JJNY : 4in1 SMEแบงก์หนี้เสียพุ่ง2หมื่นล./เด็กนร.ยากจนพิเศษเพิ่ม1.7แสน/กำไรแบงก์Q3ลดฮวบ!/สุทินย้ำไม่จำเป็นต้องแจงกมธ.

เอสเอ็มอีแบงก์หนี้เสียพุ่ง 2 หมื่นล้าน พิษโควิดคนพักหนี้ไม่สามารถชำระต่อไปได้ 
https://www.khaosod.co.th/economics/news_5082011
 

  
เอสเอ็มอีแบงก์หนี้เสียพุ่ง - น.ส.นารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ  SME D Bank เปิดเผยว่า สิ้นเดือนก.ย. 2563 มีสินเชื่อคงค้าง 1 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) 1.6 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าสิ้นปี 2563 จะมีหนี้เสียเพิ่มขึ้นประมาณ 3,000 ล้านบาท ทำมีหนี้เสีย 2 หมื่นล้านบาท หรือ 20% ของสินเชื่อคงค้าง
 
ทั้งนี้ หนี้เสียที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาโครงการพักชำระหนี้ที่จะสิ้นสุดลงในสิ้นเดือนต.ค. นี้ คาดว่าจะมีลูกหนี้ส่วนหนึ่งไม่สามารถชำระหนี้ต่อไปได้ เนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19 มาตั้งแต่ต้นปี
 
“ในช่วงที่มีการพักหนี้ หนี้เอ็นพีแอลของธนาคารอยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท โดยธนาคารได้เข้าไปเร่งปรับโครงสร้างหนี้ ทำให้กลับมาเป็นหนี้ปกติได้ประมาณ 3,000 ล้านบาท ทำให้หนี้เอ็นพีแอลของธนาคารอยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท คาดว่าช่วงที่เหลือของปีจะมีหนี้เอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นมาอีก โดยธนาคารจะบริหารให้เอ็นพีแอลของธนาคารอยู่ที่ 1.9-2 หมื่นล้านบาท หรือ 20% ของสินเชื่อคงค้าง” น.ส.นารถนารี กล่าว
 
น.ส.นารถนารี กล่าวว่า การพักหนี้ทำให้รายได้ของธนาคารปี 2563 ลดลง คาดว่ารายได้จากดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 4,500 ล้านบาท จากปี 2562 อยู่ที่ 5,200 ล้านบาท และกำไรปีนี้คาดว่าจะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาที่ขาดทุนกว่า 1,000 ล้านบาท
 
อย่างไรก็ตาม ในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ 3 หมื่นล้านบาท หรือ 1.5 หมื่นราย ใกล้เคียงกับปี 2562 ทั้งปีที่ปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ 3.8 หมื่นล้านบาท หรือ 1.5 หมื่นราย ซึ่งการปล่อยสินเชื่อใหม่ของธนาคารปี 2563 เป็นสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแทบทั้งหมด เพื่อบรรเทาผลกระทบลูกค้าที่ได้รับจากโควิด-19
 
น.ส.นารถนารี กล่าวว่า ธนาคารได้พักชำระหนี้ให้ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 70% ของลูกหนี้ทั้งหมด โดยส่วนที่เหลืออีก 20% ไม่สามารถเข้าโครงการได้เรื่องจากเป็นเอ็นพีแอล และอีก 10% มีสินเชื่อเกินเกณฑ์เข้าพักชำระหนี้ส่วนหนึ่งและอีกส่วนหนึ่งไม่ต้องการเข้าโครงการพักชำระหนี้ เพราะยังมีกำลังที่จะผ่อนชำระหนี้ได้
 
นอกจากนี้ ธนาคารยังได้เร่งช่วยเหลือลูกค้าให้เข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ทั้งของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่คิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 2% แต่ต้องผ่อนชำระภายใน 2 ปี และของธนาคารที่มีมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำหลายมาตรการอัตราดอกเบี้ย 2-5% ซึ่งผ่อนชำหนี้ได้ยาวกว่าของ ธปท.
 

 
หลังโควิดกระทบเด็กนร.ยากจนพิเศษเพิ่ม 1.7แสน
https://www.dailynews.co.th/education/800165
 
กสศ. เปิดสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา หลัง COVID-19 พบกระทบเด็กนักเรียนยากจนพิเศษเพิ่มขึ้นมากกว่า 170,000 คน ครัวเรือนยากจนพิเศษรายได้เฉลี่ยลดลงเหลือเพียง 36 บาทต่อวันและพึ่งพาสวัสดิการจากรัฐเป็นแหล่งรายได้หลักมากขึ้น
 
 เมื่อวันที่ 9 ต.ค. ที่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้จัดแถลงข่าวรายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา หลัง COVID-19 ภาคเรียนที่ 1/2563 โดย สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.) กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ได้รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ถึงผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ต่อรายได้และการมีงานทำของครัวเรือนนักเรียนยากจนและนักเรียนยากจนพิเศษ ภายหลังสถานการณ์ COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมา
 
ดร.ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา หลัง COVID-19 ภาคเรียนที่ 1/2563 พบว่ามีนักเรียนยากจน 1.7 ล้านคน แบ่งเป็นนักเรียนยากจนพิเศษ 1 ล้านคน ซึ่งสูงกว่าภาคเรียน 2/2562 มากกว่า 1.7 แสนคน ทั้งนี้หากเปรียบเทียบก่อนเกิดสถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 ในภาคเรียนที่ 1/2562 เทียบกับสถานการณ์เกิดการแพร่ระบาดแล้วในภาคเรียนที่ 1/2563 พบว่ามีนักเรียนยากจนพิเศษ (นักเรียนทุนเสมอภาค) ที่ผ่านการคัดกรองใหม่ จำนวน 652,341 คน ประกอบไปด้วย กลุ่มเป้าหมายใหม่คือนักเรียนอนุบาลสังกัด สพฐ. ทั่วประเทศ 146,693 คน นักเรียนกลุ่มเดิมที่คัดใหม่เนื่องจากครบ 3 ปีการศึกษา 313,361 คน นักเรียนสังกัด อปท.และ ตชด. 14,834 คน และกลุ่มใหม่ที่คาดว่ายากจนเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจผนวกกับสถานการณ์ COVID-19 จำนวน 177,453 คน หรือ เพิ่มขึ้นราวร้อยละ 50 ของนักเรียนยากจนพิเศษ ก่อนมีสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19
 
 น.ส.ณัฐชา ก๋องแก้ว นักเศรษฐศาสตร์การศึกษา สถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.) นำเสนอผลการวิเคราะห์เชิงลึกข้อมูลครัวเรือนนักเรียนยากจนพิเศษมากกว่า 600,000 ครัวเรือนพบว่า สถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของครอบครัวนักเรียนยากจนพิเศษกลุ่มใหม่ ทำให้รายได้เฉลี่ยลดลงจาก 1,205 บาท/คน/ครัวเรือน เหลือเพียง 1,077 บาท/คน/ครัวเรือน หรือเฉลี่ยเหลือเพียงวันละ 36 บาท ลดลงร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนสถานการณ์ COVID-19 เมื่อปลายปี 2562 เฉลี่ยวันละ 40 บาท ในขณะที่หลังสถานการณ์ COVID-19 จากการสำรวจข้อมูลครัวเรือนนักเรียนยากจน พบว่า สมาชิกในครัวเรือนอายุ 15-65 ปี ว่างงานเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 44 เป็นร้อยละ 73 ของนักเรียนยากจนพิเศษที่คัดกรองใหม่หลังสถานการณ์ COVID-19 และส่งผลให้สมาชิกครัวเรือนเฉลี่ยของครอบครัวนักเรียนยากจนพิเศษเพิ่มขึ้นจาก 4 เป็น 5 คน หรืออย่างน้อย 1 คน จึงคาดว่าเป็นผลมาจากการกลับภูมิลำเนาเนื่องจากว่างงานในช่วง COVID-19 ที่สำคัญยังพบว่าผู้ปกครองนักเรียนลงทะเบียนบัตรสวัสดิการรัฐถึงร้อยละ 42 และยังพบว่า มีการประกอบอาชีพเกษตรเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 44 หากเทียบกับช่วงก่อน COVID-19 ที่มีประมาณร้อยละ 36 และเพื่อให้ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน รวมถึงสื่อมวลชน ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการทำงาน ได้นำองค์ความรู้และข้อมูลไปช่วยแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำให้กับสังคมไทย กสศ. จึงร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำคลังข้อมูลด้านความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในไทยที่ชื่อว่า “EEF IN Number” ขึ้น เพื่อนำเสนอเรื่องราวของเด็กยากจนพิเศษที่เสี่ยงจะหลุดออกนอกระบบการศึกษา สถิติ ตัวเลข รวมถึงปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ทั้งนี้ กสศ. คาดหวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปใช้และทำให้ครอบครัวที่มีรายได้น้อยได้รับโอกาสเข้าถึงความเสมอภาคทางการศึกษามากขึ้น สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลและความเคลื่อนไหวของงานวิชาการเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ https://research.eef.or.th/
 
ดร.ไกรยส กล่าวว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้คณะกรรมการบริหาร กสศ. ได้พิจารณาปรับแผนการช่วยเหลือเด็กนักเรียนยากจนพิเศษทั้งกลุ่มเดิม จำนวน 414,688 คน และกลุ่มใหม่ จำนวน 652,341 คน รวมเป็น 1,067,029 คน จากเดิมที่เคยให้ความช่วยเหลือนักเรียนทุนเสมอภาค 761,729 คน  ในปีการศึกษา 2562 ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ ไม่ได้อยู่ที่การขยายกลุ่มเป้าหมาย แต่ กสศ.ได้วิเคราะห์ผลลัพธ์ในเชิงคุณภาพ ยืนยันว่า เมื่อนักเรียนยากจนพิเศษ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอัตราการมาเรียนต่ำกว่าร้อยละ 80 ได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนอย่างมีเงื่อนไข หรือทุนเสมอภาคอย่างต่อเนื่องสามารถช่วยลดผลกระทบ ป้องกันไม่ให้หลุดออกนอกระบบการศึกษา ได้ โดยเด็กกลุ่มนี้มีอัตราการมาเรียนที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากมาเรียนร้อยละ 69.4 หรือราวสามวันต่อสัปดาห์ เพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 89.4 หรือราวสี่วันครึ่ง และเมื่อเด็กได้รับเงินอุดหนุนต่อเนื่องอีกหนึ่งภาคเรียน อัตราการมาเรียนเฉลี่ยก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น
 
“ยอมรับว่า COVID-19 ส่งผลกระทบหนักมาก แต่ความร่วมมือระหว่าง กสศ. และหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น สพฐ. ตชด. อปท. จะช่วยบรรเทาปัญหานี้ให้เบาลงได้ไม่มากก็น้อย ส่วนหนึ่งต้องขอขอบคุณสภาผู้แทนราษฎรที่พิจารณาแปรญัตติเพิ่มงบประมาณกลับมาให้กับ กสศ.จนสามารถให้ความช่วยเหลือนักเรียนยากจนพิเศษได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ปัญหานี้มีขนาดใหญ่มาก และยังมีกลุ่มนักเรียนยากจนพิเศษที่เรียนจบชั้น ป.6 ขึ้น ม.1 และ ม.3 ขึ้น ม.4  หรือ ปวช. ที่มีความเสี่ยงหลุดนอกระบบการศึกษา เพราะสถานการณ์ COVID-19 รวมทั้งเรื่องรายได้ของครอบครัวที่อาจเป็นอุปสรรคทำให้เด็กๆต้องหลุดออกจากระบบการศึกษา จึงอยากเชิญชวนภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามาร่วมเติมเต็มความช่วยเหลือให้กับน้อง ๆ กลุ่มเสี่ยงเหล่านี้มิให้หลุดออกจากระบบการศึกษาก่อนวัยอันควร เพื่อให้เด็กเยาวชนในระบบการศึกษาผ่านพ้นสถานการณ์ COVID-19 ไปได้ด้วยกันทุกคน” ดร.ไกรยศ กล่าว.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่