กับเรื่องหมาหมาอีกครั้งหนึ่ง
วันนี้ก็กลับมาบ้านค่ำตามปกติเดินมาหลังบ้านเหลือบ เห็นภรรยานั่งหงอยเหงาซึมเศร้าอยู่ก็เลยทักถามว่าเป็นอะไร เธอก็เลยบอกว่าเจ้าไข่ย้อยไปซะแล้ว. ผมก็แอบตกใจนิดนึงแต่ก็ไม่เหนือความคาดหมายเพราะเนื่องจากเตรียมใจไว้แล้ว เพราะตอนเช้าก่อนไปทำงานก็ยังแอบสั่งลามันอยู่. ก่อนอื่นก็อยากขอเล่าเรื่องราวย้อนหลังของเจ้าไข่ย้อยสุนัขพันธุ์ทางซึ่งเวลาไปหาหมอไม่สามารถบอกได้ว่าสุนัขตัวนี้มี เผ่าพันธุ์หรือสืบเชื้อสายมาจากไหน. เพราะเป็นหมาพันธุ์ที่ไม่มีสกุลรุนชาติอย่างแท้จริงความเป็นมาของเจ้าหมาตัวนี้คือเริ่มต้นประมาณ 10 กว่าปีก่อน. พนักงานในร้านคนหนึ่งซึ่งมีนิสัยไม่รู้จักกาลเทศะพูดมากหน้าตาก็ไม่สวย ทำงานก็ไม่เรียบร้อยแบบว่าเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบายนั่นเอง. ได้ทำการหอบลูกสุนัขตัวเล็กๆตัวหนึ่งมาฝากภรรยาผมเลี้ยงไว้ที่ร้านว่าจะเอาไปให้คนอื่นปรากฏว่าคนที่จะรับเค้าเปลี่ยนใจเลยตกกระไดพลอยโจนจำเป็นต้องเลี้ยงไว้. เนื่องจากเป็นหมาที่ขี้เหร่มากๆหาความน่ารักก็ไม่ได้ยิ่งผมไม่ค่อยชอบคนที่เอามาให้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็เลยไม่ค่อยชอบเจ้าหมาตัวนี้ เพิ่มเข้าไปอีก. และได้ตั้งชื่อมันว่าเจ้าไข่ย้อย. พฤติกรรมของมันก็ช่างเหมือนคนที่เอามาให้เหลือเกินคือเป็นหมาที่ไม่เชื่อฟังเจ้าของอยากทำอะไรก็ทำ ตามธรรมดาสุนัขโดยทั่วไปเมื่อเราเลี้ยงไว้ในบ้านเวลาเราเรียกสุนัขย่อมจะกระดิกหางเข้ามาหาเรา แต่เจ้าไข่ย้อยหาเป็นเช่นนั้นไม่เวลาเราเรียกแต่ทำหูทวนลมอยากมาก็มาไม่อยากมาก็ไม่มาไม่เคยเลยที่จะเรียกแล้วกระดิกหางเข้ามาหาตอนเรียกยกเว้นมันอยากจะเข้ามาหาเราเองมันก็มา เวลาเจ้าของจะจับอาบน้ำมันก็จะครางฮึ่มๆในลำคอ เหมือนไม่พอใจและเป็นหมาตัวเดียวในบ้านที่ผมไม่เคยพิศวาสมันที่จะจับมันอาบน้ำเลยแม้แต่สักครั้งเดียว. ชอบเห่าโดยไร้สาระและชอบวิ่งไล่เวลาเค้าปั่นจักรยานหรือขับมอไซร์ผ่านหน้าบ้าน. โดยจับคู่กับเจ้าอังเปาที่ตายไปก่อนนั่นเองจนบางครั้งผมได้เอาไม้มาแขวนคอไว้เพื่อให้ไม้กระทบหน้าขาเวลามันวิ่ง. แต่พอลูกค้ามานั่งทานข้าวที่ร้านก็จะบอกว่าผมทรมานสัตว์ก็เลยจำเป็นต้องเอาออก ผมจะบอกลูกค้าเสมอว่าอย่าไปจับหัวมันหรือแสดงความเป็นมิตรกับมันเวลามันเดินผ่านเพราะมันเป็นหมาที่ไม่มีมารยาทเพราะแค่จับหัวมันนิดเดียวมันก็จะนั่งเฝ้าและตีสนิทขอกินอาหารประจำโต๊ะนั้นไปเลย ถ้าไม่ให้มันก็จะเอาขาไปเคาะขาของลูกค้าที่นั่งบนเก้าอี้เพื่อให้หันมองมองและหยิบชิ้นอาหารมาให้มันทาน. เจ้าไข่ย้อยจะเป็นขวัญใจของลูกค้าในร้านเพราะเธอจะเดินไปเดินมาอย่างไม่แคร์ใครขอให้มีใครจับหัวรึเรียกชื่อนิดเดียวก็จะตีสนิทแล้วก็นั่งเฝ้าดูขออาหารทานตลอด. ผมก็ต้องบอกลูกค้าเสมอว่าอย่าไปให้ความสนิทสนมกับมันเป็นอันขาดเพราะมันจะลามปาม. อีกอย่าง. เวลาพ่อผมกลับมาพักที่บ้าน. มันก็จะเชิดหยิ่งผยอง เพราะมันเป็นสุนัขตัวโปรดของพ่อผม เพราะเวลาพ่อผมดูทีวีรึทานข้าว มันจะนั่งตัวตรง ชูคออยู่ไม่ห่าง รอขนมที่พ่อผมจะแบ่งให้. ใครไล่ไปว่าขวางทางก็ไม่สน ถือว่าพ่อผมให้ท้ายมัน. ไล่ยังไงก็ไม่ไป. จนตกมาปีนี้ความแก่ชราของเจ้าไข่ย้อยฐานะเป็นคนก็น่าจะอายุถึง 100 ปีเริ่มที่จะตาฟ่าฟาง. และไม่มีการวิ่งไล่คนปั่นจักรยานมาเป็นปีแล้ว. พักหลังมาก็เริ่มเบื่ออาหารยิ่งเจ้าอังเปาคู่หูมาเสียชีวิตไปก่อนก็ยิ่งทำให้เจ้าไข่ย้อยเหงาหงอย. นอนซมทั้งวัน คุณหมอที่มาดูก็บอกว่าเป็นอาการของโรคชราและเลือดเริ่มเป็นพิษ. และก็เริ่มเยี่ยวหรืออุจจาระไม่เป็นที่ต้องตามเก็บให้ตลอดแต่ก็ไม่เป็นไรถือว่าเป็นผู้ชราประจำบ้านก็เลี้ยงไว้ผมน่ะบอกว่าไข่ย้อยเอ้ยเมื่อไหร่จะตายสักทีแต่ก็ไม่ตายสักที. อีกอย่างเจ้าไข่ย้อยเป็นสุนัขตัวเดียวของบ้านที่ไม่เคยโดนรถชนเลยนะครับนอกนั้นสุนัขหลายตัวที่บ้านเคยผ่านอุบัติเหตุมาทั้งหมดขนาดเจ้าอังเปาก็โดยชนจนเดินขากะเพลกจนตายมีเจ้าไข่ย้อยตัวเดียวนี่แหละที่รอดพ้นเพราะตอนข้ามถนนจะมองซ้ายมองขวาก่อนตลอด. ตลอดสี่ห้าวันมานี้เจ้าไข่ก็จะนอนที่บริเวณตรงที่แม่บ้านผมนั่งตลอดทุกวันนอนซมเวลาตื่นขึ้นมามองไม่เห็นแม่บ้านผมในสายตาก็จะร้อง เห่า จนแม่บ้านผมเดินเข้ามาทักและบอกว่าอยู่แถวนี้ไม่ได้ไปไหน. มันก็จะเงียบเสียงลงไป
และผมก็รู้ว่าเจ้าไข่ย้อยนี้คงอยู่กับผมอีกไม่นานซึ่งในตอนเช้าวันนี้ก่อนผมจะไปทำงานก็เลยได้แวะไปลูบหัวแล้วบอกว่าให้พยามต่อสู้เขาไว้นะถึงแม้ว่าฉันจะไม่รักเอ็งแต่ก็ไม่ได้อยากให้เอ็งจากไปเท่าไหร่มันก็ผงกหัวขึ้นมาดูผมหลังจากนั้นผมก็ไปทำงานตามปกติแล้วพอกลับมาก็ได้ยินภรรยาผม ตอบผมหลังจากผมทักทายเห็นนั่งเหงาๆ และบอกว่าไข่ย้อยนะไปซะแล้ว. เมื่อมันไปจริงๆผมก็รู้สึกเสียใจแล้วก็เศร้าโศกเหมือนคนที่สนิทเราจากเราไปอีกครั้งหนึ่งเพราะเจ้าไข่ย้อยอยู่กับผมมา 10 กว่าปีแล้วผมเห็นจนชินตาว่ามันจะมานั่งรอทานอาหา โดยท่าทางจะนั่งตัวตรงเชิดหน้าขึ้นอย่าสง่าผ่าเผยและก็จะไม่ล้ำเขตประตูครัวเข้ามาเป็นอันขาด. ยกเว้นเรียกให้เข้ามาทานอาหารด้วย ยังไงก็ขอให้ไปดีนะเจ้าไข่ย้อยเกิดชาติหน้าก็ให้เป็นคนอยู่ร่วมกัน. ตอนที่มันอยู่ผมไม่รู้สึกว่าผมจะรักมันมากมายเลยแต่หลังจากพี่รู้ว่าหลังจากนี้จะไม่เจอมันอีกแล้วในพื้นที่ของบ้านกลับมาจากโรงเรียนจะไม่ได้บ่นให้มันว่าเป็นหมาไม่มีสกุลรุนชาติพูดยาก. บอกอะไรก็ไม่เชื่อฟัง. มันก็แทบจะให้ผมกลั้นน้ำตาไม่อยู่จริงๆ. ไปดีซะนะเจ้าไข่ย้อยลาก่อน
เจ้าไช่ย้อยผู้ทะนง
วันนี้ก็กลับมาบ้านค่ำตามปกติเดินมาหลังบ้านเหลือบ เห็นภรรยานั่งหงอยเหงาซึมเศร้าอยู่ก็เลยทักถามว่าเป็นอะไร เธอก็เลยบอกว่าเจ้าไข่ย้อยไปซะแล้ว. ผมก็แอบตกใจนิดนึงแต่ก็ไม่เหนือความคาดหมายเพราะเนื่องจากเตรียมใจไว้แล้ว เพราะตอนเช้าก่อนไปทำงานก็ยังแอบสั่งลามันอยู่. ก่อนอื่นก็อยากขอเล่าเรื่องราวย้อนหลังของเจ้าไข่ย้อยสุนัขพันธุ์ทางซึ่งเวลาไปหาหมอไม่สามารถบอกได้ว่าสุนัขตัวนี้มี เผ่าพันธุ์หรือสืบเชื้อสายมาจากไหน. เพราะเป็นหมาพันธุ์ที่ไม่มีสกุลรุนชาติอย่างแท้จริงความเป็นมาของเจ้าหมาตัวนี้คือเริ่มต้นประมาณ 10 กว่าปีก่อน. พนักงานในร้านคนหนึ่งซึ่งมีนิสัยไม่รู้จักกาลเทศะพูดมากหน้าตาก็ไม่สวย ทำงานก็ไม่เรียบร้อยแบบว่าเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบายนั่นเอง. ได้ทำการหอบลูกสุนัขตัวเล็กๆตัวหนึ่งมาฝากภรรยาผมเลี้ยงไว้ที่ร้านว่าจะเอาไปให้คนอื่นปรากฏว่าคนที่จะรับเค้าเปลี่ยนใจเลยตกกระไดพลอยโจนจำเป็นต้องเลี้ยงไว้. เนื่องจากเป็นหมาที่ขี้เหร่มากๆหาความน่ารักก็ไม่ได้ยิ่งผมไม่ค่อยชอบคนที่เอามาให้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็เลยไม่ค่อยชอบเจ้าหมาตัวนี้ เพิ่มเข้าไปอีก. และได้ตั้งชื่อมันว่าเจ้าไข่ย้อย. พฤติกรรมของมันก็ช่างเหมือนคนที่เอามาให้เหลือเกินคือเป็นหมาที่ไม่เชื่อฟังเจ้าของอยากทำอะไรก็ทำ ตามธรรมดาสุนัขโดยทั่วไปเมื่อเราเลี้ยงไว้ในบ้านเวลาเราเรียกสุนัขย่อมจะกระดิกหางเข้ามาหาเรา แต่เจ้าไข่ย้อยหาเป็นเช่นนั้นไม่เวลาเราเรียกแต่ทำหูทวนลมอยากมาก็มาไม่อยากมาก็ไม่มาไม่เคยเลยที่จะเรียกแล้วกระดิกหางเข้ามาหาตอนเรียกยกเว้นมันอยากจะเข้ามาหาเราเองมันก็มา เวลาเจ้าของจะจับอาบน้ำมันก็จะครางฮึ่มๆในลำคอ เหมือนไม่พอใจและเป็นหมาตัวเดียวในบ้านที่ผมไม่เคยพิศวาสมันที่จะจับมันอาบน้ำเลยแม้แต่สักครั้งเดียว. ชอบเห่าโดยไร้สาระและชอบวิ่งไล่เวลาเค้าปั่นจักรยานหรือขับมอไซร์ผ่านหน้าบ้าน. โดยจับคู่กับเจ้าอังเปาที่ตายไปก่อนนั่นเองจนบางครั้งผมได้เอาไม้มาแขวนคอไว้เพื่อให้ไม้กระทบหน้าขาเวลามันวิ่ง. แต่พอลูกค้ามานั่งทานข้าวที่ร้านก็จะบอกว่าผมทรมานสัตว์ก็เลยจำเป็นต้องเอาออก ผมจะบอกลูกค้าเสมอว่าอย่าไปจับหัวมันหรือแสดงความเป็นมิตรกับมันเวลามันเดินผ่านเพราะมันเป็นหมาที่ไม่มีมารยาทเพราะแค่จับหัวมันนิดเดียวมันก็จะนั่งเฝ้าและตีสนิทขอกินอาหารประจำโต๊ะนั้นไปเลย ถ้าไม่ให้มันก็จะเอาขาไปเคาะขาของลูกค้าที่นั่งบนเก้าอี้เพื่อให้หันมองมองและหยิบชิ้นอาหารมาให้มันทาน. เจ้าไข่ย้อยจะเป็นขวัญใจของลูกค้าในร้านเพราะเธอจะเดินไปเดินมาอย่างไม่แคร์ใครขอให้มีใครจับหัวรึเรียกชื่อนิดเดียวก็จะตีสนิทแล้วก็นั่งเฝ้าดูขออาหารทานตลอด. ผมก็ต้องบอกลูกค้าเสมอว่าอย่าไปให้ความสนิทสนมกับมันเป็นอันขาดเพราะมันจะลามปาม. อีกอย่าง. เวลาพ่อผมกลับมาพักที่บ้าน. มันก็จะเชิดหยิ่งผยอง เพราะมันเป็นสุนัขตัวโปรดของพ่อผม เพราะเวลาพ่อผมดูทีวีรึทานข้าว มันจะนั่งตัวตรง ชูคออยู่ไม่ห่าง รอขนมที่พ่อผมจะแบ่งให้. ใครไล่ไปว่าขวางทางก็ไม่สน ถือว่าพ่อผมให้ท้ายมัน. ไล่ยังไงก็ไม่ไป. จนตกมาปีนี้ความแก่ชราของเจ้าไข่ย้อยฐานะเป็นคนก็น่าจะอายุถึง 100 ปีเริ่มที่จะตาฟ่าฟาง. และไม่มีการวิ่งไล่คนปั่นจักรยานมาเป็นปีแล้ว. พักหลังมาก็เริ่มเบื่ออาหารยิ่งเจ้าอังเปาคู่หูมาเสียชีวิตไปก่อนก็ยิ่งทำให้เจ้าไข่ย้อยเหงาหงอย. นอนซมทั้งวัน คุณหมอที่มาดูก็บอกว่าเป็นอาการของโรคชราและเลือดเริ่มเป็นพิษ. และก็เริ่มเยี่ยวหรืออุจจาระไม่เป็นที่ต้องตามเก็บให้ตลอดแต่ก็ไม่เป็นไรถือว่าเป็นผู้ชราประจำบ้านก็เลี้ยงไว้ผมน่ะบอกว่าไข่ย้อยเอ้ยเมื่อไหร่จะตายสักทีแต่ก็ไม่ตายสักที. อีกอย่างเจ้าไข่ย้อยเป็นสุนัขตัวเดียวของบ้านที่ไม่เคยโดนรถชนเลยนะครับนอกนั้นสุนัขหลายตัวที่บ้านเคยผ่านอุบัติเหตุมาทั้งหมดขนาดเจ้าอังเปาก็โดยชนจนเดินขากะเพลกจนตายมีเจ้าไข่ย้อยตัวเดียวนี่แหละที่รอดพ้นเพราะตอนข้ามถนนจะมองซ้ายมองขวาก่อนตลอด. ตลอดสี่ห้าวันมานี้เจ้าไข่ก็จะนอนที่บริเวณตรงที่แม่บ้านผมนั่งตลอดทุกวันนอนซมเวลาตื่นขึ้นมามองไม่เห็นแม่บ้านผมในสายตาก็จะร้อง เห่า จนแม่บ้านผมเดินเข้ามาทักและบอกว่าอยู่แถวนี้ไม่ได้ไปไหน. มันก็จะเงียบเสียงลงไป
และผมก็รู้ว่าเจ้าไข่ย้อยนี้คงอยู่กับผมอีกไม่นานซึ่งในตอนเช้าวันนี้ก่อนผมจะไปทำงานก็เลยได้แวะไปลูบหัวแล้วบอกว่าให้พยามต่อสู้เขาไว้นะถึงแม้ว่าฉันจะไม่รักเอ็งแต่ก็ไม่ได้อยากให้เอ็งจากไปเท่าไหร่มันก็ผงกหัวขึ้นมาดูผมหลังจากนั้นผมก็ไปทำงานตามปกติแล้วพอกลับมาก็ได้ยินภรรยาผม ตอบผมหลังจากผมทักทายเห็นนั่งเหงาๆ และบอกว่าไข่ย้อยนะไปซะแล้ว. เมื่อมันไปจริงๆผมก็รู้สึกเสียใจแล้วก็เศร้าโศกเหมือนคนที่สนิทเราจากเราไปอีกครั้งหนึ่งเพราะเจ้าไข่ย้อยอยู่กับผมมา 10 กว่าปีแล้วผมเห็นจนชินตาว่ามันจะมานั่งรอทานอาหา โดยท่าทางจะนั่งตัวตรงเชิดหน้าขึ้นอย่าสง่าผ่าเผยและก็จะไม่ล้ำเขตประตูครัวเข้ามาเป็นอันขาด. ยกเว้นเรียกให้เข้ามาทานอาหารด้วย ยังไงก็ขอให้ไปดีนะเจ้าไข่ย้อยเกิดชาติหน้าก็ให้เป็นคนอยู่ร่วมกัน. ตอนที่มันอยู่ผมไม่รู้สึกว่าผมจะรักมันมากมายเลยแต่หลังจากพี่รู้ว่าหลังจากนี้จะไม่เจอมันอีกแล้วในพื้นที่ของบ้านกลับมาจากโรงเรียนจะไม่ได้บ่นให้มันว่าเป็นหมาไม่มีสกุลรุนชาติพูดยาก. บอกอะไรก็ไม่เชื่อฟัง. มันก็แทบจะให้ผมกลั้นน้ำตาไม่อยู่จริงๆ. ไปดีซะนะเจ้าไข่ย้อยลาก่อน