เราควรยื่นคำร้องขอตรวจสอบการรักษาหรือร้องเรียน​ รพ.​แห่งหนึ่งดีมั๊ย

เมื่อวันที่​ 16 ก.ย.​63​ คุณพ่อได้เข้าแอดมิดที่​ รพ.​แห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ​ ด้วยอาการมีไข้​ ซึม​ ทำให้อยากแต่จะหลับ​ ตอนพาไปตรวจ​ คุณพ่อยังเดินไปขึ้นรถไหว​ ตอนเช้าทานข้าวเองได้​ (ต้องบอกก่อนว่าคุณพ่อมีโรคประจำตัวคือสมองเสื่อมแต่ยังพอทำอะไรเองได้บ้าง​ เช่น​ กินข้าว​ เดิน​ นั่ง​ รับรู้เรื่องสั้นๆ​ จำผู้คนในอดีตได้ และเป็นมะเร็งลำไส้​ ผ่าตัดแล้วแต่ก็ให้คีโมด้วย ให้เข็มที่5แล้ว
)​
 
ตอนที่คุณพ่ออยู่​ รพ.​ช่วง7วันแรก​ หมอให้ยาฆ่าเชื้อ​ แต่ด้วยพ่อนอนซมเพราพไข้​ หมอก็ให้อาหารทางสายเลยเพราะพ่อมีอาการสำลัก​ กลัวติดเชื้อที่ปอดถ้าสำลักเข้าปอด​ พวกเราก็คิดว่าไม่เป็นไรพอพ่อออก​ รพ.​ค่อยฝึกพ่อทานอาหารอ่อนเอา
 
ตลอด7วันนั้น​ พ่อยังคุยได้เหมือนเดิม​ จนปรจนซักวันที่​ 25-26 เริ่มซึ่ม​ แต่วันที่เข้า​ รพ.​วันแรกๆ​ ยังไอไม่มาก​ เสมหะไม่มากเท่าไหร่​ แต่ยิ่งนอน​ รพ.​นานขึ้น​ เริ่มไอเยอะ​ ดูเหนื่อย​ ดูเสมหะเยอะ​ รพ.ก็ดูดให้​ แต่พ่อเรากัดสาย​ รพ.​อาจจะไใ่มีอุปกรณ์ที่ใส่ในปากเพื่อกันคนไข้กัด​ ก็พยายามเข้าใจ​ ไม่ติดใจอะไร
 
รอว่าเมื่อไหร่พ่อจะหาย​ หมอให้ออก​ รพ.​ได้​ จนสักวันที่​ 27 หมอว่าจะให้ออก​ เราก็ไป​ รพ.​ตามปกติ​ แต่สรุปหมอมาบอกว่าขอให้คนไข้อยู่ต่อก่อนเพราะคนไข้ซึม​ หมอจะปรึกษาหมอทางประสาทให้​ แล้วพออีกวันหมอก็บอกว่าหมอลืมนัดหมอฝ่ายนัด​ ให้นอนอีกคืน​ จนวันที่​ 30​ หมอมาบอกว่าให้ออกได้แบบมาบอกปุบปับจะให้ออกเลย​ ซึ่งวันนั้นเรามองพ่อ​ คิดว่าพ่อดูหอบมากและอาการแย่ลง​ (ตลอดเวลาที่อยู่​ รพ.​ช่วงปลายเดือนมีการพูดคุยกะหมอเรื่องว่าไม่ต้องใส่ที่ครอบออกซิเจนหรอ​ ก็บอกว่าพ่อยังหายใจเองได้)​ ไม่ได้ให้ออกซิเจนคุณพ่อเลยตลอดเวลาที่นอนอยู่​ รพ.​ จากไม่ติดเตียง​ ทานอาหารได้เอง​ เข้า​ รพ.​เพราะเป็นไข้สูง​ กลายเป็นติดเตียง​ ต้องให้อาหารทางสาย ตลอดเวลาที่อยู่​ รพ.​ ฟังด้วยหูยังคิดว่าคุณพ่อมีเสมหะ​ ปอดจะติดเชื้อรึป่าว​ ปรากฎหมอบอกแค่ว่าติดเชื้อไม่ทราบสาเหตุ​ แต่รักษาจนเชื้อหาย​ ครบ14วัน​ คือวันที่​ 30 เขียนใบส่งตัวว่าผู้ป่วยกลับบ้านได้​ แล้วค่อยไปหาหมอที่​ รพ.​ ที่ใช้สิทธิ​์ได้ภายหลัง​ แต่ด้วย​ รพ.​ไม่สามารถนำรถมาส่งคุณพ่อเราได้​ เราเลยหารถเอง​ ใช้รถของเอกชนแห่งหนึ่ง​ หมอจะให้ออกทันทีบ่าย​ 2​วันนั้น​ แต่เราหารถได้อีกวันตอน​ 6​ โมงเช้า​ น้องสาวเรามีการเจรจากับหมอขอให้คุณพ่อนอนอีกวัน​ (ใจลึกๆ​ รู้สึกว่าเอ๊ะ​ ช่วงที่ผ่านมาดูแล​คุณพ่อเราดีนะ​ จนประทับใจ​ คือเค้าใส่ใจการพลิกตัวทุก2ชั่วโมงดีมากๆ​ แต่ทำไมหลังๆ​ อัพเดทอาการแบบงงๆ​ แล้วอยู่ๆ​ เร่งให้พากลับ)​ วันที่​ 1​ ตค.​ เวลา​ 6.00 น.​เรามาถึล​ รพ.​ พ่อเรานั่งกึ่งนอน​ หายใจถี่​ เราถามพ่อว่า​ พ่อเหนื้อยมั๊ย​ พ่อบอกเหนื่อย​ไม่ไหว​ เรางี้สงสารพ่อและใจไม่ค่อยดีเลย  แต่ก็ยังคิดว่าพ่อคงไม่เป็นไรเพราะข้อมูลที่รับมาตลอดจากหมอคือพี่ปกติดี​ แต่ทันทีที่คุณพ่อออกประตู​ รพ.​ ขึ้นรถฉุกเฉิน​(พ่อนอนรถเข็นไป)​ จนท.​ประจำรถวัดค่าออกซิเจนในเลือดคุณพ่อได้​ 58​ เพ้าว์เรท เกือบ​ 200​ และขึ้นเรื่อยๆ​ เค้ารีบให้ออกซิเจนทันที​ และให้มาตลอดทางจากสมุทรปราการถึงพิษณุโลก​ ทันทีที่ถึงพิษณุโลก​ คุณพ่อถูกพาเข้าห้องฉุกเฉิน​ เพียงไม่กี่นาที​ คุณพ่อก็หยุดหายใจ​ คุณหมอที่นี่ต้องปั๊มหัวใจขี้นมา​ และพบว่าคุณพ่อติดเชื้อที่ปอดและเยื้อหุ้มสมอง​ หมอถามย้ำว่าตลอดเวลาที่เข้า​ รพ.​นั้น​ ไม่ได้ให้ออกซิเจนเลยหรอ​ คือไม่เคยให้เลย​ เราก็งงเหมือนกัน​แถมบอกว่าพ่อเราปกติได้ยังไงทั้งที่ปอดยังครืดคราดแบบนี้ แล้วแถมขาดออกซิเจนจนแย่
สรุปตอนนี้​ พ่อก็ยังนอนป่วยอยู่​ แต่หมอที่นี่ช่วยต่อชีวิตและสู้ไปกับพ่อเรามากๆ​ เชื้อที่ติดเริ่มดีขึ้น​ จากตอนแรกร่างกายไม่รับยาอะไรไหวแล้ว​ มือเท้าบวมไปหมด​เส้นไม่มี​ ตอนนี้ก็ยังพอมีหวังขึ้นมาแม้​ 1% ก็ยังดี​ เราคิดถึงวันที่​ 16 กย.​ พ่อยังคุยยิ้มลูบหัวเราอยู่เลย​ ใครจะรู้ว่าเย็นวันนั้นพ่อจะกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง​ รักษาที่นั่น7วันแรกยังตื่นมาคุย​ มีแรงลืมตาอยู่เลย​ รักษายังไงจนพ่อสมองขาดออกซิเจน​ จนติดชื้อในเยื่อหุ้มสมอง

ตอนนี้​ มันคือความรู้สึกผิดว่าตอนนั้นทำไมเราไม่จี้ถามเรื่องการให้ออกซิเจน​ ที่นั่นรักษาพลาดรึป่าว​ ใจนึกอย่างถามเพื่อปลดเรื่องคาใจ​ ใจนึงคิดว่าช่างมัน​ เป็นคราวเคราะห์​ของครอบครัวเราเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่