รหัสลับรัตติกาล ตอนที่ 3

กระทู้สนทนา
G.K.L.ine
 
         3.

          ณ ดินแดนไกลโพ้นซึ่งมีพื้นที่สูงต่ำสลับสับเปลี่ยนกันอย่างซับซ้อนแปลกตา ทั้งภูเขาสูง ที่ราบลุ่มและหุบเหวลึก ทั้งหมดถูกจัดวางอย่างงดงามลงตัวน่าอัศจรรย์ หากขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดและมองลงมา จะพบเพียงความเขียวขจีของไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่แผ่ขยายกิ่งก้านสาขา ปกคลุมไปทั่วผืนดินกินอาณาเขตกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

          แม่น้ำสายหนึ่งซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ไหลผ่านตัดกึ่งกลางแบ่งผืนป่าออกเป็นส่วนเหนือและส่วนใต้ ธรรมชาติและความอุดมสมบูรณ์ยังมีอย่างเหลือเฟือในป่าส่วนใต้ ทั้งแมลง สัตว์ปีก สัตว์ป่า และพันธุ์ไม้หายากหลากหลายสายพันธุ์สามารถหาพบได้ในป่าส่วนนี้

                หากจะเปรียบที่แห่งนี้ดุจดั่งสวรรค์ของเหล่าผู้อยู่อาศัยก็คงไม่ผิดนัก ถือเป็นความคิดเดียวกันกับบรรดานักวิจัยและนักท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ที่นี่คือโอเอซีสของโลกในยามที่ทั่วทุกหัวระแหงเต็มไปด้วยตึกอาคารสูงเทียมฟ้า

                ยามเช้าเมื่อแสงอาทิตย์โรยตัวลงมาอย่างอ่อนโยน ผืนป่าตอบสนองต่อความอบอุ่นที่ได้รับอย่างมีชีวิตชีวา ใบไม้ที่เคยซบใบลงกับกิ่งก้านกลับแผ่กางออก มวลดอกไม้ซึ่งก้มหน้ามองดินต่างแข่งกันชูคอ อวดกลีบใบสีสวยให้ได้เห็น สัตว์น้อยใหญ่โผล่หน้าออกจากที่พำนักและเริ่มออกหากิน นกร้องเจื้อยแจ้วประชันขันแข่งบทเพลงสร้างท่วงทำนองปลุกเร้าชีวิต

                ครั้นเมื่อแสงสุดท้ายหมดลง ทั่วทั้งผืนป่าถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดแห่งรัตติกาล มีสัตว์อีกกลุ่มหนึ่งที่มีความสามารถมองเห็นได้ดีในยามค่ำคืนออกหากินแทน เหยื่อมักเร้นกายในเงามืด เคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าและเงียบที่สุด ในขณะที่ผู้ล่าจะใช้ทุกประสาทสัมผัสที่มีสังเกตการเคลื่อนไหว หรือการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ตามรอบกาย มันคือการเล่นซ่อนหาที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน

                แต่ทว่าความมีชีวิตชีวาที่พบเห็นได้ทั่วไปในป่าดงดิบส่วนใต้นี้ กลับไม่เคยเกิดขึ้นกับป่าส่วนเหนือที่อีกฟากฝั่งของแม่น้ำแห่งชีวิตเลย ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วมันคือป่าผืนเดียวกันแท้ๆ แทบไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

                ในป่าส่วนเหนือมีแต่ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้า และมีลำต้นสีดำทะมึน ใบใหญ่ซ้อนทับกันหนาแน่นจนแสงอาทิตย์ไม่สามารถเบียดแทรกลงมายังพื้นดินได้ ไม่มีดอกไม้เบ่งบาน ปราศจากเสียงสัตว์ และไร้การเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต ไม่ได้ยินแม้เสียงลมพัด ราวกับพวกมันรับรู้ได้ถึงอันตรายของที่นี่โดยสัญชาตญาณ ทุกทิวาและราตรีกาลที่นี่จึงมืดมิด อับชื้น และเงียบสงัด

                สวบ สวบ สวบ

                ปังๆๆ

                ทว่าคืนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น เสียงใบไม้แตกหักจากการเร่งฝีเท้าเหยียบย่ำของคนกลุ่มหนึ่ง และเสียงคำรามของปืนดังไม่ขาดสาย มันทำลายความเงียบเชียบตามปกติไปจนหมดสิ้น

                “อ๊าก...กกก”

                ตุ้บ

                เสียงร้องโหยหวน เสียงร่วงหล่นลงกับผืนป่า มันเกิดขึ้นกับคนๆ หนึ่งในกลุ่มคนที่กำลังวิ่งอยู่ท้ายขบวน ทั้งหมดรับรู้ถึงภัยที่กำลังเข้ามาใกล้ จึงวิ่งแยกตัวออกไปคนละทิศราวสะเก็ดไฟที่แตกออกจากพลุอย่างรู้ใจกัน

                เสร็จไปอีกหนึ่งแล้ว

                เหลียงฉีวิเคราะห์เสียงที่ได้ยิน แล้วทรุดตัวลงนั่งกับพื้นป่า อาศัยลำต้นของไม้ใหญ่ช่วยบดบังเขาจากสายตาของนักล่า ประสาทสัมผัสทั้งห้ากำลังรวบรวมสมาธิเพื่อแยกแยะการเคลื่อนไหวที่แปลกแยกกว่าการเคลื่อนไหวอื่นๆ

                มือขวากำด้ามปืนไว้มั่นขณะที่มือซ้ายเกาะกุมอยู่กับบาดแผลบริเวณหน้าท้อง เลือดที่ไหลออกมาจากรอยเปิดย้อมมือจนเป็นสีแดง บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าอาการคงสาหัสไม่น้อย แต่เขากลับไม่สะทกสะท้าน ใบหน้าและแววตายังคงนิ่งเฉยราวยังเป็นปกติดีทุกอย่าง

                “ข้ามแม่น้ำแห่งชีวิตนี้ไปก็จะเข้าเขตป่าดำแล้ว ถ้าพวกคุณยังยืนกรานที่จะข้ามไป เราคงต้องจากกันตรงนี้”

                ป่าดำหรือป่ามรณะเป็นชื่อที่คนท้องถิ่นเรียกขานป่าทางด้านเหนือ ตามลักษณะของผืนป่าที่ไร้แสงสว่างและไร้สิ่งมีชีวิต คนนำทางที่พวกเขาจ้างวานมาพาคณะเดินทางมาหยุดลงตรงสุดเขตป่าด้านใต้เมื่อเวลาลำแสงสุดท้ายกำลังจะลาลับไปพอดี ผู้นำทางท้องถิ่นเอ่ยเตือนเพราะรู้ดีว่าไม่เคยมีใครข้ามแม่น้ำสายนี้ไปในเวลาค่ำคืนแล้วจะสามารถข้ามกลับมายังฝั่งนี้ได้อีก

                “หรือไม่พวกคุณก็ควรรอให้ฟ้าสว่างเสียก่อน อย่างน้อยจะได้มีเวลาทำอะไรก็ตามที่คุณต้องการในฝั่งนั้นได้นานขึ้นอีกหน่อย”

                แต่คณะเดินทางก็ยังข้ามแม่น้ำแห่งชีวิตมาโดยหาได้ใส่ใจความหวังดีนั้น

                “ชิ รู้อย่างนี้ฟังคำเตือนหน่อยก็ดี” ก้มมองบาดแผลสาหัสบริเวณหน้าท้องตัวเองแล้ว เหลียงฉีพึมพำกับตัวเองเบาๆ

                คนอื่นคงหาที่ซ่อนตัวกันหมดแล้ว คะเนจากเวลา อีกไม่นานฟ้าก็จะสาง และถ้าถึงเวลานั้นเมื่อไหร่เขาก็จะรอด ขอเพียงซ่อนตัวให้มิดชิดและเงียบที่สุดอยู่อย่างนี้ก็พอ

                ทั่วทั้งป่าเงียบกริบ แต่กระนั้นเขากลับเคร่งเครียด ทั้งที่มันน่าจะเป็นเรื่องดี แต่เขากลับคิดว่ามันเงียบเกินไป ลางสังหรณ์บอกว่ากำลังจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น

                ชายหนุ่มเป็นนักล่าอสุรกายมือดีที่สุดของหน่วยงานที่สังกัดอยู่ ปราบสัตว์ประหลาดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่เจ็บหนักและต้องหนีสิ่งที่กำลังล่าอย่างหัวซุกหัวซุน

                “เฮ้ เหลียง เรามีงานใหม่แล้ว”

                เฟิงอิ่ง เพื่อนรักและคู่หูที่ออกล่าอสุรกายร่วมกันมานานยื่นแผ่นกระดาษให้ บนนั้นมีภาพแผนที่ของสถานที่หนึ่งพร้อมด้วยลายมือขยุกขยิกอีกสองสามบรรทัด เพียงแค่เห็นหัวใจก็พองโตขึ้นทันที ทั้งคู่หันมาสบตากันอย่างรู้ใจก่อนจะหัวเราะเสียงดังออกมาพร้อมกัน

                “ในที่สุดก็เจอมันจนได้ ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ตามหามาตั้งหลายปี”

                “ดูเหมือนว่ามันจะเป็นตัวสุดท้ายในโลกแล้ว เราจะพลาดโอกาสเดียวในชีวิตไปไม่ได้”

                ก่อนมาที่นี่ เหลียงฉีและเฟิงอิ่งซึ่งเป็นผู้นำทีมล่ายังพกเอาความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม พวกเขาคิดกันเพียงว่าการล่าในครั้งนี้คงจะน่าสนุกและตื่นเต้นมากกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยผ่านมา

                ไม่เอะใจเลยว่า เหตุใดอสูรกายตนนี้จึงมีชีวิตอยู่มายาวนานโดยไม่ถูกใครฆ่า ไม่รู้ตัวสักนิดว่าตัวเองกำลังประเมินฤทธิ์เดชของสัตว์ประหลาดโบราณตนนี้ต่ำเกินไป

                “ไม่คิดเลยว่าแวมไพร์มันจะเก่งได้ขนาดนี้”

                แวมไพร์เป็นอสุรกายโบราณ กลางวันจะซ่อนตัวในที่มืดมิดซึ่งปราศจากแม้แสงเพียงน้อยนิดรอดผ่านเข้าไปได้ นอนนิ่งไม่ไหวติงราวกับคนตาย ทุกประสาทสัมผัสจะหยุดทำงานอย่างสมบูรณ์จนถึงขนาดไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ รอบกาย ราตรีกาลจะมอบชีวิตให้แก่มันอีกครั้ง มันออกล่าโดยใช้เขี้ยวเจาะที่ลำคอและดูดเลือดออกจากตัวเหยื่อจนหมด

                แวมไพร์เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทกึ่งอมตะ โดยธรรมชาติจะไม่แก่และไม่ตายยกเว้นแต่มันจะถูกฆ่า แสงแดด การเผา การตัดหัว การตอกลิ่มทะลุหัวใจ และการยิงด้วยกระสุนเงินที่หลอมจากไม้กางเขน เหลียงฉีและทีมล่าทุกคนรู้ดีว่าวิธีเหล่านี้สามารถจัดการสิ่งมีชีวิตพันธุ์พิเศษโบราณตนนี้ได้

                แต่เพราะสภาพแวดล้อมที่มีแต่ความมืดสลัวรกครึ้มไปด้วยกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ใบไม้ อีกทั้งความว่องไวเกินคาดของมัน ถึงแม้จะมีกระสุนเงินอยู่ในปืนทุกกระบอก แต่จะมีประโยชน์อะไรถ้ายิงไม่เข้าเป้าแม้แต่นัดเดียว

                คิดแล้วก็อดเจ็บใจในความห่างชั้นของตนเองกับเจ้าอสุรกายตนนี้ไม่ได้

                “อ๊าก...กกก”

                ปัง ๆ...ปัง

                ตุ้บ

                เริ่มอีกแล้ว เหมือนกำลังเล่นเกมซ่อนหาอยู่ในความมืด มันปล่อยให้พวกเขาหลบซ่อนและมีความหวังว่าจะรอด จากนั้นจึงเริ่มออกล่าอีกครั้ง เสียงปืนและเสียงร้องดังต่อเนื่องคล้ายกำลังเกิดจลาจลเล็กๆ ขึ้นในกลางป่า คนแล้วคนเล่าต้องจบชีวิตลงราวใบไม้ร่วง

                ไม่มีใครหยุดได้ มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ถึงเวลาต้องหนีอีกแล้ว เหลียงฉีก้มลงมองบาดแผลตัวเอง สูดหายใจลึก กัดฟันเพื่อรวบรวมกำลังที่เหลือพาร่างอันบอบช้ำพุ่งไปด้านหน้า

                แต่ฉับพลันนั้น เขาสัมผัสได้ถึงอันตราย ชายหนุ่มเบี่ยงตัวกลางอากาศหลบฉากออกทางด้านข้าง พอดีกับร่างเล็กสีดำปราศจากเสื้อผ้าห่อคลุมกายพุ่งออกจากเงามืด กรงเล็บแหลมคมเฉียดตำแหน่งสำคัญไปเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด ฝากแผลอีกรอยไว้บนท่อนแขน

                เขาม้วนตัวกับพื้นก่อนจะกลับมาอยู่ในท่านั่งชันเข่าด้วยจังหวะการเคลื่อนไหวลื่นไหลต่อเนื่อง กระสุนเงินถูกสาดออกจากลำกล้องนับไม่ถ้วน มันกระโดดพุ่งตัวไปมารวดเร็วปานสายฟ้า โดยมีคมกระสุนพุ่งตามไปติดๆ ทว่าไม่มีแม้สักนัดได้เฉียดผิวหนังของมัน

                ร่างดำกระโดดมาอยู่ตรงหน้าในระยะเพียงไม่กี่เมตร ดวงตาสีดำทั้งดวงจ้องมองชายหนุ่มที่กำลังเล็งปากกระบอกปืนมาทางมัน ทั้งคู่ยืนนิ่งคล้ายกำลังดูเชิงซึ่งกันและกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่