เมื่อ "ลูกผู้ชาย" อย่างผมถูกกระทำให้เป็น "ลูกสาว" : ประสบการณ์ชีวิตและความรักตั้งแต่วัยเด็กจนถึงปัจจุบัน ตอนที่ 5

หลังจากเหตุการณ์คืนโหดนรกแตก ตัวผมจมดิ่งลงสู่หุบเหวแห่งความมืดอย่างแท้จริง ชีวิตไม่มีอะไรเลย มีแต่ความกลัว
กลัวที่สุดก็คือกลัวผู้ชายนี่แหละ แล้วก็เครียดหลายเรื่องในหัว เครียดแล้วเครียดอีก จะเป็นจะตายให้ได้
ผมกลายเป็นเด็ก ป.6 ที่กำลังจะขึ้น ม.1 ที่แทบจะไม่มีอนาคตเลย และตัวผมเองก็แทบจะคิดอะไรไม่ออกแล้ว มันมืดแปดด้านไปหมด
จนผมคิดว่าตัวเองน่าจะไม่มีอนาคตอีกแล้ว พวกครูเกริกคิดถูกว่าเด็กที่ผ่านคืนโหดนรกแตกไปแล้วต้องรู้สึกแบบนี้

ตอนนั้นจะหันหน้าไปพึ่งใครก็มองไม่เห็นทางเลย จะบอกแม่ก็ไม่ได้ เพราะผมไม่อยากไปเพิ่มความทุกข์ให้กับท่าน 
จะบอกพ่อก็ไม่ได้อยู่แล้ว เพราะระหว่างพ่อกับผม มันเหมือนมีมหาสมุทรมากั้นกลาง จะไปฟ้องครูที่โรงเรียน ฟ้อง ผอ.
แม้กระทั่งฟ้องตำรวจ ทุกอย่างมันดูมืดมนหนทางไปหมด จนไม่รู้ว่าจะหันไปทางไหน คนที่ให้กำลังใจผมได้ดีที่สุดก็คือคน 8 คน
ที่ผมแนะนำไปในตอนที่ 4 

พ่อกับแม่สรุปแล้วว่าผมต้องเรียนชั้น ม.1 ที่โรงเรียนเดิม เนื่องจากค่าเทอมไม่แพง (เป็นเงื่อนไขสำคัญ เพราะตอนนั้นธุรกิจของพ่อ-
เริ่มมีปัญหาแล้ว) เดินทางไม่ไกล ไม่ต้องเสียค่ารถ สามารถเดินเท้าไปถึง รร. ได้เลย ส่วนสิ่งที่สิงหลบอกผมก็คือ
ผมรู้แล้วว่าที่ รร. แห่งนี้มีพวกครูที่เลวมากๆ รู้แล้วว่ามีประเพณีของ "คืนโหดนรกแตก" ผมรู้แล้ว ผมเองจะไม่ช่วยป้องกัน-
นักเรียนชายคนอื่นที่ผมพอจะช่วยได้เหรอ ผมจะหนีไปโดยไม่ใส่ใจเรื่องแบบนี้เลยเหรอ ศาสตราก็บอกอีกว่ามีพวกเขาอยู่
ผมไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว ผมควรเรียนต่อ ม.1 ที่นี่ อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด แต่โดยส่วนตัวผมคิดว่า อะไรที่มันเกิดตอนนี้มันคืออะไรวะ

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ผมก็กลับมาเรียนที่ รร. เดิมอย่างไม่มีข้อแม้ ต้องขอบอกก่อนว่า รร. แห่งนี้ จริงๆแล้วดีมากเลยนะ
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือมีพวกครูเกริกอยู่ที่นี่ด้วย ตอนผมมายืนหน้า รร. อีกครั้ง ผมใจหายมากๆ ไม่อยากพบเจอเรื่องราวแบบเดิมๆอีก
ตอนเดินเข้า รร. ครั้งแรก ผมหายไปอีก แล้ว Miss Universe ในร่างผมเดินเข้าไปแทน ถึงแม้เธอจะเป็น Miss Universe
เธอก็รู้ว่าผู้ชายอย่างผมต้องเดินยังไง พวกครูเกริกรับรู้ว่าผมยังเข้ามาเรียน ม.1 ที่นี่ พวกนั้นตกใจกันมาก

"มันกลับมาได้ยังไง เหตุการณ์ในคืนนั้นยังไม่โหดพออีกเหรอ มัน ... มันเป็นอย่างนั้นได้ยังไง"

พวกครูเกริกคงต้องการเวลาในการปรับตัวและคิดกันอีกสักพักว่าจะทำอย่างไรกับผมดี ผมจึงอยู่รอดปลอดภัยได้ระยะหนึ่ง
และก็เป็นระยะที่ผมก็เลือกห้องสมุดในการพักหลบภัย ผมไปเจอหนังสือแปลเล่มหนึ่งที่ใช้ชื่อภาษาไทยว่า "หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว"
ชื่อมันโดนใจผมมาก ผมเองรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเป็นคนที่แปลกประหลาด ไม่น่าจะมีใครคบค้าสมาคมด้วย ถ้าไม่ตาย อยู่ได้ถึงร้อยปี
ก็คงจะเป็นหนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว ผมก็เลยชอบอ่านหนังสือเล่มนี้ แต่จำไม่ได้แล้วว่าชื่อภาษาต่างประเทศคือชื่ออะไร
แล้วก็จำไม่ได้ด้วยว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง เพราะตั้งแต่ผ่านช่วงนั้นมาได้ก็ยังไม่เคยได้มีโอกาสอ่านซ้ำอีกเลย 
จำได้แค่ว่าเรื่องราวมันก็ซับซ้อนนะ ชื่อตัวละครก็จำยาก ถ้าชื่อภาษาไทยไม่โดนจริงๆคงไม่อ่านหรอก

พอเวลาผ่านไป พวกครูเกริกคงเริ่มรู้วิธีจะจัดการกับผมแล้ว แต่เนื่องจากเป็นช่วงที่อยู่ใน รร. ตอนกลางวัน จึงลงโทษแบบโหดๆไม่ได้
ทำได้แค่เพียงถ้าเจอผมก็จะสั่งวิดพื้น วิ่งรอบสนาม ลุกนั่ง โดยไม่มีสาเหตุ ตอนที่โดนสั่งแบบนี้ ผมกลัวมาก นายทหารหน่วยรบพิเศษกับ
หน่วยซีลจึงช่วยมาทำหน้าที่แทน ผมได้ยินพวกเขาคุยกันว่าเวลาโดนสั่งให้ทำอะไรแบบนี้ พวกเขารู้สึกว่ามันคือขั้นตอนของการ up level
มีครั้งหนึ่งที่ครูเกริกสั่งให้ผมวิ่งรอบสนามหลายรอบมาก จนผมพบโดยบังเอิญว่าผมเป็นโรคหอบหืดอย่างรุนแรง และสาเหตุที่ทำให้เป็น
คือการออกกำลังกายเกินขึดปกติ พอพวกครูเกริกรู้ เขาก็ปรับเปลี่ยนท่าทีทันที เขาคงไม่อยากให้ผมบาดเจ็บหรือถึงขั้นล้มตาย
คงจะเอาแค่ประสาทเสียจนผมต้องออกไปจาก รร. นี้ก็พอ หลังจากนั้น การลงโทษได้เปลี่ยนจากการสั่งให้ออกกำลังมาเป็นการทำให้อาย

มันเริ่มจากเรื่องง่ายๆ โดยการสั่งให้ผมถอดเสื้อนักเรียนออก ให้เอาเชือกร้องเท้าผูกเข้าหากัน แล้วเอามาแขวนคอผมไว้ แล้วให้เข้าไปในห้องเรียนอื่นๆ
พร้อมกับให้ผมตะโกนดังๆว่า "ผมจะไม่ทำผิดอีกแล้วครับ" หลายๆรอบต่อหนึ่งห้องเรียนโดยที่ผมไม่ได้มีความผิดอะไร บางครั้งก็หาเรื่องลงโทษผม-
ในโรงอาหารต่อหน้าคนเยอะๆด้วยวิธีการต่างๆนานา เช่น เรียกให้มาวิดพื้นขณะผมกำลังกินข้าวอยู่ จับผมถอดเสื้อแล้วให้ยืนเอามือประสาน
ไว้ตรงท้ายทอยพร้อมกับเอาแกงเขียวหวานมาราดทั้งตัว แล้วให้ยืนอย่างนั้นในโรงอาหารเป็นเวลานานๆต่อหน้าคนเยอะๆ บางครั้งก็พาไปที่ตลาด
แล้วลงโทษกลางตลาดเลย ต่อหน้าคนจำนวนมาก มีทั้งเอาไข่ตอกใส่หัวหลายๆฟองแล้วให้ยืนอยู่อย่างนั้น หรือตอนที่ช่วงเย็นๆ ตอนที่พื้นในตลาด-
เต็มไปด้วยน้ำที่สกปรกโสโครก แกสั่งให้ผมถอดเสื้อออกเลย แล้วให้นอนกลิ้งไปมาบนพื้นที่มีน้ำเน่าๆนั้น รับรองว่าถ้าเด็กปกติ ไม่มีใครทนได้หรอกครับ
เพียงแต่มันไม่ปกติแล้ว ก็เลยทนได้ทุกอย่าง

แต่จากการถูกลงโทษกลางตลาด ทำให้ผมพบว่ามีเด็กผู้ชายจำนวนไม่น้อยถูกลงโทษแบบรุนแรงกลางตลาดเหมือนกัน อย่าลืมว่าเหตุการณ์
ที่ผมเล่า สถานที่มันคือตลาดเล็กๆ (แต่ก็ใหญ่เหมือนกันนะ) แถบชานเมืองกรุงเทพในปี พศ.2526 ช่วงนั้นไม่ต้องพูดเรื่องสิทธิมนุษยชนหรอกครับ
คำมันหรูเกินไป ไม่มีใครเข้าใจหรอก มันเป็นช่วงเวลาที่ถ้าตาสีตาสาเข้าไปในหน่วยงานราชการ มีสิทธิโดนเจ้าหน้าที่ด่ายับเยิน หรือถ้าตาสีตาสา
เข้าไปหาหมอ ก็มีสิทธิจะถูกหมอด่ายับเยินเหมือนกัน สมัยนั้นไม่ยากหรอกที่เราจะพบการใช้อำนาจและความรุนแรงที่กระจายอยู่ทั่วๆไป คือมัน
กระจายอยู่ทั่วๆไป และดูเหมือนจะเป็นที่ยอมรับ 

วกกลับมาแถวตลาด มันจะมีเด็กผู้ชายจำนวนหนึ่งมาช่วยพ่อแม่ขายของ แต่ถ้าทำอะไรไม่ถูกใจก็จะโดนลงไม้ลงมือได้ง่ายๆ มีกระทั่งโดยตีหัวแรงๆ
โดนทุบหลัง แต่ที่ยังติดตาผมจนกระทั่งบัดนี้คือเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ช่วยพ่อขายลูกชิ้นปิ้ง และพ่อเขาก็ยังขายของอย่างอื่นด้วย ตอนนั้นผมอายุประมาณ 12 ปี
เขาเองน่าจะอายุประมาณ 14 ปี เขากำลังช่วยพ่อขนของ เขาเองเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี ตอนช่วยพ่อขนของ เขาไม่ได้สวมเสื้อ ทำให้เห็นผิวขาวเนียน
กับมัดกล้ามพองามของเขา มันไม่แปลกหรอกครับที่ผมจะลอบมองเขา เพราะตอนนั้นผมรู้สึกว่าผมเป็น "ผู้หญิง" แต่ก็ซ่อนอยู่ในร่างของ
เด็กผู้ชายที่เริ่มจะดูบึกบึนมากยิ่งขึ้น

ใช่แล้วครับ ตอนนั้นคนที่อยู่ในร่างผมคือนายทหารหน่วยรบพิเศษ ผมกำลังโดนครูเกริกจับถอดเสื้อแล้วให้ยืนกางแขนกลางตลาด แกยืนคุมเชิงตลอด
แล้วก็ฟาดหน้าอกกับฟาดหลังเป็นพักๆ ไม่นานก็มีคนมาทัก "พวกเหลือขออีกแล้วเหรอ ครูจัดการมันหนักๆหน่อยนะ เด็กแถวนี้จะได้เลิกเป็นนักเลง
กันซะที" นี่คือการเข้าใจผิดครั้งที่ 100 ของคนแถวนั้น ครูเกริกพูดขึ้นบ้าง "ช่วยซัดมันหน่อยดิ มันจะได้หลาบจำและกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีซะที"
ตาแก่นั่นตอบว่า "ได้ๆ พร้อมช่วยเสมอ" หลังจากพูดจบเขาก็ฟาดหน้าอกผมอย่างแรง ครูเกริกเดินไปด้านหลังผม พอคนนั้นฟาดหน้าอกผม
แกก็กะจังหวะรอ แล้วก็ฟาดหลังผมต่อ ตาแก่ข้างหน้าก็ฟาดหน้าอกผมอีก ครูเกริกก็ฟาดหลังผมอีก สลับกันแบบนี้อยู่นาน ผมแอบได้ยินเสียง-
ของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังพูดกับลูกสาวเขา "ครูเกริกท่านดีนะ ช่วยกำหราบเด็กเลว ชุมชนของเราจะได้มีนักเลงน้อยลง"

พอผมโดนจัดหนักกลางตลาด ดูเหมือนพฤติกรรมเลียนแบบกำลังเกิดขึ้น พ่อค้าขายปลาทูฟาดหลังลูกชายเขาบ้าง "เรียงให้มันเร็วๆหน่อย"
พ่อค้าขายของชำ ตีหัวลูกชายของเขา แล้วก็ชี้มาทางผมที่กำลังโดนจัดหนักอยู่ "ถ้าลื้อดื้อ ลื้อจะต้องโดนแบบนั้น รู้มั้ย" แต่ที่โดนหนักกว่าใครเพื่อนคือ
ลูกชายของพ่อค้าขายลูกชิ้นปิ้ง สุดหล่อของผม พ่อเขาคงเครียดและอยากหาที่ระบายประกอบกับเห็นผมโดนจัดหนักอยู่ เขาเดินไปหาลูกชาย
ฟาดหน้าอกเขาไปเต็มแรง "ขนของชักช้า มีงต้องโดนแบบนี้" เขาชกท้อง แล้วก็ทุบหลัง พร้อมกับฟาดหน้าอกไปอีกที แล้วกระชากเขา
ไปใกล้เตาถ่านที่ปิ้งลูกชิ้น ที่กำลังมีถ่านร้อนๆ ไฟแดงก่ำอยู่ เขาหยิบแท่งเหล็กขึ้นมาสองแท่ง แล้วเอาปลายแท่งจุ่มไปที่ถ่านร้อนๆ 
ระหว่างรอให้มันร้อนก็หันมาจัดการลูกชายตัวเองต่อด้วยการฟาดหน้าอก ฟาดหลัง แรงมากๆ

ที่ผมตกใจมากคือเขาเริ่มร้องไห้ เขาร้องไห้ออกมาแล้วนะ แต่พ่อยังคงฟาดเขาอยู่ ไทยมุงก็เริ่มมากขึ้น เขาตะโกนในสิ่งที่เราก็ไม่รู้ว่ามันจริงรึเปล่า
"ไอ้นี่มันเลวมาก ดื้อด้าน ให้เรียนก็ไม่เรียน ให้ช่วยมาขนของก็ไม่เคยเต็มใจ สันดานเสียแต่เด็ก" แล้วก็ฟาดลูกชายตัวเองต่อ แล้วเขาก็รู้สึกว่าเหล็ก
มันร้อนแล้ว จึงหยิบมานาบ มาจี้ตามลำตัวของเด็กหนุ่ม เด็กคนนั้นร้องไห้หนักขึ้น คงเจ็บปวดทรมานมาก แต่ไม่มีใครห้าม เพราะเห็นเป็นเรื่องของ
พ่อกำหราบลูกชาย ผมเริ่มจะเรียกละแวกนี้ว่า "บ้านป่าเมืองเถื่อน" เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนตรงชายแดนกรุงเทพในปี 2526

คืนนั้นศาสตรากับสิงหลประชุมกันเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาต่างๆที่มันเกิดขึ้นทั้งในตลาดและที่ รร. ส่วนผมนอนหลับเอาแรงอยู่ในดินแดนลี้ลับแห่งหนึ่ง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่