโรคติดเชื้อไวรัส RSV มีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา ซึ่งเด็กที่เป็นหวัดธรรมดาจะมีอาการไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล กินข้าว กินนมได้ และมักจะหายได้ใน 5-7 วัน แต่อาการที่เกิดจากไวรัส RSV จะมีไข้ ไอ จาม หอบเหนื่อย บางคนหอบมากจนอกบุ๋ม หายใจมีเสียงหวีด หรือเด็กบางคนไอมากจนอาเจียน ซึมลง กินข้าว กินนมไม่ได้
ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะเป็นเพียงการรักษาตามอาการแบบประคับประคองรอให้ร่างกายแข็งแรงจนสามารถสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา และดูแลเรื่องการหายใจและเสมหะ เช่น เช็ดตัวลดไข้ ทานยาลดไข้ตามอาการทุก 4-6 ชั่วโมง ให้ยาละลายเสมหะ ยาขยายหลอดลม หรือพ่นยา ในผู้ป่วยที่มีอาการเหนื่อย หายใจไม่ค่อยดี และเริ่มมีออกซิเจนในเลือดต่ำลง อาจต้องให้สารน้ำทางหลอดเลือด ให้ยาพ่นขยายหลอดลม เคาะปอด ดูดเสมหะ รวมถึงให้ออกซิเจน ส่วนในรายที่มีอาการหนักมาก อาจต้องใส่ท่อช่วยหายใจและใช้เครื่องช่วยหายใจ โดยให้การดูแลในหอพยาบาลผู้ป่วยวิกฤติจนกว่าอาการจะดีขึ้น ซึ่งร่างกายจะค่อยๆ ฟื้นตัว อาจใช้เวลาประมาณ 7-14 วัน
และเนื่องจากยังไม่มีวัคซีนป้องกัน การระวังไม่ให้เด็กติดเชื้อไวรัสจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ ผู้ดูแลเด็กรวมถึงคนรอบข้าง ควรล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำสบู่หรือแอลกอฮอล์เจลก่อนไปจับตัวเด็ก แยกของใช้ส่วนตัวของเด็ก และเน้นการทำความสะอาดของเล่น ของใช้เด็ก หลีกเลี่ยงไม่พาเด็กไปสถานที่แออัด คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกป่วยควรให้ลูกหยุดเรียนจนกว่าจะหายเป็นปกติ เพื่อป้องกันการไอจามแพร่เชื้อให้กับเด็กคนอื่นๆ หรือผู้ใหญ่เวลาไม่สบายและจำเป็นต้องดูแลเด็กก็ควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่เด็ก...
“RSV ภัยร้ายคุกคามลูกน้อย เสี่ยงปอดบวม” อ่านข้อมูลเพิ่มเติม https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/272
หมอเตือน! ไวรัส RSV ตอนนี้กลับมาระบาดอีกแล้ว
หมอเตือน! ไวรัส RSV ตอนนี้กลับมาระบาดอีกแล้ว
หลายท่านอาจจะยังไม่คุ้นหูกับคำว่าเชื้อไวรัส RSV เท่าไรนัก คนที่รู้จักไวรัสชนิดนี้ดีส่วนใหญ่มักจะเป็น คุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ปกครอง นั่นก็เพราะ RSV คือเชื้อไวรัสที่มักจะเกิดขึ้นในหมู่เด็กเล็ก ซึ่งช่วงนี้ก็กำลังกลับมาระบาดอีกครั้ง ทั้งโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน พบผู้ป่วยเด็กเยอะมากๆ ที่ป่วยด้วยไข้หวัด หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบจากเชื้อไวรัส RSV โดยจะมีอาการไข้ มีน้ำมูก มีเสมหะ บางคนที่อาการหนักจะมีอาการหายใจหอบเหนื่อย หายใจมีเสียงหวีด
ดังนั้น พ่อแม่ ผู้ปกครองควรหมั่นสังเกตอาการของลูกหลานอย่างใกล้ชิด เพราะหากพลาดไปสักนิดอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ หมอจึงอยากจะมาย้ำเตือนถึงอันตรายของเจ้าเชื้อไวรัส RSVตัวนี้กันอีกรอบว่า...
RSV เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 3 ปี หรือมีโรคประจำตัว และในเด็กกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น
👉 เด็กโรคปอดเรื้อรัง
👉 เด็กโรคหัวใจ
👉 เด็กคลอดก่อนกำหนด
👉 เด็กที่มีโรคทางระบบประสาท เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีปัญหาในการไอ การระบายเสมหะ
👉 เด็กป่วย RSV ที่มีติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงสูงนี้จะมีโอกาสที่มีอาการรุนแรงกว่าเด็กปกติ เชื้อไวรัสนี้สามารถทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบรุนแรงและเสียชีวิตได้
ไวรัส RSV สามารถติดต่อได้จากน้ำลาย ละอองเสมหะของเด็กที่ป่วยและไอออกมา นอกจากการแพร่กระจายจากผู้ที่มีเชื้อแล้ว อาจติดจากการไปสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนน้ำลายของผู้มีเชื้อ ดังนั้นผู้ปกครอง หรือพี่เลี้ยงที่สัมผัสเด็กป่วย ก่อนจะไปสัมผัสเด็กคนอื่นควรล้างมือให้สะอาดก่อนทุกครั้ง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากเด็กคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง
ไวรัสตัวนี้น่ากลัวไม่น้อยเลยนะครับ เพราะถ้ามองเผินๆ คุณพ่อคุณแม่อาจจะคิดว่าลูกเป็นแค่หวัดธรรมดา เนื่องจากอาการของโรคติดเชื้อไวรัส RSV มีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา ซึ่งเด็กที่เป็นหวัดธรรมดาจะมีอาการไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล กินข้าว กินนมได้ และมักจะหายได้ใน 5-7 วัน แต่อาการที่เกิดจากไวรัส RSV จะมีไข้ ไอ จาม หอบเหนื่อย บางคนหอบมากจนอกบุ๋ม หายใจมีเสียงหวีด หรือเด็กบางคนไอมากจนอาเจียน ซึมลง กินข้าว กินนมไม่ได้
ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะเป็นเพียงการรักษาตามอาการแบบประคับประคองรอให้ร่างกายแข็งแรงจนสามารถสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา และดูแลเรื่องการหายใจและเสมหะ เช่น เช็ดตัวลดไข้ ทานยาลดไข้ตามอาการทุก 4-6 ชั่วโมง ให้ยาละลายเสมหะ ยาขยายหลอดลม หรือพ่นยา ในผู้ป่วยที่มีอาการเหนื่อย หายใจไม่ค่อยดี และเริ่มมีออกซิเจนในเลือดต่ำลง อาจต้องให้สารน้ำทางหลอดเลือด ให้ยาพ่นขยายหลอดลม เคาะปอด ดูดเสมหะ รวมถึงให้ออกซิเจน ส่วนในรายที่มีอาการหนักมาก อาจต้องใส่ท่อช่วยหายใจและใช้เครื่องช่วยหายใจ โดยให้การดูแลในหอพยาบาลผู้ป่วยวิกฤติจนกว่าอาการจะดีขึ้น ซึ่งร่างกายจะค่อยๆ ฟื้นตัว อาจใช้เวลาประมาณ 7-14 วัน
และเนื่องจากยังไม่มีวัคซีนป้องกัน การระวังไม่ให้เด็กติดเชื้อไวรัสจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ ผู้ดูแลเด็กรวมถึงคนรอบข้าง ควรล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำสบู่หรือแอลกอฮอล์เจลก่อนไปจับตัวเด็ก แยกของใช้ส่วนตัวของเด็ก และเน้นการทำความสะอาดของเล่น ของใช้เด็ก หลีกเลี่ยงไม่พาเด็กไปสถานที่แออัด คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกป่วยควรให้ลูกหยุดเรียนจนกว่าจะหายเป็นปกติ เพื่อป้องกันการไอจามแพร่เชื้อให้กับเด็กคนอื่นๆ หรือผู้ใหญ่เวลาไม่สบายและจำเป็นต้องดูแลเด็กก็ควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่เด็ก...
“RSV ภัยร้ายคุกคามลูกน้อย เสี่ยงปอดบวม” อ่านข้อมูลเพิ่มเติม https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/272