.... แปลมาจากภาษาอังกฤษ ผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
ในฤดูใบไม้ร่วงของปี 1980 ซูซาน ชาร์ป และลูกๆทั้ง 5 คน ได้ย้ายออกจากคอนเนคติกัลหลังจากที่ซูซานได้หย่ากับ เจมส์ ชาร์ป ซึ่งเป็นพ่อของลูกๆและเป็นสามีเก่าของเธอ ซูซานตัดสินใจย้ายไปอยู่ทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นที่ที่พี่ชายของเธอ ชื่อ ดอน อาศัยอยู่ในขณะนั้น ซูซานได้ไปเช่าบ้านอยู่ที่ Keddie resort ซึ่งตั้งอยู่ในเขตชนบทของ เซียร์ร่า เนวาด้า
เธออาศัยอยู่บ้านหลังนี้กับ จอห์น ลูกชายวัย 15 ปี , ชีล่า ลูกสาววัย 13 ปี ,ทีน่า ลูกสาวคนที่สามวัย 12 ปี และลูกชายอีก 2 คนคือ ริก 10 ขวบ และเกร็ก 5 ขวบ
วันที่ 11 เมษายน 1981 เวลาประมาณบ่ายโมงครึ่ง ซูซานและชีล่าได้ขับรถไปรับ จอห์นและเพื่อนของจอห์น ชื่อ ดาน่า ที่แกนเนอร์พาร์ค ควินซีย์ ซึ่งห่างจากเค็ดดี้รีสอร์ตไปเพียง 5 ไมล์ ต่อมาในเวลา 15.30 จอห์นและดาน่าได้โบกรถกลับไปควินซีย์ โดยพวกเขามีแผนที่จะไปเยี่ยมเพื่อนๆที่นั่น โดยในช่วงเวลานี้มีพยานคนนึงเล่าว่า ได้แวะรับพวกเขาติดรถมาด้วยและส่งพวกเขาที่งานปาร์ตี้ในควินซีย์
ซูซานและลูกๆก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่ Keddie Resort
เย็นวันนั้น ชีล่าลูกสาวคนโตตั้งใจที่จะไปค้างกับเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ๆคือครอบครัวซีโบลต์ ในขณะที่ซูซาน ริก เกร็กและจัสติน เพื่อนของริกยังคงอยู่ที่บ้านและทำกิจกรรมสนุกสนานร่วมกัน ทางด้านทีน่าเธอมาเที่ยวที่บ้านของครอบครัวซีโบลต์ และกลับมาที่บ้านของตัวเองในเวลา 21.30 น. ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ ชีล่าพี่สาวคนโตออกไปถึงที่บ้านของครอบครัวซีโบลต์พอดี
เช้าวันต่อมา เวลา 7.00 น. ชีล่ากลับมาที่บ้าน และเมื่อเข้าไปในห้องนั่งเล่นก็ได้พบว่าซูซาน จอห์นและดาน่าได้กลายเป็นศพไปแล้ว ทั้งสามคนถูกมัดด้วยเทปกาวและเส้นลวด ทีน่าไม่ได้อยู่ในบ้าน และเด็กๆทั้งสามคนคือ ริก เกร็กและจัสติน ซึ่งอยู่ในห้องนอนไม่ได้ถูกทำร้ายแต่อย่างใด
จากซ้ายไปขวา จอห์น ทีน่า ดาน่า และซูซาน
ชีล่าตกใจมาก เธอรีบวิ่งไปบอกครอบครัวซีโบลต์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจมส์ จูเนียร์ ซีโบลต์ เพื่อนบ้านได้มายังที่เกิดเหตุและพาเด็กชายทั้งสามคนออกมาจากห้องนอนทางหน้าต่าง ต่อมาตำรวจก็มายังที่เกิดเหตุ พบมีดเปื้อนเลือด 2 เล่ม และค่อนหนึ่งอันตกอยู่ในที่เกิดเหตุ โดยพบว่ามีดเล่มหนึ่งหักครึ่งเพราะเกิดจากการแทงอย่างรุนแรง และจากหลักฐานการกระเด็นของเลือดบ่งชี้ว่า ทั้งซูซาน จอห์นและดาน่านั้นถูกฆาตกรรมในห้องนั่งเล่นที่พบศพนั่นเอง
ร่างของซูซานนอนตะแคงอยู่ข้างๆโซฟา ท่อนล่างของเธอเปลือยเปล่า และมีกางเกงในถูกยัดไว้ในปากแล้วปิดด้วยเทปกาว เธอถูกแทงที่หน้าอก ลำคอถูกเฉือนเป็นรอยลึก ด้านข้างของศีรษะมีรอยประทับของปืนรุ่นเดซี่ 880 บีบี ทางด้านจอห์นถูกเฉือนที่ลำคอ และดาน่าถูกวัตถุแข็งฟาดที่ศีรษะ ทั้งสามศพมีร่องรอยถูกทุบที่ศีรษะเหมือนๆกัน ซึ่งบาดแผลบ่งชี้ว่าน่าจะเกิดจากรอยค้อนทุบ จากการชันสูตรศพบอกว่า พวกเขาทั้งสามคนเสียชีวิตจากบาดแผลที่ถูกมีดแทงและถูกของแข็งทุบศีรษะ
สภาพศพของซูซีสน
ภาพนี้น่าจะเป็นจอห์น หรือไม่ก็ดาน่า
ต่อมา ชีล่าและครอบครัวซีโบลต์ให้การกับตำรวจว่า คืนนั้น พวกเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรจากบ้านหลังนี้เลยทั้งๆที่บ้านอยู่ติดกัน แต่คู่สามีภรรยาที่อยู่บ้านอีกหลังหนึ่งบอกว่า ตอนประมาณตีหนึ่งครึ่ง พวกเขาได้ยินเสียงกรีดร้องแต่ไม่ชัดเจนนัก จึงไม่แน่ใจว่าเสียงนั้นมาจากบ้านหลังไหน จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุยังพบรอยนิ้วมือของบุคคลปริศนาจากราวบันไดไปจนถึงประตูหลังบ้าน โทรศัพท์บ้านถูกยกออกจากแป้นวาง และผ้าม่านถูกปิดไว้
ที่เกิดเหตุในห้องนั่งเล่น
เทปกาวที่มัดมือเหยื่อ
ต่อมา แม่ของจัสติน(เพื่อนของริก) บอกกับตำรวจว่าเธอพบเสื้อแจ๊กเกตเปื้อนเลือดของทีน่าอยู่ในห้องใต้ดินของเธอ พร้อมกับส่งมันให้ตำรวจ และมาร์ตินสามีของเธอยังบอกกับตำรวจอีกว่าค้อนของเขาหายไปจากบ้าน ทางด้านเพื่อนบ้านคนอื่นๆบอกว่าเห็นรถตู้สีเขียวจอดอยู่ที่บ้านของครอบครัวสมาร์ทในเวลาสามทุ่ม บางคนยังบอกอีกว่าเห็นรถเก๋ง ยี่ห้อดัทซุน สีน้ำตาลยางแบนคันหนึ่ง จอดอยู่ที่บ้านของครอบครัวชาร์ป แต่รายงานเหล่านี้ไม่ได้รับการยืนยัน
จัสตินซึ่งมาค้างกับครอบครัวชาร์ปในวันนั้น เล่าว่าเขาฝันถึงเหตุการณ์ฆาตกรรม และต่อมาในภายหลังเขาอ้างกับตำรวจว่า เขาได้เห็นตัวฆาตกรที่ลงมือสังหารทั้งสามศพนี้ ภายหลังเขาเข้ารับการทดสอบการสะกดจิต เขาอ้างว่าได้ยินเสียงมาจากห้องนั่งเล่นในขณะที่กำลังดูทีวีอยู่กับเกร็กและริกในห้องนอน เมื่อเดินออกมาดูเขาเห็นซูซานอยู่กับชาย 2 คน คนแรกไว้หนวด ผมสั้น ส่วนอีกคนผมยาว ทั้งสองคนใส่แว่นกันแดดสีดำ ต่อมาจอห์นและดาน่าได้เข้ามาในห้องนั่งเล่นและเกิดการโต้เถียงกับชายแปลกหน้าทั้งสองอย่างดุเดือดและเกิดการต่อสู้กันขึ้น หลังจากนั้นทีน่าก็เดินเข้ามาและถูกชายคนหนึ่งพาตัวออกไปทางประตูหลังบ้าน
Cabin 28 บ้านที่เกิดเหตุ
จากคำบอกเล่าภายใต้การสะกดจิตของจัสติน ภาพสเก็ตของผู้ต้องสงสัยได้ถูกร่างขึ้นมา ทางตำรวจสันนิษฐานว่าคนแรกน่าจะสูงราว 180 cm ส่วนอีกคนน่าจะสูงประมาณ 188 cm โดยทั้งคู่สวมแว่นกันแดดกรอบสีทอง
ภาพสเก๊ตช์ของฆาตกร
ข่าวลือเรื่องการถูกฆาตกรรมเพราะเรื่องยาเสพติดถูกตัดออกไป เนื่องจากไม่พบยาเสพติดหรืออุปกรณ์การเสพยาในบ้าน ทางตำรวจได้ทำการสอบสวนผู้ต้องสงสัยมากมายแต่ไม่มีผู้ต้องสงสัยคนใดที่มีส่วนในคดีฆาตกรรมครั้งนี้เลย
ทางด้านทีน่า ทางตำรวจเชื่อว่าเธอถูกลักพาตัวไปและได้ออกตามหาในรัศมี 5 ไมล์บริเวณบ้านของพวกเขา แต่ก็น่าผิดหวังเพราะพวกเขาไม่พบร่องรอยใดๆของทีน่าเลย จนในปี 1984 สามปีหลังจากเหตุการณ์ฆาตกรรมสะเทือนขวัญคนเก็บของเก่าได้ขุดพบกะโหลกศีรษะของมนุษย์ ในเขตบัตต์ เคาน์ตี้ ซึ่งห่างจากเคดดี้ รีสอร์ตเพียง 29 ไมล์ และได้รับการยืนยันว่าเป็นกะโหลกศีรษะของ ทีน่า ชาร์ป ที่หายตัวไป และในเดือนมิถุนายนปีเดียวกันนั้นเอง ตำรวจก็ได้พบหลักฐานเพิ่มเติมในบริเวณนั้นคือ เสื้อเเจ๊กเกตสีน้ำเงิน กางเกงยีนส์ลีวายส์ และผ้าห่ม
ต่อมาในปี 2008 ได้มีการถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมโหดครั้งนี้ โดยมาริลีน สมาร์ท อ้างว่าเธอสงสัยว่าสามีของเธอและเพื่อนของเขาคือ จอห์น บูเบด น่าจะเป็นฆาตกร เพราะคืนนั้นตอนตี2 เธอตื่นขึ้นมาและพบว่า สามีของเธอกับบูเบดกำลังเผาบางสิ่งบางอย่างอยู่ในเตาฟืน แต่นายอำเภอโธมัส(นายอำเภอในขณะที่เกิดเหตุฆาตกรรม) ได้กล่าวกับสื่อว่า เขาได้ทำการสอบสวนมาร์ตินและตรวจสอบรอยนิ้วมือของเขา และพบว่ามาร์ตินไม่ใช่ฆาตกร ในสารคดีกล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุฆาตกรรมเพียงไม่กี่วัน มาร์ติน สมาร์ท ได้ออกจากเคดดี้และขับรถไปที่ เรโน่ เนวาด้าจากนั้นเขาส่งจดหมายกลับมาหามาริลีน เขาเขียนบอกเธอว่า “ฉันจ่ายค่าความรักของเธอแล้วและซื้อมันด้วยสี่ชีวิต “ แต่ในตอนนั้นจดหมายฉบับนี้ก็ไม่ได้รับความสนใจแต่อย่างใด มันไม่ได้ถูกนำมาเป็นหลักฐาน
จดหมายที่มาริลีนบอกตำรวจว่าสามีของเธอเขียนส่งมาหาหลังจากที่เกิดเหตุฆาตกรรม
ต่อมาในปี 2018 นักสืบพิเศษเเกมเบิร์ก ได้นำร่องรอยดีเอ็นเอจากเทปกาวที่มัดและปิดปากเหยื่อไปตรวจสอบ เเละพบว่าอาจมีฆาตกรมากถึง 6 คนในเหตุการณ์นี้ ฆาตกรสวมใส่ถุงมือและไม่ได้ทิ้งเส้นผมหรือรอยเลือดเอาไว้หมายความว่าฆาตกรอาจไม่ได้รับบาดเจ็บเลยในการก่อคดีฆาตกรรมครั้งนี้ และเหตุการณ์ฆาตกรรมนี้ได้ทำให้ชาวบ้านในเคดดี้เกิดการหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ทำให้ทางอำเภอพยายามที่จะจับตัวฆาตกรให้ได้เร็วที่สุด แต่ในปัจจุบันนอกจากค้อนที่พบในบึงเขตเคดดี้ ในปี2016แล้ว แกมเบิร์กก็ไม่ได้พบหลักฐานอะไรเพิ่มเติม แต่นักสืบคนนี้ก็ยังคงมุ่งมั่นค้นหาฆาตกรตัวจริงต่อไป
คดีฆาตกรรมปริศนา Keddie Murder!!!
ในฤดูใบไม้ร่วงของปี 1980 ซูซาน ชาร์ป และลูกๆทั้ง 5 คน ได้ย้ายออกจากคอนเนคติกัลหลังจากที่ซูซานได้หย่ากับ เจมส์ ชาร์ป ซึ่งเป็นพ่อของลูกๆและเป็นสามีเก่าของเธอ ซูซานตัดสินใจย้ายไปอยู่ทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นที่ที่พี่ชายของเธอ ชื่อ ดอน อาศัยอยู่ในขณะนั้น ซูซานได้ไปเช่าบ้านอยู่ที่ Keddie resort ซึ่งตั้งอยู่ในเขตชนบทของ เซียร์ร่า เนวาด้า
เธออาศัยอยู่บ้านหลังนี้กับ จอห์น ลูกชายวัย 15 ปี , ชีล่า ลูกสาววัย 13 ปี ,ทีน่า ลูกสาวคนที่สามวัย 12 ปี และลูกชายอีก 2 คนคือ ริก 10 ขวบ และเกร็ก 5 ขวบ
วันที่ 11 เมษายน 1981 เวลาประมาณบ่ายโมงครึ่ง ซูซานและชีล่าได้ขับรถไปรับ จอห์นและเพื่อนของจอห์น ชื่อ ดาน่า ที่แกนเนอร์พาร์ค ควินซีย์ ซึ่งห่างจากเค็ดดี้รีสอร์ตไปเพียง 5 ไมล์ ต่อมาในเวลา 15.30 จอห์นและดาน่าได้โบกรถกลับไปควินซีย์ โดยพวกเขามีแผนที่จะไปเยี่ยมเพื่อนๆที่นั่น โดยในช่วงเวลานี้มีพยานคนนึงเล่าว่า ได้แวะรับพวกเขาติดรถมาด้วยและส่งพวกเขาที่งานปาร์ตี้ในควินซีย์
ซูซานและลูกๆก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่ Keddie Resort
เย็นวันนั้น ชีล่าลูกสาวคนโตตั้งใจที่จะไปค้างกับเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ๆคือครอบครัวซีโบลต์ ในขณะที่ซูซาน ริก เกร็กและจัสติน เพื่อนของริกยังคงอยู่ที่บ้านและทำกิจกรรมสนุกสนานร่วมกัน ทางด้านทีน่าเธอมาเที่ยวที่บ้านของครอบครัวซีโบลต์ และกลับมาที่บ้านของตัวเองในเวลา 21.30 น. ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ ชีล่าพี่สาวคนโตออกไปถึงที่บ้านของครอบครัวซีโบลต์พอดี
เช้าวันต่อมา เวลา 7.00 น. ชีล่ากลับมาที่บ้าน และเมื่อเข้าไปในห้องนั่งเล่นก็ได้พบว่าซูซาน จอห์นและดาน่าได้กลายเป็นศพไปแล้ว ทั้งสามคนถูกมัดด้วยเทปกาวและเส้นลวด ทีน่าไม่ได้อยู่ในบ้าน และเด็กๆทั้งสามคนคือ ริก เกร็กและจัสติน ซึ่งอยู่ในห้องนอนไม่ได้ถูกทำร้ายแต่อย่างใด
จากซ้ายไปขวา จอห์น ทีน่า ดาน่า และซูซาน
ชีล่าตกใจมาก เธอรีบวิ่งไปบอกครอบครัวซีโบลต์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจมส์ จูเนียร์ ซีโบลต์ เพื่อนบ้านได้มายังที่เกิดเหตุและพาเด็กชายทั้งสามคนออกมาจากห้องนอนทางหน้าต่าง ต่อมาตำรวจก็มายังที่เกิดเหตุ พบมีดเปื้อนเลือด 2 เล่ม และค่อนหนึ่งอันตกอยู่ในที่เกิดเหตุ โดยพบว่ามีดเล่มหนึ่งหักครึ่งเพราะเกิดจากการแทงอย่างรุนแรง และจากหลักฐานการกระเด็นของเลือดบ่งชี้ว่า ทั้งซูซาน จอห์นและดาน่านั้นถูกฆาตกรรมในห้องนั่งเล่นที่พบศพนั่นเอง
ร่างของซูซานนอนตะแคงอยู่ข้างๆโซฟา ท่อนล่างของเธอเปลือยเปล่า และมีกางเกงในถูกยัดไว้ในปากแล้วปิดด้วยเทปกาว เธอถูกแทงที่หน้าอก ลำคอถูกเฉือนเป็นรอยลึก ด้านข้างของศีรษะมีรอยประทับของปืนรุ่นเดซี่ 880 บีบี ทางด้านจอห์นถูกเฉือนที่ลำคอ และดาน่าถูกวัตถุแข็งฟาดที่ศีรษะ ทั้งสามศพมีร่องรอยถูกทุบที่ศีรษะเหมือนๆกัน ซึ่งบาดแผลบ่งชี้ว่าน่าจะเกิดจากรอยค้อนทุบ จากการชันสูตรศพบอกว่า พวกเขาทั้งสามคนเสียชีวิตจากบาดแผลที่ถูกมีดแทงและถูกของแข็งทุบศีรษะ
สภาพศพของซูซีสน
ภาพนี้น่าจะเป็นจอห์น หรือไม่ก็ดาน่า
ต่อมา ชีล่าและครอบครัวซีโบลต์ให้การกับตำรวจว่า คืนนั้น พวกเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรจากบ้านหลังนี้เลยทั้งๆที่บ้านอยู่ติดกัน แต่คู่สามีภรรยาที่อยู่บ้านอีกหลังหนึ่งบอกว่า ตอนประมาณตีหนึ่งครึ่ง พวกเขาได้ยินเสียงกรีดร้องแต่ไม่ชัดเจนนัก จึงไม่แน่ใจว่าเสียงนั้นมาจากบ้านหลังไหน จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุยังพบรอยนิ้วมือของบุคคลปริศนาจากราวบันไดไปจนถึงประตูหลังบ้าน โทรศัพท์บ้านถูกยกออกจากแป้นวาง และผ้าม่านถูกปิดไว้
ที่เกิดเหตุในห้องนั่งเล่น
เทปกาวที่มัดมือเหยื่อ
ต่อมา แม่ของจัสติน(เพื่อนของริก) บอกกับตำรวจว่าเธอพบเสื้อแจ๊กเกตเปื้อนเลือดของทีน่าอยู่ในห้องใต้ดินของเธอ พร้อมกับส่งมันให้ตำรวจ และมาร์ตินสามีของเธอยังบอกกับตำรวจอีกว่าค้อนของเขาหายไปจากบ้าน ทางด้านเพื่อนบ้านคนอื่นๆบอกว่าเห็นรถตู้สีเขียวจอดอยู่ที่บ้านของครอบครัวสมาร์ทในเวลาสามทุ่ม บางคนยังบอกอีกว่าเห็นรถเก๋ง ยี่ห้อดัทซุน สีน้ำตาลยางแบนคันหนึ่ง จอดอยู่ที่บ้านของครอบครัวชาร์ป แต่รายงานเหล่านี้ไม่ได้รับการยืนยัน
จัสตินซึ่งมาค้างกับครอบครัวชาร์ปในวันนั้น เล่าว่าเขาฝันถึงเหตุการณ์ฆาตกรรม และต่อมาในภายหลังเขาอ้างกับตำรวจว่า เขาได้เห็นตัวฆาตกรที่ลงมือสังหารทั้งสามศพนี้ ภายหลังเขาเข้ารับการทดสอบการสะกดจิต เขาอ้างว่าได้ยินเสียงมาจากห้องนั่งเล่นในขณะที่กำลังดูทีวีอยู่กับเกร็กและริกในห้องนอน เมื่อเดินออกมาดูเขาเห็นซูซานอยู่กับชาย 2 คน คนแรกไว้หนวด ผมสั้น ส่วนอีกคนผมยาว ทั้งสองคนใส่แว่นกันแดดสีดำ ต่อมาจอห์นและดาน่าได้เข้ามาในห้องนั่งเล่นและเกิดการโต้เถียงกับชายแปลกหน้าทั้งสองอย่างดุเดือดและเกิดการต่อสู้กันขึ้น หลังจากนั้นทีน่าก็เดินเข้ามาและถูกชายคนหนึ่งพาตัวออกไปทางประตูหลังบ้าน
Cabin 28 บ้านที่เกิดเหตุ
จากคำบอกเล่าภายใต้การสะกดจิตของจัสติน ภาพสเก็ตของผู้ต้องสงสัยได้ถูกร่างขึ้นมา ทางตำรวจสันนิษฐานว่าคนแรกน่าจะสูงราว 180 cm ส่วนอีกคนน่าจะสูงประมาณ 188 cm โดยทั้งคู่สวมแว่นกันแดดกรอบสีทอง
ภาพสเก๊ตช์ของฆาตกร
ข่าวลือเรื่องการถูกฆาตกรรมเพราะเรื่องยาเสพติดถูกตัดออกไป เนื่องจากไม่พบยาเสพติดหรืออุปกรณ์การเสพยาในบ้าน ทางตำรวจได้ทำการสอบสวนผู้ต้องสงสัยมากมายแต่ไม่มีผู้ต้องสงสัยคนใดที่มีส่วนในคดีฆาตกรรมครั้งนี้เลย
ทางด้านทีน่า ทางตำรวจเชื่อว่าเธอถูกลักพาตัวไปและได้ออกตามหาในรัศมี 5 ไมล์บริเวณบ้านของพวกเขา แต่ก็น่าผิดหวังเพราะพวกเขาไม่พบร่องรอยใดๆของทีน่าเลย จนในปี 1984 สามปีหลังจากเหตุการณ์ฆาตกรรมสะเทือนขวัญคนเก็บของเก่าได้ขุดพบกะโหลกศีรษะของมนุษย์ ในเขตบัตต์ เคาน์ตี้ ซึ่งห่างจากเคดดี้ รีสอร์ตเพียง 29 ไมล์ และได้รับการยืนยันว่าเป็นกะโหลกศีรษะของ ทีน่า ชาร์ป ที่หายตัวไป และในเดือนมิถุนายนปีเดียวกันนั้นเอง ตำรวจก็ได้พบหลักฐานเพิ่มเติมในบริเวณนั้นคือ เสื้อเเจ๊กเกตสีน้ำเงิน กางเกงยีนส์ลีวายส์ และผ้าห่ม
ต่อมาในปี 2008 ได้มีการถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมโหดครั้งนี้ โดยมาริลีน สมาร์ท อ้างว่าเธอสงสัยว่าสามีของเธอและเพื่อนของเขาคือ จอห์น บูเบด น่าจะเป็นฆาตกร เพราะคืนนั้นตอนตี2 เธอตื่นขึ้นมาและพบว่า สามีของเธอกับบูเบดกำลังเผาบางสิ่งบางอย่างอยู่ในเตาฟืน แต่นายอำเภอโธมัส(นายอำเภอในขณะที่เกิดเหตุฆาตกรรม) ได้กล่าวกับสื่อว่า เขาได้ทำการสอบสวนมาร์ตินและตรวจสอบรอยนิ้วมือของเขา และพบว่ามาร์ตินไม่ใช่ฆาตกร ในสารคดีกล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุฆาตกรรมเพียงไม่กี่วัน มาร์ติน สมาร์ท ได้ออกจากเคดดี้และขับรถไปที่ เรโน่ เนวาด้าจากนั้นเขาส่งจดหมายกลับมาหามาริลีน เขาเขียนบอกเธอว่า “ฉันจ่ายค่าความรักของเธอแล้วและซื้อมันด้วยสี่ชีวิต “ แต่ในตอนนั้นจดหมายฉบับนี้ก็ไม่ได้รับความสนใจแต่อย่างใด มันไม่ได้ถูกนำมาเป็นหลักฐาน
จดหมายที่มาริลีนบอกตำรวจว่าสามีของเธอเขียนส่งมาหาหลังจากที่เกิดเหตุฆาตกรรม
ต่อมาในปี 2018 นักสืบพิเศษเเกมเบิร์ก ได้นำร่องรอยดีเอ็นเอจากเทปกาวที่มัดและปิดปากเหยื่อไปตรวจสอบ เเละพบว่าอาจมีฆาตกรมากถึง 6 คนในเหตุการณ์นี้ ฆาตกรสวมใส่ถุงมือและไม่ได้ทิ้งเส้นผมหรือรอยเลือดเอาไว้หมายความว่าฆาตกรอาจไม่ได้รับบาดเจ็บเลยในการก่อคดีฆาตกรรมครั้งนี้ และเหตุการณ์ฆาตกรรมนี้ได้ทำให้ชาวบ้านในเคดดี้เกิดการหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ทำให้ทางอำเภอพยายามที่จะจับตัวฆาตกรให้ได้เร็วที่สุด แต่ในปัจจุบันนอกจากค้อนที่พบในบึงเขตเคดดี้ ในปี2016แล้ว แกมเบิร์กก็ไม่ได้พบหลักฐานอะไรเพิ่มเติม แต่นักสืบคนนี้ก็ยังคงมุ่งมั่นค้นหาฆาตกรตัวจริงต่อไป