[CR] หลังรั้วหนามสามจังหวัดชายแดนใต้ ตอน 2วัน2คืน เที่ยว5อำเภอที่จ.นราธิวาส


การเดินทางใน3จังหวัดชายแดนใต้ ก็มาถึงจังหวัดที่3กันแล้ว ถ้าใครยังไม่ได้อ่านเรื่องราวการเดินทาง2จังหวัดก่อนหน้านี้ มีความสนใจเข้าไปที่นี่ได้เลยค่ะ
v
v
v
จังหวัดปัตตานี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จังหวัดยะลา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เรามีเวลาที่จ.นราธิวาส2คืน2วัน แล้วจะบินกลับทางนราธิวาสเลยค่ะ เป็นการเดินทางแบบไม่ย้อนไปมา โดยเราเริ่มต้นจากสนามบินหาดใหญ่ เข้าปัตตานี ไปเบตง และมาจบที่นราธิวาส กับ5อำเภอที่เราได้ไปมาค่ะ

เราเลือกเดินทางไปนอกเมืองก่อน ซึ่งค่อนข้างไกล และวันก่อนกลับเรามาพักในตัวเมืองเพื่อที่จะไม่ประมาทในการขึ้นเครื่อง(ถ้าใครมีประสบการณ์การตกเครื่องแล้วจะทราบดี ซึ่งเราเป็น1ในนั้น แง๊)

จังหวัดนราธิวาส เป็นอีก1จังหวัดที่ประทับใจทั้งผู้คนที่น่ารัก วิถีการดำรงชีวิต และธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และการที่คนไม่ค่อยไปนี่แหละ มันเป็นข้อดีของคนที่ชอบเดินทาง เพราะทำให้เราได้เข้าถึงแก่นแท้ของสถานที่นั้นๆได้อย่างไม่มีความปรุงแต่งใดๆ เป็นยังไงก็ได้สัมผัสอย่างนั้น เราว่าสิ่งนี้แหละที่มีเสน่ห์โดยแท้จริง 

ก่อนจะเริ่มเดินทางต่อมาทำความเข้าใจกับคำศัพท์ที่อาจจะไม่ทราบกันก่อน เพราะเราอาจจะกล่าวถึงคือ แบ คำที่ใช้เรียกพี่ชายคล้ายๆบังไรงี๊ และ ก๊ะ คำที่ใช้เรียกพี่สาว

จากความเดิมตอนที่แล้ว เราออกจากเบตงน่าจะไม่เกิน10โมง แต่มาถึงสุไหงโกลกเกือบ4โมง เป็นการเดินทางที่นานเกินที่คิดไว้ ค่ารถตู้ยะลา-สุไหงโกลกคนละ130บาท ใครจะโดยสารรถสาธารณะต้องทำใจ เขาแวะจอดแวะรับคนระหว่างทางตลอด นอกจากคนแล้วยังมีสิ่งของไปอี๊ก แบที่มารอรับโทรหาแล้วหาอีกว่าถึงไหนกันแล้ว...จนรถตู้มาจอดตรงข้ามกับสถานีรถไฟสุไหงโกลก แบก็โทรหาบอกให้เราลง ไม่ต้องไปถึงขนส่งเขามารอรับเราตรงนี้ ด้วยความที่รถของแบดี จอดหน้าสถานีรถไฟ เราเลยขอเข้าไปด้านในก่อนจะเดินทางกันต่อ ตอนนี้เราอยู่กันที่อำเภอแรกคือ สุไหงโกลก และนี่คือสถานีรถไฟสุดท้ายใต้สุดของประเทศไทย สถานีสุไหงโกลกค่ะ 

วิธีการเดินทางไปยังสุคิริน ถ้าใครไม่อยากเหมารถ จะมีรถสาธารณะนะคะ สามารถขึ้นรถสองแถวสุไหงโกลก – สุคิริน แถวหน้าสถานีรถไฟสุไหงโกลกได้ รถออกทุกหนึ่งชั่วโมง เวลา 09.00 – 15.00 น. ใช้เวลาในการเดินทางประมาณเกือบชั่วโมง ค่าโดยสารไม่แน่ใจ แต่ไม่ถึงร้อยค่ะ ส่วนเราติดต่อเหมารถกับทางรีสอร์ทไว้ก่อน เพราะด้วยเวลาที่ไปถึงเย็นแล้วถ้าเราไม่ติดต่อรถไว้น่าจะลำบากเลยแหละ ค่ารถไปส่งที่สายธารทอง 500บาท เราให้เขาพาไปป่าพรุโต๊ะแดงด้วย จะอยู่ไม่ไกลจากสุไหงโกลก ป่าพรุโต๊ะแดงเป็นผืนป่าชุ่มนํ้าผืนสุดท้ายของประเทศไทย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติป่าพรุ เปิดทุกวันเวลา 08.00-16.00 น. เราไปไม่ทันเวลาเขาปิดแล้ว ก็เลยเข้าที่พัก ระหว่างทางก่อนถึงรีสอร์ท ก็จัดการซื้ออาหารเข้าไปเลยนะคะ เพราะที่พักไม่มีอาหาร แต่มีจาน ชาม ช้อนให้ 

เราพักที่ สายธารทองรีสอร์ท เบอร์ติดต่อ0849630464 ห้องที่เราพักเราขอ2เตียงไปคืนละ650บาท ถ้าเตียงเดียวจะถูกกว่าค่ะ ห้องใหญ่ มีแอร์

อำเภอที่2 ที่เรามาก็คืออำเภอสุคิริน กับที่นี่ ผานับดาว เราตื่นแต่เช้าออกไปขึ้นเขาสูดอากาศ ชมแสงเช้า เคล้าสายหมอก ที่ระยะทางเดินแสนสั้นแต่สัมผัสได้ถึงความอิ่มเอมใจไม่ใช่น้อย  
ผานับดาวจะอยู่ห่างจากที่พักในสุคิรินที่เราอยู่กันเกือบ7กิโลเมตร จะต้องใช้รถกระบะ4x4ในการเดินทางเพราะเมื่อเข้ามาแล้วทางจะเป็นถนนดินแดงผ่านสวนยาง อีกอย่างเราควรใช้บริการจากคนท้องถิ่นที่ชำนาญทางเพื่อความปลอดภัยและยังสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนอีกด้วยนะคะ ค่ารถคนละ120บาท

ตอนขึ้นมาถึงใจชื้นมาก ปังแน่นอนวันนี้ ในขณะที่แสงเช้ากำลังเริ่มส่อง หมอกก็ดันมาปิด แล้วก็ไม่เปิดอีกเลย แง๊ แต่ยังไงก็สวยอยู่ดี แม้จะสวยได้แค่แป็ปเดียวแต่ความหมอกสลับเขามันก็ทำให้เราได้เห็นรายละเอียดของป่าใต้แห่งนี้ได้ชัดเจนขึ้น ภาคใต้ก็มีหมอกนะไม่ใช่มีแต่ภาคเหนือ 

ลักษณะของทางเดินที่นี่พื้นจะเต็มไปด้วยหินสีขาวๆ ซึ่งเป็นหินที่มีแร่ควอตซ์อยู่ ในจุดที่เราอยู่ด้านหน้าสามารถมองเห็นตัวอำเภอสุคิริน และเทือกเขาบูโด ส่วนด้านหลังจะสามารถเห็นเทือกเขาสันกาลาคีรีค่ะ

"พี่ไม่กลัวหรอ?" คำถามจากน้องๆวัยรุ่นชายกลุ่มใหญ่ในพื้นที่สีแดง ที่ขึ้นไปกางเต็นท์และได้พบเจอกันบนยอดผานับดาว
เราจำไม่ได้ชัดเจนว่าตอบน้องๆไปว่าอะไร แต่สิ่งที่คุยกับตัวเองในใจในตอนนั้นคือคำถามที่น้องถามมานี่แหละ คำว่า กลัว! มันคงฝั่งลึกไปในจิตใจของคนนอกพื้นที่ ที่ไม่ได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง และคำที่เหมือนกับว่าประทับตราให้กับ3จังหวัดชายแดนใต้นี้ไปแล้วด้วยสื่อต่างๆที่นำเสนอออกไป ความน่ากลัวที่สร้างกันขึ้นมามันยังไงกันนะ ถามว่าน่ากลัวอย่างข่าวมั้ย ตอบคำเดียวเลยว่า "ไม่" ส่วนใครจะมีความคิดเห็นว่ายังไงคงว่าไปตามที่ได้มาสัมผัสเอง เราว่าในข้อดีของการไม่ค่อยมีคนไป3จังหวัดชายแดนใต้ มันดีที่ช่วยคัดกรองคนที่สนใจอยากมาจริงๆให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติที่โคตรเจ๋ง เที่ยวสบายคนไม่ต้องไปแย่งกันกินแย่งกันใช้ ธรรมชาติก็สวยงามมีความสมบูรณ์สุดๆ อาหารอร่อยราคาไม่แพงอีกด้วย ที่สำคัญคนใต้ใจดีนี่เรื่องจริง

เราเก็บภาพตอนขาลงมาให้ดู เมื่อมาถึงจุดจอดรถแล้วต้องเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 500 เมตร แต่วันที่เราไปไม่มีคนมา พี่คนขับเลยขับขึ้นมาส่งทางเข้าป่าทำให้เราเดินต่อไปอีกไม่ถึง300เมตรเท่านั้น ระยะทางไม่ไกลแต่บางช่วงก็มีความชันความแคบและพื้นเป็นหินอาจทำให้เกิดความลื่นจึงควรต้องระมัดระวังนิดนึงค่ะ
***ฝากไว้ให้คิด การที่เราไปในสถานที่สาธารณะแล้วทำการจิตรกรรมฝาผนังเป็นสิ่งที่ไม่น่ารักเลยนะคะ มันทำให้สถานที่นั้นไม่น่ามอง ธรรมชาติดีงามอยู่แล้วไม่ต้องปรุงแต่งกันเนอะ

อากาศสบายมาก ไม่ร้อนไม่หนาว กำลังดี นั่งท้ายกระบะลมตีหน้ากลับมาถึงรีสอร์ท ก่อนจะเก็บกระเป๋าเตรียมไปทัวร์วันนี้และเข้าตัวเมืองนราธิวาส เดินมาด้านหลังรีสอร์ทจะเจอลำธาร น้ำใสถ้ามีเวลาได้ลงไปเล่นคงชื่นใจน่าดู 

ถึงเวลานัด แบดี มารับพวกเราออกจากรีสอร์ท เราจะไปทัวร์วิถีชุมชนตำบลภูเขาทอง ในอ.สุคิริน
*ค่าทริปในอ.สุคิริน+ค่ารถมาส่งในตัวเมืองนราธิวาส1500บาทค่ะ

ที่แรกคือ ชมต้นสมพงหรือกะพงยักษ์ สูงใหญ่อายุกว่าร้อยปี ขนาด 27 คนโอบ อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าบาลาฮาลา (ถ้าเบตงจะเรียกป่านี้ว่าฮาลาบาลา จะสลับกับนราธิวาสค่ะ ฮาลาคือผืนป่าของทางเบตง ซึ่งมีพื้นที่ป่าแนวเดียวกันกับ บาลาคือผืนป่าของทางสุคิรินค่ะ) ง่ายๆคือเอาชื่อป่าของจังหวัดนั้นๆขึ้นก่อนอีกจังหวัดนึงนั่นเอง
ทางเดินง่าย ผ่านลำธารและผืนป่า ชื่นชมทักทายต้นไม้ไปเรื่อย แฮปปี้! ไม่นานนักก็มาถึงจุดหมายของเรา ต้นกะพงใหญ่จริงๆค่ะ ใช้เวลาสักพักก็ได้เวลาไปที่ต่อไป
#ขอบคุณมากๆที่มา คำพูดที่เอ่ยออกมาจากผู้ใหญ่ท่านนึงน่าจะมีตำแหน่งอะไรสักอย่าง เราเจอกันในป่าที่ต้นไม้ยักษ์ นี่คือคำพูดแทนคำขอบคุณของทุกคนในพื้นที่รึเปล่านะ เป็นคำห้วนๆแต่ฟังแล้วดูจริงใจ อยากจะบอกท่านว่าขอบคุณเช่นกันค่ะ

และจุดที่ใกล้เคียงกันกับทางเข้าป่าชมต้นกะพงยักษ์นั่นก็คือ เนินพิศวง เป็นพื้นที่มองด้วยตาเปล่าแล้วเป็นเนินลาดชัน ซึ่งจอดรถไว้แล้วดับเครื่องรถจะเคลื่อนตัวได้เอง จริงเท็จยังไงลองไปพิสูจน์กันค่ะ

วัดพระธาตุภูเขาทอง เป็นจุดที่สิ้นสุดปลายด้ามขวานมีพรมแดนติดกับมาเลเซีย ในยามเช้ายังเป็นจุดที่สามารถชมหมอกได้อีกด้วย ขนาดวันนั้นที่เราไปถึงช่วงสายๆแล้ว ยังมีหมอกลอยให้เห็นบนยอดเขาอยู่เลย

เขตชายแดนไทย-มาเลเซีย ในอดีตเคยเปิดชายแดนให้ประชาชนทั้งสองประเทศเดินทางไปมาได้ เขตแดนจะมีเพียงรั้วไม้ที่มีลวดหนามกั้นเท่านั้น ฝั่งมาเลเซียจะมีป้อมสังเกตการณ์ขนาดใหญ่มีทหารของมาเลเซียประจำการอยู่บนป้อมส่องปืนหันหน้ามาทางไทยตลอดเวลา

เหมืองแร่ทองคำโต๊ะโมะ อุโมงค์ลำเลียงทองโบราณ ปัจจุบันปิดทำการไปแล้ว ทางเดินง่ายๆไม่ไกลค่ะ โดยอุโมงค์นี้ถูกขุดทะลุไปถึงฝั่งประเทศมาเลเซียเลย ตรงนี้มีลำธารน้ำใส ลำแสงที่ลอดผ่านต้นไม้ใหญ่ลงมาก็ทำให้ผืนป่านี้สวยขึ้นทันใด ส่วนในอุโมงค์ไม่ได้เดินเข้าไปดูนะคะ เขาบอกงูเยอะ ยึ่ยยย ว่าแล้วก็ขนลุกอยู่ห่างๆละกันเรื่องนี้จะไม่ยุ่ง

ศาลเจ้าแม่โต๊ะโมะ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่เชื้อสายชาวจีนในประเทศและประเทศมาเลเซียนิยมมาท่องเที่ยวและกราบไหว้ สักการะ ศาลเจ้านี้ตั้งอยู่บนเขา โอบล้อมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ วิวดีเลยล่ะ

และที่สุดท้ายในอ.สุคิริน เนื่องจากเวลานั้นช่วงเที่ยงแล้ว แดดแรงมาก อยากเห็นวิถีดั้งเดิมของคนที่นี่ นั่นก็คือ ร่อนทองต้นน้ำสายบุรี แบดีก็ขับรถตามหาให้ จนมาเจอและขออนุญาตถ่ายรูป ในสมัยก่อนการร่อนทองนี่หาง่ายมากวันนึงรายได้หลักหมื่นก็มี และได้พูดคุยกับคุณยายท่านนึงมาเดินสอยผักผลไม้ข้างทาง และนี่คือมังคุดข้างทาง ไม่ได้สังเกตุเลยอยู่บนหัวนี่ล่ะเลยขอยายมาถ่ายไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย อยากลองชิมนะ แต่ก็ไม่อยากแย่งคุณยายเขา แฮ่ะๆ ยายยังเล่าต่อว่าเคยร่อนเจอของเก่า ทองเป็นก้อน และแหวนโบราณ ยังเก็บแหวนไว้อยู่เลย...

เราแวะทานข้าวกันที่อ.สุไหงโกลก ก่อนเข้าตัวเมือง พี่คนขับรถพาเข้ามา อยู่ข้างๆร้านอาหารเลยได้มา1รูป รูปนี้น่าร๊ากก บ่งบอกความเป็นนราธิวาสได้สมบูรณ์ อยู่แถวซอยบุษยพันธ์ ห่างจากสถานีรถไฟสุไหงโกลกกิโลเดียว แต่ถ้าใครอยากเห็นรูปอื่นๆอีก แนะนำให้ไปแถวสถานีรถไฟสุไหงโกลก ข้างๆจะมีเหมือนสวนสาธารณะมั้ง เรานั่งรถผ่านแล้วเห็น ถ้ามีโอกาสไปก็ลองดูแล้วมาบอกเล่ากันบ้างน๊า

ด้วยความที่เวลาน้อยเลยอาศัยทางผ่านที่พอจะแวะได้ เลยตกลงกับแบดีโดยเราจ่ายค่าเสียเวลาเพิ่ม ให้แบดีแวะอ.ตากใบก่อน แบก็ใจดีคิดราคาน่ารักน่าคบ ใครสนใจเอาเบอร์ไปเผื่อสอบถามเองนะคะ 0612603499

อำเภอที่3 ตากใบ เราแวะสะพานคอยร้อยปี สะพานไม้ข้ามแม่น้ำตากใบไปยังเกาะยาว ปัจจุบันมีการสร้างสะพานปูนขนาบไปกับสะพานไม้อันเก่าเพื่อใช้สัญจรไปมา คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่บนเกาะยาวนับถือศาสนาอิสลาม มีอาชีพทำการประมงและสวนมะพร้าว ส่วนสาเหตุที่เรียกว่าสะพานคอยร้อยปีก็เพราะว่าในสมัยก่อนชาวบ้านในเกาะยาวจะเดินทางมาที่ฝั่งตากใบต้องใช้เรือในการข้ามแม่น้ำ กว่าจะมีการสร้างสะพานไม้ระหว่างเกาะยาวไปยังฝั่งที่ว่าการอำเภอต้องคอยถึง100 ปี  ชาวบ้านจึงเรียกสะพานนี้ว่าสะพานคอยร้อยปีนั่นเอง

นอกจากสะพานคอยร้อยปีแล้ว ในอำเภอตากใบยังมีอีก1สถานที่ ใกล้เคียงกันที่น่าแวะชมด้วยนะคะ ไปต่อกันที่คอมเมนท์ด้านล่างเลยค่ะ
v
v
v
ชื่อสินค้า:   นราธิวาส, สุคิริน , เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ฮาลา-บาลา ตากใบ สุไหงโกลก บาเจาะ
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่