อย่าให้ใครดึงเราไป เผชิญหน้ากับใคร

กระทู้ข่าว
เมื่อทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ไมเคิล ดีซอมบรี ออกบทความร้อนแรงวิพากษ์บทบาทของจีนในภูมิภาคนี้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นักสังเกตการณ์ระหว่างประเทศในไทยก็ต้องวิเคราะห์ว่า หรือนี่จะเป็นการขยายตัวของ "สงครามเย็นมหาอำนาจ" รอบใหม่หรือไม่
            
ที่สำคัญสำหรับไทยคือ จะต้องไม่ถูกลากเข้าไปอยู่ในค่ายใดค่ายหนึ่งเหมือนในช่วงสงครามเย็นรอบเก่า หลังสงครามโลกครั้งที่สอง

 ในจังหวะนั้นไทยเรากระโดดเต็มตัวอยู่ข้างสหรัฐฯ ที่เรียกตัวเองว่าเป็นฝ่าย "ประชาธิปไตย" ขณะที่จีนกับสหภาพโซเวียตเป็นแกนนำของโลก "ค่ายคอมมิวนิสต์"

อเมริกามาทำสงครามเวียดนาม ไทยเราเปิดทางให้สหรัฐฯ มาใช้ฐานทัพเพื่อถล่มเวียดนาม จีนกับสหภาพโซเวียตอยู่ข้างเวียดนามเหนือ ไทยเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ หนุนข้างเวียดนามใต้ เมื่อคนอเมริกันไม่สนับสนุนรัฐบาลสหรัฐฯ ในการทำสงครามเวียดนาม วอชิงตันก็ถอนทหารกลับบ้าน เวียดนามเหนือกับใต้รวมเป็นชาติเดียวกัน
            
ประเทศไทยเราปรับนโยบาย หันไปสร้างสัมพันธ์ทางการทูตกับจีน หลังจากที่ประธานาธิบดีริชาร์ด  นิกสันบินไปหาประธานเหมา เจ๋อตงของจีน"สายลมบูรพา" เริ่มเปลี่ยนทิศ ไทยเราปรับตัวเพื่อคบหากับจีน ขณะที่สหรัฐฯ ถอยกลับไปตั้งหลัก
            
เมื่อสงครามเย็นสิ้นสุดลงพร้อมกับการพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน ก็มีแนววิเคราะห์จากตะวันตกว่าเป็น "อวสานแห่งประวัติศาสตร์" หรือ The End of History แล้ว ความหมายคือ ระบอบเสรีนิยมตะวันตกชนะแล้ว สหภาพโซเวียตล่มสลาย ผู้นำจีนภายใต้เติ้ง เสี่ยวผิงปรับทิศทาง ใช้แนวทาง "สังคมนิยมเอกลักษณ์แบบจีน"นั่นหมายถึงการใช้ระบบทุนนิยมมาผสมผสานกับการเมืองรวมศูนย์ของคอมมิวนิสต์

ประวัติศาสตร์ไม่ได้สิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของระบอบตะวันตกต่อคอมมิวนิสต์ แต่เป็นบทใหม่ของประวัติศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ วันนี้จีนผงาดขึ้นมาเทียบเคียงสหรัฐฯ และอเมริกาภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์กำลังจะนำประเทศตกอยู่ในสภาพ "ขาลง" เพราะถอยออกจากเวทีระหว่างประเทศ
            

วิกฤติโควิด-19 ตอกย้ำถึงการทดสอบ ว่าระบบการเมืองและสังคมแบบใดที่สามารถแก้ปัญระดับโลกได้ดีกว่ากัน
            
กลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่กำลังถกเถียงกันอยู่ในเกือบทุกๆ วงการ ว่าระหว่างจีนกับอเมริกา ใครจะเป็นผู้พิสูจน์ว่าระบบของตนเองเหนือกว่า แถลงการณ์จากวอชิงตันในช่วงสัปดาห์ก่อนที่จับจีนเป็นเป้าของการรุกหนักทางการเมือง การทูต  เศรษฐกิจ และความมั่นคงอย่างหนักนั้น แสดงชัดว่าสหรัฐฯ กลัวจีนจะแซงหน้าตนในฐานะผู้นำอันดับหนึ่งของโลก สะท้อนว่าทรัมป์กำลังใช้การฟาดฟันจีนเป็นเครื่องมือหาเสียงเพื่อให้ตนกลับมาเป็นผู้นำสมัยที่สอง สงครามการค้าทำให้ทั้งสองยักษ์ต่างก็เจ็บ กลายเป็นการต่อสู้เพื่อจะพิสูจน์ว่า "ใครเจ็บมากกว่ากัน"  และ "ใครอึดกว่ากัน"
            
บทความของท่านทูตสหรัฐฯ ที่วิพากษ์จีนในหลายๆ มิติ และพยายามวาดภาพให้ไทยเห็นถึงนโยบายจีนที่กลายเป็นข้อขัดแย้งกับไทยและสมาชิกอาเซียนอื่นนั้น ย่อมถูกมองได้ว่าเป็นการ "ดึงไทยเป็นพวก"นั่นเป็นแนวทางที่ไทยต้องพิเคราะห์อย่างระมัดระวังอย่างยิ่งเพราะโลกหลังโควิดจะเปลี่ยนดุลแห่งอำนาจของโลกได้อีกรอบหนึ่งอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง

คุณหยาง ซิน รักษาการเอกอัครราชทูตจีนประจำไทย บอกผมว่าจีนเข้าใจประเทศในอาเซียนซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกันมาตลอด แม้จะมีปัญหากันบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา ต้องพูดจาและแก้ไขกันอย่างตรงไปตรงมา ทุกประเทศย่อมต้องรักษาผลประโยชน์ของตน แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเคารพในสิทธิของกันและกัน

ท่านทูตหยาง ซินบอกว่า "จีนไม่ต้องการจะทำให้ประเทศเพื่อนๆ ของเราต้องถูกกดดันให้เลือกข้างระหว่างจีนกับสหรัฐฯ"

ข้อนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ไทยเราจะต้องสามารถร่วมมือกับเพื่อนอาเซียน ในการสร้างความสัมพันธ์กับมหาอำนาจทุกค่ายเพื่อผลักดันความร่วมมือระกับสากล โดยไม่กลายเป็นการเผชิญหน้ารอบใหม่ เพราะไม่ว่าจะเป็นสงครามในรูปใดระหว่างมหาอำนาจ ความเสียหายย่อมจะเกิดขึ้นกับประเทศขนาดกลางและขนาดเล็กอย่างไทยแบบที่ปฏิเสธไม่ได้
            
ผมเชื่อว่าโควิด-19 จะทำให้ประเทศขนาดกลางและเล็กมีบทบาทสำคัญมากขึ้น ในการเป็นสะพานเชื่อมและเป็น "พลังที่สาม" เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของเรา ของภูมิภาค และของโลกได้.

ที่มา  https://www.thaipost.net/main/detail/72128
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่