เรื่องไม่ลับกับ “ริซซี่” (ริดสีดวงทวาร)

เรื่องไม่ลับกับ “ริซซี่” (ริดสีดวงทวาร) 
 
     ริซซี่ หรือ ริดสีดวงทวาร พี่หมอคิดว่าหลายๆ คนน่าจะคุ้นเคยกับโรคนี้กันอยู่บ้างใช่มั้ยครับ คนใกล้ตัวพี่หมอเองก็เป็นโรคนี้เหมือนกัน พี่หมอเห็นแล้วก็ทรมานแทน จะลุกจะนั่งก็ต้องคอยระวัง เพราะถ้าเผลอขยับแล้วไปสะกิดโดนเจ้าริซซี่ขึ้นมาแล้วล่ะก็ เป็นได้เสียน้ำตาทุกที 😂
     ริดสีดวงทวาร จัดเป็นโรคที่พบได้บ่อยทั้งในผู้ชายและผู้หญิง และถึงแม้อาการของโรคโดยส่วนใหญ่จะไม่รุนแรง แต่เมื่อเป็นแล้วก็แอบสร้างความลำบากในการใช้ชีวิตของเราไม่น้อยเลยทีเดียว 
     แต่ที่เป็นปัญหาคือ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะไม่กล้ามาพบคุณหมอเพื่อรับการรักษา เพราะคำว่า “อาย” 😅 ทำให้ต้องทนทรมานกับโรคนี้ ทั้งๆ ที่ในปัจจุบันมีวิธีการรักษาที่ไม่ยุ่งยาก แถมผู้ป่วยยังไม่ต้องเจ็บตัวมาก และไม่ต้องนอนโรงพยาบาลหลายๆ วันเพื่อพักฟื้นด้วย แต่จะเป็นวิธีอะไรนั้น เดี๋ยววันนี้พี่หมอจะมาเล่าให้ฟังแน่นอน แต่ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับโรคนี้กันซักนิดนึงก่อนนะครับ 👇
 
ริดสีดวงทวาร
     จริงๆ แล้ว ริดสีดวงทวารมีอยู่ในทุกคนอยู่แล้ว เพราะที่ทวารหนักจะมีเนื้อเยื่อพิเศษที่ทำหน้าที่เป็นเบาะรอง ซึ่งเจ้าเบาะรองที่ว่าประกอบไปด้วยหลอดเลือดและกล้ามเนื้อเรียบมัดเล็กๆ ซึ่งจะช่วยยึดให้เบาะรองอยู่ในตำแหน่งปกติที่ทวารหนัก โดยหน้าที่ของเบาะรองก็คือ ช่วยในการขยายตัวของทวารหนักเวลาขับถ่ายและช่วยให้รูทวารปิดสนิทในเวลาปกติ 
สาเหตุของริดสีดวงทวาร
     อาจเกิดจากการเคลื่อนที่ของเจ้าเบาะรองที่เล่ามา เพราะถ้ามีเยอะเกินไปหรือเกิดการเคลื่อนตัวก็อาจทำให้เกิดโรคได้ กับอีกกลุ่มที่เกิดจากพฤติกรรมการขับถ่าย ซึ่งก็คือ
    📌 ท้องผูกเรื้อรัง ทำให้ต้องเบ่งอุจจาระอย่างแรง
    📌 นั่งถ่ายอุจจาระเป็นเวลานาน บางคนชอบนั่งอ่านหนังสือหรือไม่ก็เล่นมือถือระหว่างที่ขับถ่าย ทำให้ความดันในช่องท้องถูกดันมาที่รูทวาร ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้เบ่งอุจจาระแรงๆ แต่ก็อาจส่งผลให้เกิดริดสีดวงทวารได้ 
    📌 ท้องเสีย หรือถ่ายบ่อย ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เบาะรองเคลื่อนที่ได้เหมือนกัน ซึ่งเมื่อเบาะรองเคลื่อนตัวและถูกดันให้ใหญ่ขึ้นก็อาจทำให้เกิดริดสีดวงทวารได้
    📌 คุณแม่ตั้งครรภ์ อาจเป็นได้ทั้งในช่วงที่ตั้งครรภ์หรือระหว่างคลอด โดยเฉพาะช่วงที่ตั้งครรภ์ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนซึ่งส่งผลให้เกิดการยืดขยายของหลอดเลือดในอุ้งเชิงกรานและการกดทับของลำไส้ เนื่องจากมดลูกที่เพิ่มขนาดมากขึ้น จนทำให้ท้องผูก ซึ่งถ้าปล่อยไว้นานๆ ก็อาจทำให้กลายเป็นริดสีดวงได้ 
 
อาการของโรคริดสีดวงทวาร
    📌 ถ่ายเป็นเลือด หรือมีเลือดสดๆ ออกมาตามหลังอุจจาระ ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยก็ได้ 
    📌 มีก้อนหรือติ่งเนื้อยื่นออกมาจากทวารหนักขณะที่ถ่ายอุจจาระ 
    📌 ทวารหนักเปียกแฉะ หรือคันรอบๆ รูทวาร 
    📌 มีอาการเจ็บปวด หรือบวมบริเวณทวารหนัก โดยเฉพาะเวลาที่ถ่ายอุจจาระ 
 
การรักษาริดสีดวงทวาร 
     ในขั้นแรกคุณหมอก็จะประเมินก่อนว่าตำแหน่งของริดสีดวงอยู่ตรงไหน ด้านในหรือด้านนอก รวมถึงระดับความรุนแรงด้วย จากนั้นจึงจะกำหนดแนวทางการรักษา ซึ่งวิธีการก็มีตั้งแต่การกินยา สอดยา การรักษาโดยใช้ยางรัด (คือยิงยางรัดที่โคนหรือหัวของริดสีดวงทวารที่โผล่ออกมา ซึ่งจะช่วยให้หัวริดสีดวงนั้นฝ่อและหลุดออกไปเอง) ไปจนถึงการผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดก็มีหลายวิธี เช่น 
    📌 การผ่าตัดริดสีดวงแบบดั้งเดิม สามารถใช้ได้กับริดสีดวงทุกประเภท แต่มีข้อเสียก็คือ ผู้ป่วยจะเจ็บมากหลังการผ่าตัด
    📌 การผ่าตัดด้วยเครื่องมือตัดเย็บอัตโนมัติ เหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นริดสีดวงภายในและมีหลายหัว วิธีนี้จะไม่มีบาดแผลภายนอก
    📌 การผ่าตัดด้วยวิธี HAL-RAR ซึ่งเป็นการเย็บเส้นเลือดและดึงซ่อนริดสีดวงขึ้นไป  
     แต่วิธีการผ่าตัดที่พี่หมออยากจะแนะนำก็คือ 👉 การผ่าตัดด้วยเลเซอร์ โดยแพทย์จะทำการจี้ทำลายเส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยงริดสีดวง ทำให้ริดสีดวงฝ่อและมีขนาดเล็กลง จนกระทั่งค่อยๆ หายไปเอง ซึ่งวิธีนี้จะต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น หลังการผ่าตัด คุณหมอก็จะให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารอ่อนๆ และให้ยาระบาย เพื่อให้อุจจาระที่ออกมาไม่แข็ง และช่วยลดอาการเจ็บจากการถ่ายอุจจาระครั้งแรก
     ซึ่งข้อดีของการรักษาด้วยวิธีนี้ก็คือ ใช้เวลาผ่าตัดไม่นานเมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ ไม่มีบาดแผลจากการผ่าตัด ผู้ป่วยไม่ต้องเจ็บตัวมาก บางคนอาจจะไม่รู้สึกอะไรเลยหลังจากที่เข้าห้องผ่าตัด มารู้อีกทีเจ้าริซซี่ก็ถูกคุณหมอกำจัดไปแล้ว ที่สำคัญ ใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลเพียงแค่ 1 วันเท่านั้น ก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ เรียกได้ว่าแทบจะไม่ต้องลาป่วยเลยด้วยซ้ำ เพราะถ้าวันเสาร์มาโรงพยาบาล วันอาทิตย์ก็กลับบ้านได้แล้ว วันจันทร์ก็กลับไปทำงานได้ตามปกติ 😀
     นอกจากนี้ การดูแลร่างกายหลังการผ่าตัดก็ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ระวังไม่ให้ท้องผูกเท่านั้น และถ้าแผลหายดี คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บแล้วก็สามารถกลับไปออกกำลังกายได้เหมือนเดิม ซึ่งโดยมากแผลก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเองภายใน 7 วัน
 
     สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องริซซี่ แต่ไม่กล้ามาปรึกษาคุณหมอก็ลองอ่านประสบการณ์ตรงจากคนไข้รายนี้ได้นะครับ พี่หมอ 👨‍⚕️ แนบลิงค์มาให้แล้ว เผื่อจะช่วยให้หายกลัวและอายคุณหมอน้อยลง
 
     และแม้ว่าโรคริดสีดวงทวารจะรักษาให้หายได้ แต่ก็สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้เช่นกัน ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดก็คือ ต้องแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับถ่ายของเรา ดื่มน้ำให้มากๆ รวมถึงหันมารับประทานผักผลไม้ที่มีกากใย 🥗 เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้สะดวกขึ้น 
     หรือถ้ารู้สึกว่ามีอะไรที่ผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกาย โดยเฉพาะถ้ามีอาการถ่ายเป็นเลือด แนะนำว่าอย่านิ่งนอนใจและห้ามซื้อยามากินเองเด็ดขาด ต้องรีบมาพบคุณหมอทันทีนะครับ 
 
     ด้วยความห่วงใยจากพี่หมอ 💖 💖 💖
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่