EXIM BANK ชี้ 9 เดือน หนี้เสียพุ่ง 8 พันล้านบาท ขาดทุนกว่า 1.2 พันล้านบาท
https://www.prachachat.net/finance/news-544143
EXIM BANK เผยผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรก ของปี’63 ชี้สินเชื่อคงค้างเพิ่ม 2 หมื่นล้าน ชี้เศรษฐกิจถดถอยทำ NPL พุ่ง 8 พันล้าน ขาดทุน 1.2 พันล้าน หลังจากสำรองผลขาดทุนด้านเครดิต พร้อมเคียงข้างผู้ประกอบการไทยเร่งฟื้นฟูธุรกิจจากวิกฤตโควิด-19
นาย
พิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนของปี 2563 (มกราคม-กันยายน 2563) ว่า EXIM BANK มีสินเชื่อคงค้าง 129,771 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20,027 ล้านบาท หรือ 18.25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อการค้า 34,836 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อการลงทุน 94,935 ล้านบาท
ทั้งนี้ การปล่อยสินเชื่อของ EXIM BANK ทำให้เกิดปริมาณธุรกิจ (Business Turnover) 116,353 ล้านบาท เป็นปริมาณธุรกิจของ SMEs 40,284 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 34.62% ซึ่งจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่ถดถอยและกระทบต่อสภาพคล่องของผู้ประกอบการ ส่งผลให้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 EXIM BANK มีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Ratio) 6.26% โดยมีสินเชื่อด้อยคุณภาพจำนวน 8,120 ล้านบาท
นอกจากนี้ ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับใหม่ (TFRS 9) ทำให้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 EXIM BANK มีค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss) จำนวน 13,565 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง คิดเป็นอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) 167.05%
สำหรับผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 EXIM BANK มีกำไรก่อนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และสำรองอื่น ๆ เท่ากับ 1,758 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม จากการสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งเพิ่มขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจภายนอกที่มีความเสี่ยงสูง ทำให้ EXIM BANK มีผลประกอบการขาดทุนสุทธิ 1,271 ล้านบาท
“จากผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 EXIM BANK มีกำไรก่อนสำรองกว่า 1,700 ล้านบาท แสดงให้เห็นฐานะทางการเงินที่มั่นคงและแข็งแกร่งของธนาคาร อย่างไรก็ตาม เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูกิจการของลูกค้า อันจะเป็นการขับเคลื่อนการเติบโตของภาคการส่งออกและเศรษฐกิจไทย ธนาคารจำเป็นต้องเร่งขยายบริการทั้งทางการเงินและไม่ใช่การเงินให้แก่ลูกค้าตามความต้องการของแต่ละกิจการที่แตกต่างไป
และตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตามสภาวะความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจในตลาดโลก เป็นไปตามบทบาทหน้าที่ของการเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาที่พร้อมตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของทุกภาคส่วนตามวัตถุประสงค์การก่อตั้ง โดยมีเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การค้าและการลงทุนของประเทศไทยแม้ในสภาวะที่ภาคเศรษฐกิจไทยและทั่วโลกได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในปีนี้” นาย
พิศิษฐ์ กล่าว
ขณะที่การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยขยายฐานการค้าและการลงทุนไปยังต่างประเทศในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 EXIM BANK มีวงเงินสนับสนุนสินเชื่อโครงการระหว่างประเทศรวมทั้งสิ้น 94,835 ล้านบาท โดยเป็นสินเชื่อคงค้างจำนวน 55,483 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12,717 ล้านบาท หรือคิดเป็น 29.74% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ EXIM BANK มุ่งเน้นการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยขยายการส่งออกและลงทุนไปยังตลาดใหม่ (New Frontiers) ซึ่งรวมถึงกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 มีสินเชื่อคงค้างจำนวน 39,990 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,308 ล้านบาทหรือ 15.30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและเป้าหมายการดำเนินงานของ EXIM BANK ภายใต้ทีมไทยแลนด์ ภายหลังการเปิดสำนักงานผู้แทนของ EXIM BANK ในย่างกุ้ง เวียงจันทน์ และพนมเปญเมื่อปี 2560-2562 และปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมการเปิดสำนักงานผู้แทน EXIM BANK ในเวียดนามเป็นลำดับต่อไป
สำหรับการให้บริการประกันการส่งออกและการลงทุนเพื่อช่วยให้ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจได้อย่างมั่นใจ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ผู้นำเข้าในต่างประเทศมีโอกาสที่จะชำระเงินล่าช้าหรือประสบปัญหาสภาพคล่องทางธุรกิจ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 EXIM BANK มีปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและการลงทุนเท่ากับ 125,192 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28,420 ล้านบาทหรือ 29.37% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ EXIM BANK ได้สนับสนุนผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่องในช่วงที่เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้นตัวจากโควิด-19 โดยติดต่อไปยังลูกค้าทุกราย เพื่อสอบถามความต้องการของกิจการ และออกมาตรการช่วยเหลือ/เยียวยาลูกค้า ประกอบด้วยการพักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 6 เดือน
สำหรับลูกค้าที่มีวงเงินสินเชื่อทั้งระยะสั้นและระยะยาวกับ EXIM BANK การขยายเงื่อนไขบริการประกันการส่งออก การสนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ ทั้งสินเชื่อระยะยาวและสินเชื่อระยะสั้น อัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 2% ต่อปี เพื่อนำไปใช้หมุนเวียนในกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกและลงทุนที่ได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อมจากโควิด-19 ปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ ต่อเติม ปรับปรุงโรงงาน หรือส่งเสริมการจ้างงาน
รวมทั้งเครื่องมือทางการเงินในการบริหารความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศ เช่น บริการประเมินความเสี่ยงผู้ซื้อ/ธนาคารผู้ซื้อในต่างประเทศ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยมีข้อมูลในการตัดสินใจค้าขายกับผู้ซื้อในต่างประเทศ และประกันการส่งออก เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อในต่างประเทศ
ขณะเดียวกัน EXIM BANK ยังสนับสนุนด้านข้อมูลและความรู้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการ โดยเร่งชี้โอกาสเพื่อให้ผู้ประกอบการปรับตัวและเล็งเห็นช่องทางการค้าในตลาดใหม่ ๆ ตลอดจนเสริมสร้างความรู้ด้าน e-Commerce ผ่านการให้คำปรึกษา จัดอบรม และสัมมนาออนไลน์แก่ผู้ประกอบการไทย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 EXIM BANK ได้ช่วยเหลือทั้งด้านการเงินและไม่ใช่การเงินแก่ผู้ประกอบการจำนวนประมาณ 6,000 ราย วงเงินรวม 54,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ลูกค้า EXIM BANK ที่ยังประสบปัญหาในการดำเนินกิจการส่งออกหรือลงทุนระหว่างประเทศในปัจจุบันสามารถเข้าร่วมโครงการฟื้นฟูผู้ประกอบการหลังสถานการณ์โควิด-19 ได้ เพื่อขอขยายระยะเวลา เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระเงินกู้ตามความต้องการของกิจการ โดยสามารถขอรับวงเงินสินเชื่อเพิ่มได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
ส.ส.ก้าวไกล ชงตั้งคกก.สอบสลายชุมนุม หมกเม็ดไม่แจงสารเคมีผสมน้ำ ละเมิดสิทธิมนุษยชน
https://www.matichon.co.th/politics/news_2413857
‘ส.ส.ก้าวไกล’ ชงตั้งคกก.สอบการสลายการชุมนุม ชี้หมกเม็ดไม่แจงสารเคมีผสมน้ำ ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง
เมื่อเวลา 17.45 น. วันที่ 26 ตุลาคม ที่รัฐสภา นพ.
เอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.เชียงราย พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า เยาวชนที่มาร่วมชุมนุมเป็นความปกติแต่ถูกทำให้ไม่ปกติ พวกเขาพูดถึงการปฏิรูปในหลายด้าน เช่น การศึกษา รัฐสวัสดิการ ความหลกาหลายทางเพศ และอนาคตของเขา เป็นสิ่งที่ควรเอามาฟัง แต่กลับมากล่าวหาผู้ชุมนุมและลูกหลานของตัวเอง และยืนยันความถูกต้องในการทำร้ายลูกหลานตัวเอง ตนจะกล่าวถึงกรณีที่กล่าวว่าการชุมนุมจะส่งผลต่อการระบาดของโควิด-19 พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า ศบค. ไม่มีความรู้ แต่ใช้เชื้อโรคมาเป็นข้ออ้าง เพราะตั้งแต่มีการชุมนุมมาไม่มีรายงานว่ามีผู้ติดเชื้อจากการชุมนุม และจากการสลายการชุมนุม ผู้ชุมนุมมีอาการคล้ายคลึงกับแก๊สน้ำตา ทั้งยังมีการรายงานจากสมาคมโรคปอดของสหรัฐอเมริกากล่าวว่าการใช้แก๊สน้ำตาทำให้คนมีความเสี่ยงในการเป็นโควิดและห้ามใช้ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ดังนั้นแทนที่จะกล่าวหาผู้ชุมนุม ต้องโทษรัฐบาลมากกว่าที่ทำให้มีความเสี่ยงต่อการระบาด
ส่วนการกล่าวว่าการใช้กำลังสลายการชุมนุมเป็นไปตามหลักสากล ตนถามกลับว่าใช้แหล่งไหนอ้างอิง ตนใช้เอกสารกฎการใช้กำลังของสหประชาชาติปี 2020 ที่กำหนดว่าต้องทำเมื่อมีความจำเป็นและต้องได้สัดส่วน และต้องระวังกลุ่มเปราะบาง แต่ในการชุมนุมมีเด็กซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง เมื่อดูการสลายการชุมนุมแยกปทุมวัน เป็นการชุมนุมโดยสงบ แต่กลับมีการฉีดน้ำสลายการชุมนุม ซึ่งการฉีดน้ำสลายการชุมนุมในระยะใกล้เคยส่งผลให้มีตัวอย่างผู้เสียชีวิตมาแล้วในต่างประเทศ อีกทั้งการสลายการชุมนุมที่แยกปทุมวันมีการผสมสารเคมีบางอย่าง หลักการสากลในการใช้สารเคมีต้องมีข้อมูลด้านพิษวิทยา และเผยแพร่ว่าใช้สารเคมีอะไรอย่างชัดเจน เพื่อให้คนที่ได้รับผลได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี การไม่แจ้งจึงถือว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ตนขอเสนอให้สภานี้ตั้งคณะกรรมาธิการ หรือใช้กรรมาธิการสามัญของสภาตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ให้กระจ่าง เพราะตอนนี้ยังไม่มีการความรับผิดชอบหรือการแถลงจาก กอ.รฉ. ว่าสารเคมีคืออะไร แก๊สน้ำตานอกจากจะทำให้มีผลต่อปอดแล้ว คนที่อ่อนแออาจถึงชีวิตได้
นพ.
เอกภพ อภิปรายต่อว่า ส่วนรั้วลวดหนามก็ไม่ถูกหลักสากลของการตั้งสิ่งกีดขวาง เพราะต้องไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ อาวุธควบคุมความเสี่ยงที่อันตรายถึงชีวิต กองกำลังควบคุมฝูงชนต้องดูแลสิทธิมนุษยชนตลอดการปฏิบัติการ และตำรวจที่มาทำงานในวันนั้น มีความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของผู้ชุมนุมแค่ไหน มีการอบรมกี่ชั่วโมง หรือผ่านการประเมินหรือไม่ และต้องมีการให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์อย่างทันท่วงที แต่กลับกัน เจ้าหน้าที่รัฐกลับเข้ามารบกวนการปฏิบัติงานของอาสาสมัครแพทย์ตลอดเวลา มีการยึดเครื่องมือการสื่อสาร และผู้สื่อข่าวเผยแพร่ว่าเจ้าหน้าที่ปิดกั้นรถข่าวไม่ให้เดินทาง และมีการจับกุมอาสาสมัครแพทย์ไปด้วย ซึ่งผิดกับหลักสากลอย่างชัดเจน ความโปร่งใสของการปฏิบัติการต้องมีการสังเกตการณ์และให้ข้อมูลกับหน่วยงานกลาง เช่น ผู้ตรวจการแผ่นดิน และต้องแจ้งทันที แต่มีหรือไม่กับการปฏิบัติการครั้งนี้ อีกทั้งยังมีหลักการสากลชัดเจนว่าการเชื่อฟังคำสั่งที่ผิดกฎหมาย ผู้ปฏิบัติการก็มีความผิดเช่นกัน ดังนั้นตนจึงขอเรียกร้องให้ผู้ปฏิบัติการที่อึดอัดใจมายืนเคียงข้างประชาชน และการปฏิบัติการที่ขัดต่อหลักสากล รัฐบาลต้องรับผิดชอบ ชาติคือประชาชน คำว่ารักชาติต้องมีค่ามากกว่าตำแหน่ง แต่ถ้าทำแบบนี้คือไม่รักประชาชน ตนขอให้นายกฯ ลาออก
JJNY : 4in1 EXIM BANK ชี้9ด.หนี้เสียพุ่ง/กก.ชงตั้งคกก.สอบสลายชุมนุม/“อดีตขุนคลัง”ถามถ้ายุบสภาจริง/ "เอ๋-มายด์"ร่วมรายการ
https://www.prachachat.net/finance/news-544143
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนของปี 2563 (มกราคม-กันยายน 2563) ว่า EXIM BANK มีสินเชื่อคงค้าง 129,771 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20,027 ล้านบาท หรือ 18.25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อการค้า 34,836 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อการลงทุน 94,935 ล้านบาท
ทั้งนี้ การปล่อยสินเชื่อของ EXIM BANK ทำให้เกิดปริมาณธุรกิจ (Business Turnover) 116,353 ล้านบาท เป็นปริมาณธุรกิจของ SMEs 40,284 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 34.62% ซึ่งจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่ถดถอยและกระทบต่อสภาพคล่องของผู้ประกอบการ ส่งผลให้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 EXIM BANK มีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Ratio) 6.26% โดยมีสินเชื่อด้อยคุณภาพจำนวน 8,120 ล้านบาท
นอกจากนี้ ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับใหม่ (TFRS 9) ทำให้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 EXIM BANK มีค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss) จำนวน 13,565 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง คิดเป็นอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) 167.05%
สำหรับผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 EXIM BANK มีกำไรก่อนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และสำรองอื่น ๆ เท่ากับ 1,758 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม จากการสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งเพิ่มขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจภายนอกที่มีความเสี่ยงสูง ทำให้ EXIM BANK มีผลประกอบการขาดทุนสุทธิ 1,271 ล้านบาท
“จากผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 EXIM BANK มีกำไรก่อนสำรองกว่า 1,700 ล้านบาท แสดงให้เห็นฐานะทางการเงินที่มั่นคงและแข็งแกร่งของธนาคาร อย่างไรก็ตาม เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูกิจการของลูกค้า อันจะเป็นการขับเคลื่อนการเติบโตของภาคการส่งออกและเศรษฐกิจไทย ธนาคารจำเป็นต้องเร่งขยายบริการทั้งทางการเงินและไม่ใช่การเงินให้แก่ลูกค้าตามความต้องการของแต่ละกิจการที่แตกต่างไป
และตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตามสภาวะความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจในตลาดโลก เป็นไปตามบทบาทหน้าที่ของการเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาที่พร้อมตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของทุกภาคส่วนตามวัตถุประสงค์การก่อตั้ง โดยมีเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การค้าและการลงทุนของประเทศไทยแม้ในสภาวะที่ภาคเศรษฐกิจไทยและทั่วโลกได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในปีนี้” นายพิศิษฐ์ กล่าว
ขณะที่การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยขยายฐานการค้าและการลงทุนไปยังต่างประเทศในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 EXIM BANK มีวงเงินสนับสนุนสินเชื่อโครงการระหว่างประเทศรวมทั้งสิ้น 94,835 ล้านบาท โดยเป็นสินเชื่อคงค้างจำนวน 55,483 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12,717 ล้านบาท หรือคิดเป็น 29.74% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ EXIM BANK มุ่งเน้นการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยขยายการส่งออกและลงทุนไปยังตลาดใหม่ (New Frontiers) ซึ่งรวมถึงกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 มีสินเชื่อคงค้างจำนวน 39,990 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,308 ล้านบาทหรือ 15.30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและเป้าหมายการดำเนินงานของ EXIM BANK ภายใต้ทีมไทยแลนด์ ภายหลังการเปิดสำนักงานผู้แทนของ EXIM BANK ในย่างกุ้ง เวียงจันทน์ และพนมเปญเมื่อปี 2560-2562 และปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมการเปิดสำนักงานผู้แทน EXIM BANK ในเวียดนามเป็นลำดับต่อไป
สำหรับการให้บริการประกันการส่งออกและการลงทุนเพื่อช่วยให้ผู้ส่งออกและนักลงทุนไทยเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจได้อย่างมั่นใจ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ผู้นำเข้าในต่างประเทศมีโอกาสที่จะชำระเงินล่าช้าหรือประสบปัญหาสภาพคล่องทางธุรกิจ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 EXIM BANK มีปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและการลงทุนเท่ากับ 125,192 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28,420 ล้านบาทหรือ 29.37% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ EXIM BANK ได้สนับสนุนผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่องในช่วงที่เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณฟื้นตัวจากโควิด-19 โดยติดต่อไปยังลูกค้าทุกราย เพื่อสอบถามความต้องการของกิจการ และออกมาตรการช่วยเหลือ/เยียวยาลูกค้า ประกอบด้วยการพักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 6 เดือน
สำหรับลูกค้าที่มีวงเงินสินเชื่อทั้งระยะสั้นและระยะยาวกับ EXIM BANK การขยายเงื่อนไขบริการประกันการส่งออก การสนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ ทั้งสินเชื่อระยะยาวและสินเชื่อระยะสั้น อัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 2% ต่อปี เพื่อนำไปใช้หมุนเวียนในกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกและลงทุนที่ได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อมจากโควิด-19 ปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ ต่อเติม ปรับปรุงโรงงาน หรือส่งเสริมการจ้างงาน
รวมทั้งเครื่องมือทางการเงินในการบริหารความเสี่ยงทางการค้าระหว่างประเทศ เช่น บริการประเมินความเสี่ยงผู้ซื้อ/ธนาคารผู้ซื้อในต่างประเทศ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยมีข้อมูลในการตัดสินใจค้าขายกับผู้ซื้อในต่างประเทศ และประกันการส่งออก เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อในต่างประเทศ
ขณะเดียวกัน EXIM BANK ยังสนับสนุนด้านข้อมูลและความรู้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการ โดยเร่งชี้โอกาสเพื่อให้ผู้ประกอบการปรับตัวและเล็งเห็นช่องทางการค้าในตลาดใหม่ ๆ ตลอดจนเสริมสร้างความรู้ด้าน e-Commerce ผ่านการให้คำปรึกษา จัดอบรม และสัมมนาออนไลน์แก่ผู้ประกอบการไทย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 EXIM BANK ได้ช่วยเหลือทั้งด้านการเงินและไม่ใช่การเงินแก่ผู้ประกอบการจำนวนประมาณ 6,000 ราย วงเงินรวม 54,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ลูกค้า EXIM BANK ที่ยังประสบปัญหาในการดำเนินกิจการส่งออกหรือลงทุนระหว่างประเทศในปัจจุบันสามารถเข้าร่วมโครงการฟื้นฟูผู้ประกอบการหลังสถานการณ์โควิด-19 ได้ เพื่อขอขยายระยะเวลา เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระเงินกู้ตามความต้องการของกิจการ โดยสามารถขอรับวงเงินสินเชื่อเพิ่มได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
ส.ส.ก้าวไกล ชงตั้งคกก.สอบสลายชุมนุม หมกเม็ดไม่แจงสารเคมีผสมน้ำ ละเมิดสิทธิมนุษยชน
https://www.matichon.co.th/politics/news_2413857
‘ส.ส.ก้าวไกล’ ชงตั้งคกก.สอบการสลายการชุมนุม ชี้หมกเม็ดไม่แจงสารเคมีผสมน้ำ ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง
เมื่อเวลา 17.45 น. วันที่ 26 ตุลาคม ที่รัฐสภา นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.เชียงราย พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า เยาวชนที่มาร่วมชุมนุมเป็นความปกติแต่ถูกทำให้ไม่ปกติ พวกเขาพูดถึงการปฏิรูปในหลายด้าน เช่น การศึกษา รัฐสวัสดิการ ความหลกาหลายทางเพศ และอนาคตของเขา เป็นสิ่งที่ควรเอามาฟัง แต่กลับมากล่าวหาผู้ชุมนุมและลูกหลานของตัวเอง และยืนยันความถูกต้องในการทำร้ายลูกหลานตัวเอง ตนจะกล่าวถึงกรณีที่กล่าวว่าการชุมนุมจะส่งผลต่อการระบาดของโควิด-19 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า ศบค. ไม่มีความรู้ แต่ใช้เชื้อโรคมาเป็นข้ออ้าง เพราะตั้งแต่มีการชุมนุมมาไม่มีรายงานว่ามีผู้ติดเชื้อจากการชุมนุม และจากการสลายการชุมนุม ผู้ชุมนุมมีอาการคล้ายคลึงกับแก๊สน้ำตา ทั้งยังมีการรายงานจากสมาคมโรคปอดของสหรัฐอเมริกากล่าวว่าการใช้แก๊สน้ำตาทำให้คนมีความเสี่ยงในการเป็นโควิดและห้ามใช้ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ดังนั้นแทนที่จะกล่าวหาผู้ชุมนุม ต้องโทษรัฐบาลมากกว่าที่ทำให้มีความเสี่ยงต่อการระบาด
ส่วนการกล่าวว่าการใช้กำลังสลายการชุมนุมเป็นไปตามหลักสากล ตนถามกลับว่าใช้แหล่งไหนอ้างอิง ตนใช้เอกสารกฎการใช้กำลังของสหประชาชาติปี 2020 ที่กำหนดว่าต้องทำเมื่อมีความจำเป็นและต้องได้สัดส่วน และต้องระวังกลุ่มเปราะบาง แต่ในการชุมนุมมีเด็กซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง เมื่อดูการสลายการชุมนุมแยกปทุมวัน เป็นการชุมนุมโดยสงบ แต่กลับมีการฉีดน้ำสลายการชุมนุม ซึ่งการฉีดน้ำสลายการชุมนุมในระยะใกล้เคยส่งผลให้มีตัวอย่างผู้เสียชีวิตมาแล้วในต่างประเทศ อีกทั้งการสลายการชุมนุมที่แยกปทุมวันมีการผสมสารเคมีบางอย่าง หลักการสากลในการใช้สารเคมีต้องมีข้อมูลด้านพิษวิทยา และเผยแพร่ว่าใช้สารเคมีอะไรอย่างชัดเจน เพื่อให้คนที่ได้รับผลได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี การไม่แจ้งจึงถือว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ตนขอเสนอให้สภานี้ตั้งคณะกรรมาธิการ หรือใช้กรรมาธิการสามัญของสภาตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ให้กระจ่าง เพราะตอนนี้ยังไม่มีการความรับผิดชอบหรือการแถลงจาก กอ.รฉ. ว่าสารเคมีคืออะไร แก๊สน้ำตานอกจากจะทำให้มีผลต่อปอดแล้ว คนที่อ่อนแออาจถึงชีวิตได้
นพ.เอกภพ อภิปรายต่อว่า ส่วนรั้วลวดหนามก็ไม่ถูกหลักสากลของการตั้งสิ่งกีดขวาง เพราะต้องไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ อาวุธควบคุมความเสี่ยงที่อันตรายถึงชีวิต กองกำลังควบคุมฝูงชนต้องดูแลสิทธิมนุษยชนตลอดการปฏิบัติการ และตำรวจที่มาทำงานในวันนั้น มีความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของผู้ชุมนุมแค่ไหน มีการอบรมกี่ชั่วโมง หรือผ่านการประเมินหรือไม่ และต้องมีการให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์อย่างทันท่วงที แต่กลับกัน เจ้าหน้าที่รัฐกลับเข้ามารบกวนการปฏิบัติงานของอาสาสมัครแพทย์ตลอดเวลา มีการยึดเครื่องมือการสื่อสาร และผู้สื่อข่าวเผยแพร่ว่าเจ้าหน้าที่ปิดกั้นรถข่าวไม่ให้เดินทาง และมีการจับกุมอาสาสมัครแพทย์ไปด้วย ซึ่งผิดกับหลักสากลอย่างชัดเจน ความโปร่งใสของการปฏิบัติการต้องมีการสังเกตการณ์และให้ข้อมูลกับหน่วยงานกลาง เช่น ผู้ตรวจการแผ่นดิน และต้องแจ้งทันที แต่มีหรือไม่กับการปฏิบัติการครั้งนี้ อีกทั้งยังมีหลักการสากลชัดเจนว่าการเชื่อฟังคำสั่งที่ผิดกฎหมาย ผู้ปฏิบัติการก็มีความผิดเช่นกัน ดังนั้นตนจึงขอเรียกร้องให้ผู้ปฏิบัติการที่อึดอัดใจมายืนเคียงข้างประชาชน และการปฏิบัติการที่ขัดต่อหลักสากล รัฐบาลต้องรับผิดชอบ ชาติคือประชาชน คำว่ารักชาติต้องมีค่ามากกว่าตำแหน่ง แต่ถ้าทำแบบนี้คือไม่รักประชาชน ตนขอให้นายกฯ ลาออก