พวกมันจับผมไปยังห้องของครูเกริก พวกที่มาตามจับผมก็ถือว่าหลายคนอยู่ แต่พวกที่รออยู่ในห้องของครูเกริกก็มีหลายคนเหมือนกัน พวกมันจับผมให้ไปนั่งที่เก้าอี้ที่ไม่มีพนักพิงต่อหน้าครูเกริก ครูเกริกสั่งให้ใครบางคนไปตามครูพละอีกสองคนกับ รปภ. 1 คนมาที่ห้องนี้ คาดว่าคงให้หามาเพื่อที่จะเป็นพยาน พอทุกคนมากันครับ ครูเกริกก็เริ่มขบวนการสอบสวนผม
“มีงใช่มั้ยที่จงใจลวนลามผู้หญิงคนนั้น”
แล้วครูเกริกก็ชี้ไปที่สิริเพ็ญซึ่งเธอกำลังยืนร้องไห้แทบเป็นบ้าอยู่ในอ้อมอกของหญิงสูงอายุคนหนึ่งซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร พอผมหันกลับมา มันก็หลีกเลี่ยงที่ผมจำเป็นต้องตอบว่า “ครับ”
หลังจากนั้นครูพละคนนึงก็ตะโกนออกมาก่อน “มีงคิดอย่างนี้ได้ยังไง ไอ้” แล้วหันไปพูดกับครูเกริกว่า “แล้วครูจะเอายังไงดีครับ” ครูเกริกพยายามตีสีหน้าให้มีเมตตาสูงสุด “มันยังเด็กอยู่ จะเอาเรื่องเอาราวก็สงสารมัน เห็นใจมัน แต่ถ้าจะปล่อยไปเฉยๆ ก็คงไม่ดีนัก อายุขนาดนี้ ยังทำได้ถึงขนาดนี้ ถ้าโตกว่านี้ มันอาจจะไปข่มขืนแล้วฆ่าก็ได้” แล้วแกก็เว้นช่องไฟไประยะหนึ่ง “ดังนั้น เราควรจะสั่งสอนมันให้เข็ดหลาบ ต้องเอาให้หนักหน่อย มันจะได้จำและไม่กล้าทำอะไรเยี่ยงนี้อีก” เมื่อกลุ่มชายฉกรรจ์ในปี 2527 ที่อยู่ในละแวกนั้นเห็นตรงกันแล้ว การกระทำสุดโหดจึงได้อุบัติขึ้น เพียงแต่เริ่มจากเบาะๆก่อน
ขณะที่ผมกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ไม่มีพนักพิง ชายคนแรกเข้ามาใช้มือฟาดหน้าอกผมก่อน พอผมตัวงอชายอีกคนจึงใช้มือฟาดหลังผมอย่างแรง จนผมยืดตัวแอ่นอกขึ้นด้วยความเจ็บหลัง ชายคนแรกก็ฟาดหน้าอกผมอีก พอผมตัวงอ ชายคนที่สองก็ฟาดหลังผมอีก เป็นแบบนี้สลับกันไปมาอยู่พักใหญ่ จนคนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาควรจะมี “สิทธิ” ที่จะได้ทารุณกรรมผมบ้าง เมื่อเห็นดังนั้น ชายอีกสองคนจึงจับผมนอนหงายลงไป
ชายอีกสองคนเข้ามาเหยียบที่แขนผมแล้วกดไว้ อีกสองคนเข้ามาเหยียบที่ขาแล้วกดไว้ จนผมอยู่ในลักษณะถูกจับกดขึงพืด ดิ้นไม่หลุด แล้วชายอีกสองสามคนก็รุมกระทืบผมทั้งตรงหน้าท้องและหน้าอก ถึงจะออกแรงแบบไม่ให้ถึงบาดเจ็บล้มตาย แต่มันก็เจ็บพอควร มีชายคนหนึ่งคงอยากทำอะไรบางอย่างมานานแล้ว เขาเลยถอดเข็มขัดออกแล้วเอามาฟาดตรงหน้าอกและหน้าท้องของผม พอคนอื่นเห็นจึงเลียนแบบ เลยมีคนรุมเอาเข็มขัดฟาดผมหลายคนอยู่
ตอนนี้เนื้อที่แค่หน้าอกกับหน้าท้องคงไม่เพียงพอ อีกสองคนจึงช่วยกันถอดกางเกงผมออกจนเหลือกางเกงในตัวเดียว มันเป็นการเพิ่มเนื้อที่ในการทารุณกรรมที่มีประสิทธิภาพ อีกหลายคนจึงเอาเข็มขัดมารุมฟาดผมตรงต้นขา บางคนซาดิสม์หน่อย ก็เล็งไปที่ตรงกางเกงใน ถึงเวลาครูเกริกออกโรงบ้าง ระดับครูเกริกแล้ว แกก็ได้เตรียมการมาอย่างดิบดี แกหยิบแส้ที่คนสมัยก่อนเอาไว้ใช้สำหรับคนคุกมาฟาดผม ไม่รู้เหมือนกันว่าไปหามาจากไหน แต่เมื่อหาได้แล้วก็คงไม่อยากเก็บสะสมเอาไว้ดูเพียงอย่างเดียว คงอยากจะใช้ด้วย แล้วคนครูเกริกเลือกก็คือผม นักเรียนที่ผ่านคืนโหดนรกแตกที่ไม่ยอมเสียสติซะที สำหรับแก คืนนี้คงเป็นคืนโหดนรกแตก ภาค 2 ของผม หลังจากคืนนี้ แกคงหวังว่าผมจะต้องกลัวลนลาน เสียสติหรือหมดอนาคต
แส้ของครูเกริกมีประสิทธิภาพมาก มันฝากรอยเลือดซิบๆ ไว้ตรงหน้าท้องและหน้าอกผม มันร้ายแรงกว่าเข็มขัดมากอยู่ ตอนนั้นผมคงดูแย่มาก ถ้ายังกระหน่ำกันต่อ ผมคงแย่ไปกว่านี้ เหมือนมโนสำนึกบังเกิดขึ้นมาโดยฉับพลัน ทุกคนจึงได้หยุดการกระทำอันเหี้ยมโหดพร้อมๆกัน มีเสียงชายคนหนึ่งพูดว่า
“แค่นี้ก็พอแล้ว”
อีกคนหนึ่งพูดต่อว่า “พอได้แล้ว”
แต่ครูเกริกหันไปถามสิริเพ็ญที่ดูเหมือนจะยังร้องไห้อยู่ “ความเลวที่มันทำกับเธอ แค่นี้พอหรือยัง” สิริเพ็ญหันรีหันขวางจนไปเห็นเทียนที่อยู่บนหิ้งพระ ทันใดนั้นปิศาจร้ายก็เข้าสิงเธอ เธอเดินไปหยิบเทียนบนหิ้งพระ ซึ่งถือเป็นหิ้งที่ติดไว้ตรงผนังที่ต่ำกว่าปกติ แล้วก็เอาน้ำตาเทียนร้อนๆมาหยดลงตรงหัวนมของผม แล้วตะโกนอย่างปิศาจร้าย “โดนแค่นี้ยังไม่สาสมกับที่มีงทำกับกูหรอก” เราไม่อาจรู้ได้ว่าเธอเคียดแค้นผมที่ไม่ยอมเป็นแฟนกับเธอหรือเธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ตอนนั้นชายหนุ่มทั้งหมดก็ตกตะลึงเหมือนกันเพราะไม่คิดว่าสิริเพ็ญจะโหดกับผมได้ถึงเพียงนี้
แต่ปิศาจร้ายตัวจริงกำลังจะออกโรง นั่นคือครูเกริก แกดูมีความสุขมาก แกรีบเดินไปเปิดลิ้นชักโต๊ะ แล้วหยิบเทียนไขมาแจกชายหนุ่ม แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้รับเทียนกันทุกคน แต่คนที่รับก็รีบต่อไฟจากเทียนของสิริเพ็ญ พอได้ที่แล้วก็นำน้ำตาเทียนมาหยดลงบนตัวผม ที่แรกก็คือหัวนมข้างที่เหลือ จากนั้นก็กระจายไปทั่วทั้งบริเวณหน้าและหน้าท้อง ตอนนั้นคนที่ทนดูไม่ได้ก็รีบเดินออกจากห้อง น่าแปลกที่ไม่มีใครสักคนส่งเสียงห้าม
คืนนั้นเป็นคืนโหดนรกแตกของผมอย่างแท้จริง การโดนน้ำตาเทียนหยดลงตรงแผลที่มีเลือดซิบๆอยู่ มันเจ็บปวดทรมานมาก ตอนนั้นผมรู้สึกว่ามีคนมาแตะไหล่ผมทั้งสองข้าง ข้างซ้ายคือชาญ ข้างขวาคือเอก แล้วยังมีอีก 4 คนที่มายืนให้กำลังใจผมอยู่ด้านหลังคือศาสตรา สิงหลกับนายทหารทั้งสอง ผมไม่แน่ใจว่าจะเรียกปรากฏการณ์นี้ว่าอย่างไรดี ณ เวลาแบบนี้ ผมไม่ได้คิดถึงพ่อกับแม่หรอก ผมอาจจะคิดถึงพวกเขา ตัวตนแปลกๆที่ผมสร้างขึ้นมาในหัว แต่พวกเขาก็มีพลานุภาพ ถึงจะช่วยห้ามหรือปกป้องผมไม่ได้ แต่พวกเขาก็มีพลานุภาพ
ไม่นานนักพวกเขาก็หายไปเมื่อสิริเพ็ญกล้าทำอะไรบางอย่างที่เหี้ยมโหดผิดมนุษย์มนา เธอถอดกางเกงในผมออก แล้วเอาน้ำตาเทียนหยดลงตรงองคชาติของผม ความร้อนและความเจ็บปวดทรมานแผ่อย่างเร็วและรุนแรงจนรู้สึกเหมือนกับว่าองคชาติถูกเผา ขนาดปิศาจร้ายอย่างครูเกริกยังเข้าไปห้ามเธอ เราไม่อาจรู้ได้ว่าตอนนั้นเธอคิดอะไรอยู่ หลังจากนั้นหลายเดือน สิริเพ็ญได้ตั้งท้องโดยที่ยังไม่จบ ม.ต้น พอทุกคนรู้เรื่องนี้ ทุกคนเกลียดเธอ โรงเรียนไล่เธอออกเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ครอบครัวก็ไล่เธอออกจากบ้านเพราะทนไม่ได้กับการที่คนละแวกบ้านรุมประนาม เธอต้องระหกระเหินซมซานไปขอเพื่อนสนิทพักอาศัยด้วย แต่ก็ได้ที่พักแบบอนาถา
ที่ๆเธออยู่ ทางเข้าค่อนข้างซับซ้อน แต่ผมก็ตามหาจนเจอ ตอนเธอเห็นผม ประโยคแรกที่เธอพูดก็คืออย่ามาซ้ำเติมเธออีกเลย เธอทนไม่ไหวแล้ว ผมรีบพูดออกไปว่า
“เราเป็นห่วงนะ เราอยากช่วยทุกอย่างที่พอช่วยได้ อย่าคิดมากนะ เดี๋ยวเรื่องร้ายๆมันก็ผ่านไป”
เธอได้ยินแค่นั้น เธอก็ปล่อยโฮออกมา แล้วเข้ามากอดผม ผมลูบหลังเธอ
“ปล่อยออกมาเลย ปล่อยออกมาให้หมดเลยนะ อะไรที่อัดอั้นไว้ ปล่อยออกมาให้หมด แล้วเดี๋ยวเรามาช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงกันดี”
เธอร้องไห้แทบขาดใจอยู่นานมาก ผมกอดเธอแบบที่ไม่เคยกอดใครมาก่อน เอามือลูบหลังตลอดเวลาที่เธอร้องไห้ เวลาผ่านไปพักใหญ่เธอจึงหยุดร้อง เราผละออกจากกัน เธอมองหน้าผม แววตาเธออ่อนโยนมาก มันไร้เดียงสาเหมือนกับเด็กอ่อน เธอเอามือลูบแก้มผม แล้วเข้ามาจูบผมอย่างอ่อนโยน ผมสนองตอบอย่างไม่รอช้า คิดเพียงอย่างเดียวว่าทำยังไงก็ได้ให้เธอดีขึ้น
พอหน้าเราผละออกจากกัน เธอก็ยังคงมองผมตาไม่กะพริบ เอามือมาปัดผมข้างหน้าของผม ใช้มือขวามาลูบแก้มผม แล้วก็ดึงผมเข้าไปกอดอีก ผมเอามือโอบหลังเธออย่างอ่อนโยนแล้วก็ลูบไปมา
“จะเป็นแม่คนแล้วนะ เข้มแข็งไว้นะ ถ้ายังอยู่ได้ อนาคตดีๆยังรอคอยอยู่เสมอ”
แต่เธอทนอยู่ไม่ได้และฆ่าตัวตายอีกสองอาทิตย์ถัดมา งานศพของเธอจัดเพียงสามวัน เจ้าภาพไม่ใช่พ่อแม่หรือญาติ แต่เป็นครูที่เคยสอนเธอมาตอนชั้นประถมกับผู้ปกครองเพื่อนสนิทของเธอที่เวทนาเธอ งานศพมีคนมาน้อยมาก ผมมางานสวดศพเธอทั้งสามวัน คนมาน้อยทุกวัน ทำไมถึงเป็นแบบนี้นะ ผมเกิดมาในสังคมแบบไหนกันนี่ ผมให้อภัยเธอได้ก็ด้วยวิธีคิดส่วนตัว ผมรู้สึกว่าเหตุการณ์ร้ายๆที่พบเจอไม่ใช่กรรมเก่า มันมาหาเราแล้วก็จากไป เหตุการณ์ดีๆก็เหมือนกัน ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้ ใครร้ายกับเรา เราก็ควรให้อภัย เพราะถ้าเราให้อภัยเขาไม่ได้ ในอนาคตเราอาจจะกลายเป็นคนที่เลวร้ายกว่าเขา แล้วเราจะยอมรับตนเองได้เหรอ
อย่างคำว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ผมก็ไม่ได้ถือตามนั้นเป๊ะ ไอ้ทำชั่วได้ชั่ว ตัดออกไปได้เลยเพราะไม่ทำอยู่แล้ว ส่วนคำว่าทำดีได้ดี ไอ้คำว่าได้ดีก็ตัดออกไปเช่นเดียวกัน การทำดีควรหวังผลอย่างเดียวคือให้คนอื่นได้ ไม่ควรจะเป็นตัวเรา ตัวเราไม่จำเป็นต้องได้อะไร การทำดีทุกครั้ง คนอื่นควรจะได้ ได้กำลังใจ ได้รับการเยียวยา ได้รับการเหลียวแล ได้รับโอกาสฯลฯ แต่เราไม่ต้องได้อะไรหรอก แค่ได้ทำดีทุกครั้งที่มีโอกาส มันก็คุ้มแล้วกับการเกิดมาเป็นมนุษย์
เมื่อ "ลูกผู้ชาย" อย่างผมถูกกระทำให้เป็น "ลูกสาว" : ประสบการณ์ชีวิตและความรักตั้งแต่วัยเด็กจนถึงปัจจุบัน ตอนที่ 7
“มีงใช่มั้ยที่จงใจลวนลามผู้หญิงคนนั้น”
แล้วครูเกริกก็ชี้ไปที่สิริเพ็ญซึ่งเธอกำลังยืนร้องไห้แทบเป็นบ้าอยู่ในอ้อมอกของหญิงสูงอายุคนหนึ่งซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร พอผมหันกลับมา มันก็หลีกเลี่ยงที่ผมจำเป็นต้องตอบว่า “ครับ”
หลังจากนั้นครูพละคนนึงก็ตะโกนออกมาก่อน “มีงคิดอย่างนี้ได้ยังไง ไอ้” แล้วหันไปพูดกับครูเกริกว่า “แล้วครูจะเอายังไงดีครับ” ครูเกริกพยายามตีสีหน้าให้มีเมตตาสูงสุด “มันยังเด็กอยู่ จะเอาเรื่องเอาราวก็สงสารมัน เห็นใจมัน แต่ถ้าจะปล่อยไปเฉยๆ ก็คงไม่ดีนัก อายุขนาดนี้ ยังทำได้ถึงขนาดนี้ ถ้าโตกว่านี้ มันอาจจะไปข่มขืนแล้วฆ่าก็ได้” แล้วแกก็เว้นช่องไฟไประยะหนึ่ง “ดังนั้น เราควรจะสั่งสอนมันให้เข็ดหลาบ ต้องเอาให้หนักหน่อย มันจะได้จำและไม่กล้าทำอะไรเยี่ยงนี้อีก” เมื่อกลุ่มชายฉกรรจ์ในปี 2527 ที่อยู่ในละแวกนั้นเห็นตรงกันแล้ว การกระทำสุดโหดจึงได้อุบัติขึ้น เพียงแต่เริ่มจากเบาะๆก่อน
ขณะที่ผมกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ไม่มีพนักพิง ชายคนแรกเข้ามาใช้มือฟาดหน้าอกผมก่อน พอผมตัวงอชายอีกคนจึงใช้มือฟาดหลังผมอย่างแรง จนผมยืดตัวแอ่นอกขึ้นด้วยความเจ็บหลัง ชายคนแรกก็ฟาดหน้าอกผมอีก พอผมตัวงอ ชายคนที่สองก็ฟาดหลังผมอีก เป็นแบบนี้สลับกันไปมาอยู่พักใหญ่ จนคนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาควรจะมี “สิทธิ” ที่จะได้ทารุณกรรมผมบ้าง เมื่อเห็นดังนั้น ชายอีกสองคนจึงจับผมนอนหงายลงไป
ชายอีกสองคนเข้ามาเหยียบที่แขนผมแล้วกดไว้ อีกสองคนเข้ามาเหยียบที่ขาแล้วกดไว้ จนผมอยู่ในลักษณะถูกจับกดขึงพืด ดิ้นไม่หลุด แล้วชายอีกสองสามคนก็รุมกระทืบผมทั้งตรงหน้าท้องและหน้าอก ถึงจะออกแรงแบบไม่ให้ถึงบาดเจ็บล้มตาย แต่มันก็เจ็บพอควร มีชายคนหนึ่งคงอยากทำอะไรบางอย่างมานานแล้ว เขาเลยถอดเข็มขัดออกแล้วเอามาฟาดตรงหน้าอกและหน้าท้องของผม พอคนอื่นเห็นจึงเลียนแบบ เลยมีคนรุมเอาเข็มขัดฟาดผมหลายคนอยู่
ตอนนี้เนื้อที่แค่หน้าอกกับหน้าท้องคงไม่เพียงพอ อีกสองคนจึงช่วยกันถอดกางเกงผมออกจนเหลือกางเกงในตัวเดียว มันเป็นการเพิ่มเนื้อที่ในการทารุณกรรมที่มีประสิทธิภาพ อีกหลายคนจึงเอาเข็มขัดมารุมฟาดผมตรงต้นขา บางคนซาดิสม์หน่อย ก็เล็งไปที่ตรงกางเกงใน ถึงเวลาครูเกริกออกโรงบ้าง ระดับครูเกริกแล้ว แกก็ได้เตรียมการมาอย่างดิบดี แกหยิบแส้ที่คนสมัยก่อนเอาไว้ใช้สำหรับคนคุกมาฟาดผม ไม่รู้เหมือนกันว่าไปหามาจากไหน แต่เมื่อหาได้แล้วก็คงไม่อยากเก็บสะสมเอาไว้ดูเพียงอย่างเดียว คงอยากจะใช้ด้วย แล้วคนครูเกริกเลือกก็คือผม นักเรียนที่ผ่านคืนโหดนรกแตกที่ไม่ยอมเสียสติซะที สำหรับแก คืนนี้คงเป็นคืนโหดนรกแตก ภาค 2 ของผม หลังจากคืนนี้ แกคงหวังว่าผมจะต้องกลัวลนลาน เสียสติหรือหมดอนาคต
แส้ของครูเกริกมีประสิทธิภาพมาก มันฝากรอยเลือดซิบๆ ไว้ตรงหน้าท้องและหน้าอกผม มันร้ายแรงกว่าเข็มขัดมากอยู่ ตอนนั้นผมคงดูแย่มาก ถ้ายังกระหน่ำกันต่อ ผมคงแย่ไปกว่านี้ เหมือนมโนสำนึกบังเกิดขึ้นมาโดยฉับพลัน ทุกคนจึงได้หยุดการกระทำอันเหี้ยมโหดพร้อมๆกัน มีเสียงชายคนหนึ่งพูดว่า
“แค่นี้ก็พอแล้ว”
อีกคนหนึ่งพูดต่อว่า “พอได้แล้ว”
แต่ครูเกริกหันไปถามสิริเพ็ญที่ดูเหมือนจะยังร้องไห้อยู่ “ความเลวที่มันทำกับเธอ แค่นี้พอหรือยัง” สิริเพ็ญหันรีหันขวางจนไปเห็นเทียนที่อยู่บนหิ้งพระ ทันใดนั้นปิศาจร้ายก็เข้าสิงเธอ เธอเดินไปหยิบเทียนบนหิ้งพระ ซึ่งถือเป็นหิ้งที่ติดไว้ตรงผนังที่ต่ำกว่าปกติ แล้วก็เอาน้ำตาเทียนร้อนๆมาหยดลงตรงหัวนมของผม แล้วตะโกนอย่างปิศาจร้าย “โดนแค่นี้ยังไม่สาสมกับที่มีงทำกับกูหรอก” เราไม่อาจรู้ได้ว่าเธอเคียดแค้นผมที่ไม่ยอมเป็นแฟนกับเธอหรือเธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ ตอนนั้นชายหนุ่มทั้งหมดก็ตกตะลึงเหมือนกันเพราะไม่คิดว่าสิริเพ็ญจะโหดกับผมได้ถึงเพียงนี้
แต่ปิศาจร้ายตัวจริงกำลังจะออกโรง นั่นคือครูเกริก แกดูมีความสุขมาก แกรีบเดินไปเปิดลิ้นชักโต๊ะ แล้วหยิบเทียนไขมาแจกชายหนุ่ม แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้รับเทียนกันทุกคน แต่คนที่รับก็รีบต่อไฟจากเทียนของสิริเพ็ญ พอได้ที่แล้วก็นำน้ำตาเทียนมาหยดลงบนตัวผม ที่แรกก็คือหัวนมข้างที่เหลือ จากนั้นก็กระจายไปทั่วทั้งบริเวณหน้าและหน้าท้อง ตอนนั้นคนที่ทนดูไม่ได้ก็รีบเดินออกจากห้อง น่าแปลกที่ไม่มีใครสักคนส่งเสียงห้าม
คืนนั้นเป็นคืนโหดนรกแตกของผมอย่างแท้จริง การโดนน้ำตาเทียนหยดลงตรงแผลที่มีเลือดซิบๆอยู่ มันเจ็บปวดทรมานมาก ตอนนั้นผมรู้สึกว่ามีคนมาแตะไหล่ผมทั้งสองข้าง ข้างซ้ายคือชาญ ข้างขวาคือเอก แล้วยังมีอีก 4 คนที่มายืนให้กำลังใจผมอยู่ด้านหลังคือศาสตรา สิงหลกับนายทหารทั้งสอง ผมไม่แน่ใจว่าจะเรียกปรากฏการณ์นี้ว่าอย่างไรดี ณ เวลาแบบนี้ ผมไม่ได้คิดถึงพ่อกับแม่หรอก ผมอาจจะคิดถึงพวกเขา ตัวตนแปลกๆที่ผมสร้างขึ้นมาในหัว แต่พวกเขาก็มีพลานุภาพ ถึงจะช่วยห้ามหรือปกป้องผมไม่ได้ แต่พวกเขาก็มีพลานุภาพ
ไม่นานนักพวกเขาก็หายไปเมื่อสิริเพ็ญกล้าทำอะไรบางอย่างที่เหี้ยมโหดผิดมนุษย์มนา เธอถอดกางเกงในผมออก แล้วเอาน้ำตาเทียนหยดลงตรงองคชาติของผม ความร้อนและความเจ็บปวดทรมานแผ่อย่างเร็วและรุนแรงจนรู้สึกเหมือนกับว่าองคชาติถูกเผา ขนาดปิศาจร้ายอย่างครูเกริกยังเข้าไปห้ามเธอ เราไม่อาจรู้ได้ว่าตอนนั้นเธอคิดอะไรอยู่ หลังจากนั้นหลายเดือน สิริเพ็ญได้ตั้งท้องโดยที่ยังไม่จบ ม.ต้น พอทุกคนรู้เรื่องนี้ ทุกคนเกลียดเธอ โรงเรียนไล่เธอออกเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ครอบครัวก็ไล่เธอออกจากบ้านเพราะทนไม่ได้กับการที่คนละแวกบ้านรุมประนาม เธอต้องระหกระเหินซมซานไปขอเพื่อนสนิทพักอาศัยด้วย แต่ก็ได้ที่พักแบบอนาถา
ที่ๆเธออยู่ ทางเข้าค่อนข้างซับซ้อน แต่ผมก็ตามหาจนเจอ ตอนเธอเห็นผม ประโยคแรกที่เธอพูดก็คืออย่ามาซ้ำเติมเธออีกเลย เธอทนไม่ไหวแล้ว ผมรีบพูดออกไปว่า
“เราเป็นห่วงนะ เราอยากช่วยทุกอย่างที่พอช่วยได้ อย่าคิดมากนะ เดี๋ยวเรื่องร้ายๆมันก็ผ่านไป”
เธอได้ยินแค่นั้น เธอก็ปล่อยโฮออกมา แล้วเข้ามากอดผม ผมลูบหลังเธอ
“ปล่อยออกมาเลย ปล่อยออกมาให้หมดเลยนะ อะไรที่อัดอั้นไว้ ปล่อยออกมาให้หมด แล้วเดี๋ยวเรามาช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงกันดี”
เธอร้องไห้แทบขาดใจอยู่นานมาก ผมกอดเธอแบบที่ไม่เคยกอดใครมาก่อน เอามือลูบหลังตลอดเวลาที่เธอร้องไห้ เวลาผ่านไปพักใหญ่เธอจึงหยุดร้อง เราผละออกจากกัน เธอมองหน้าผม แววตาเธออ่อนโยนมาก มันไร้เดียงสาเหมือนกับเด็กอ่อน เธอเอามือลูบแก้มผม แล้วเข้ามาจูบผมอย่างอ่อนโยน ผมสนองตอบอย่างไม่รอช้า คิดเพียงอย่างเดียวว่าทำยังไงก็ได้ให้เธอดีขึ้น
พอหน้าเราผละออกจากกัน เธอก็ยังคงมองผมตาไม่กะพริบ เอามือมาปัดผมข้างหน้าของผม ใช้มือขวามาลูบแก้มผม แล้วก็ดึงผมเข้าไปกอดอีก ผมเอามือโอบหลังเธออย่างอ่อนโยนแล้วก็ลูบไปมา
“จะเป็นแม่คนแล้วนะ เข้มแข็งไว้นะ ถ้ายังอยู่ได้ อนาคตดีๆยังรอคอยอยู่เสมอ”
แต่เธอทนอยู่ไม่ได้และฆ่าตัวตายอีกสองอาทิตย์ถัดมา งานศพของเธอจัดเพียงสามวัน เจ้าภาพไม่ใช่พ่อแม่หรือญาติ แต่เป็นครูที่เคยสอนเธอมาตอนชั้นประถมกับผู้ปกครองเพื่อนสนิทของเธอที่เวทนาเธอ งานศพมีคนมาน้อยมาก ผมมางานสวดศพเธอทั้งสามวัน คนมาน้อยทุกวัน ทำไมถึงเป็นแบบนี้นะ ผมเกิดมาในสังคมแบบไหนกันนี่ ผมให้อภัยเธอได้ก็ด้วยวิธีคิดส่วนตัว ผมรู้สึกว่าเหตุการณ์ร้ายๆที่พบเจอไม่ใช่กรรมเก่า มันมาหาเราแล้วก็จากไป เหตุการณ์ดีๆก็เหมือนกัน ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้ ใครร้ายกับเรา เราก็ควรให้อภัย เพราะถ้าเราให้อภัยเขาไม่ได้ ในอนาคตเราอาจจะกลายเป็นคนที่เลวร้ายกว่าเขา แล้วเราจะยอมรับตนเองได้เหรอ
อย่างคำว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ผมก็ไม่ได้ถือตามนั้นเป๊ะ ไอ้ทำชั่วได้ชั่ว ตัดออกไปได้เลยเพราะไม่ทำอยู่แล้ว ส่วนคำว่าทำดีได้ดี ไอ้คำว่าได้ดีก็ตัดออกไปเช่นเดียวกัน การทำดีควรหวังผลอย่างเดียวคือให้คนอื่นได้ ไม่ควรจะเป็นตัวเรา ตัวเราไม่จำเป็นต้องได้อะไร การทำดีทุกครั้ง คนอื่นควรจะได้ ได้กำลังใจ ได้รับการเยียวยา ได้รับการเหลียวแล ได้รับโอกาสฯลฯ แต่เราไม่ต้องได้อะไรหรอก แค่ได้ทำดีทุกครั้งที่มีโอกาส มันก็คุ้มแล้วกับการเกิดมาเป็นมนุษย์