ดาวดึงส์ โอลิมปัส แอสการ์ด - เป็นสถานที่เดียวกัน

Tavatimsa | Olympus | Asgard
(Indra) - (Zeus) - (Thor)

ต้นอิกดราซิล (Yggdrasil)

ในศาสนานอร์ส (Norse) ต้นไม้อิกดราซิล (Yggdrasil) หรือต้นไม้แกนกลางจักรวาลที่คอยเชื่อมโยงโลก (ภพภูมิ) ต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน มีภพภูมิของเหล่าทวยเทพอยู่ ๒ วงศ์ด้วยกัน โดยเทพทั้งสองพวกนี้ทำสงครามสู้รบกันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ คือ "เอซีร์" (Aesir) กับ "วานีร์" (Vanir)

ซึ่งคำว่า "Aesir" (เอซีร์) มีรากคำเดียวกับ "Asura" (อสูร) ในภาษาบาลี-สันสกฤต

ส่วนคำว่า "Vanir" (วานีร์) ก็มีรากคำเดียวกับ "Deva" (เทพ) ในภาษาบาลี-สันสกฤต

กล่าวคือ เทพทั้งสองวงศ์นี้ Aesir-Vanir และ Deva-Asura มีอำนาจเท่ากันหรือศักดิ์เสมอกัน หรืออธิบายตามหลักศาสนาพุทธของเราแบบง่ายๆ ก็คือ อสูรมีบรรดาศักดิ์และอำนาจทัดเทียมเสมอกับเทพดาวดึงส์นั่นเอง เราจึงมักอ่านเห็นอสูรแห่งเขาตรีกูฏยกกองทัพขึ้นไปทำสงครามกับเทพบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อยู่บ่อยๆ ในพระไตรปิฎก

ตามคติพุทธเถรวาทนั้น ภพอสูรไม่ได้ด้อยไปกว่าภพเทพเลยแม้แต่น้อย ทั้งคู่มีความสมน้ำสมเนื้อกันและก็เป็นศัตรูคู่แค้นที่ต่างก็ไม่มีใครเหนือกว่าใคร และในพุทธฝ่ายมหายานเองก็ไม่ได้รังเกียจว่าอสูรเป็นพวกชั่วร้ายเช่นกัน เพราะอสูรเองก็ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์หรือธรรมบาล (Dharmapala) ทั้งแปด เพราะความจริงในทัศนะของพุทธแล้ว พวกที่ชั่วร้ายจริงๆ คือ "มาร" (Mara) ซึ่งเป็นพวกที่จะคอยชักจูงสรรพสัตว์ให้หลงผิดหรือเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่เสมอๆ นั่นเอง

(สำหรับ Odin นั้น เป็นเทพเจ้าแห่งความรู้และปรีชาญาณ เป็นเทพผู้สร้างโลกในตำนานของศาสนานอร์ส เทียบได้กับ Brahma ในศาสนาพราหมณ์ที่ถูกเรียกว่าเป็นพระผู้สร้างเช่นกัน)

นาคยอร์มุนกานดร์ (Jormungandr) ในปกรณัมนอร์ส (Norse) ที่มีขนาดตัวที่ยาวใหญ่จนสามารถพันรอบ "โลก" (World) หรือ "มิดการ์ด" (Midgard) อันเป็นภพภูมิมนุษย์ (ชมพูทวีป | Jambudvipa) ได้นั้น ตามตำนานก็ได้ถูกเทพธอร์ (Thor) ปราบลงจนสำเร็จ ซึ่งเหมือนกับตอนที่พระอินทร์ (Indra) ได้ใช้วัชระ (Vajra) ปราบนาคยักษ์ (World Serpent) ที่ชื่อว่า "วฤตระ" (Vritra)

ส่วนในปกรณัมกรีก (Greek) เทพซูส (Zeus) ปราบนาคไทฟอน (Typhon) และในศาสนาญี่ปุ่น (Japan) เทพซูซาโนโอะ (Susanoo) ก็ได้ปราบนาคโอโรจิ (Orochi)

Indra vs Vritra

Zeus vs Typhon

Thor vs Jormungandr

Susanoo vs Orochi

ถึงตรงนี้ ถ้าใครคิดว่า "ยอร์มุนกานดร์" (Jörmungandr) เป็นนาคที่ตัวใหญ่ที่สุดแล้วนั้น ถือว่าคิดผิด เพราะยังมีนาคที่มีขนาดตัวที่ใหญ่กว่ายอร์มุนกานดร์หลายเท่าอยู่อีก เช่น นันโทปนันทะ (Nandopananda) ซึ่งมีพระวรกายใหญ่โตขนาดที่สามารถพันรอบเขาพระสุเมรุอันเป็นแกนกลางของจักรวาลได้ถึง ๗ รอบ แต่ยอร์มุนกานดร์พันได้แค่รอบโลก แค่ภพภูมิมิดการ์ด (Midgard) หรือชมพูทวีป (Jambudvipa) และพันได้เพียง ๑ รอบเท่านั้น

ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นของ "ทิพย์" (Divya) ทั้งเขาพระสุเมรุทั้งภพภูมิพวกนี้ล้วนเป็นของทิพย์ คือ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าของมนุษย์ (ไม่ได้เป็นมนุษย์ต่างดาวอะไรทั้งสิ้น) 

ดาวดึงส์ (Tavatimsa)

โอลิมปัส (Olympus)

แอสการ์ด (Asgard)

สิ่งสำคัญเวลาที่เทพ (Deva) จะมาปรากฏกายให้มนุษย์เห็น พวกเขามักจะแปลงกายให้เป็นไปตามลักษณะความเชื่อของมนุษย์ในภูมิภาคนั้นๆ ซึ่งเทวดา (Devata) ที่ชอบมาพัวพันกับมนุษย์โลกบ่อยที่สุดและใกล้ชิดกับมนุษย์โลกมากที่สุด คือ เทพจาตุมหาราชิกา (Catumaharajika) กับเทพดาวดึงส์ (Tavatimsa) โดยเราจะเห็นได้ว่าเทพทั้งสองชั้นนี้จะมีอยู่ในตำนานเรื่องเล่าของมนุษย์ในแต่ละอารยธรรมทั่วโลกมากที่สุด แต่เรียกชื่อแตกต่างกันไปตามภาษาของท้องถิ่นนั้นๆ เช่น เทพ (Deva) อสูร (Asura) นาค (Naga) ครุฑ (Garuda) คนธรรพ์ (Gandharva) พมน (Vamana) วิทยาธร (Vidyadhara) นักสิทธิ์ (Siddha) หุ่นพยนต์ (Vyanta) กินนร (Kinnara) มโหราค (Mahoraga) กุมภัณฑ์ (Kumbhanda) รากษส (Rakshasa) ยักษ์ (Yaksha) ภูต (Bhuta) ปีศาจ (Pishaca) เปรต (Preta) สัตว์นรก (Nerayiko) ฯลฯ เป็นต้น

โดยหากเรานำมาเทียบกับตำนานเทพนิยายของชาวตะวันตก (พอสังเขป) ก็จะได้ดังนี้

Bhuta | Fairy

Preta | Undead

Pishaca | Devil

Kinnara | Satyr, Siren etc.

Mahoraga | Gorgon

Naga | Dragon

Garuda | Griffin

Karavika | Phoenix

Hastilinga | Roc

Valahaka | Pegasus

Gandharva | Elf

Vamana | Dwarf

Vidyadhara | Wizard

Siddha | Sorcerer

Jadugara | Shaman

Vejjabhuta | Necromancer

Kumbhanda | Ogre

Rakshasa | Troll

Yaksha | Giant

Vyanta | Golem

ปล.สำหรับกินนร (Kinnara) นั้น เทียบได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น Centaur Harpy และอื่นๆ เนื่องจากว่ากินนรเป็นอมนุษย์จำพวกครึ่งคนครึ่งสัตว์ Half-Human, Half-Beast จึงมีแยกย่อยออกมาหลายประเภท รวมไปถึง "นรสิงห์" (Narasimha) ที่ยุโรปเรียกว่า "สฟิงซ์" (Sphinx) ก็แยกออกมาจากกินนรเช่นกัน

หลักฐานกินนรประเภทมฤค (กวาง, เก้ง, เนื้อทราย) ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎกเถรวาท
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_siri.php?B=27&siri=504

Narasimha | Sphinx

ส่วนคนแคระ (Dwarf) ชาวอินเดียเรียกว่า "เพาน์" (Bauna) แต่เหตุที่ใช้ "พมน" (Vamana) เพราะว่ามันมีความไพเราะมากกว่า โดยรากศัพท์บาลีเดิมจากพระไตรปิฎกใช้ว่า "วามนํ" อันหมายถึง "คนแคระ" อย่างตรงตัว

ซึ่งปกรณัมเริ่มแรกที่บอกเล่าเรื่องราวของ “พมน” (Dwarf) เริ่มต้นตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ ในช่วงราชวงศ์คุปตะของอินเดียเหนือ โดยเล่าในเทพปกรณัมว่าพมนนั้น คือ บริวารของเทพโลกบาลพระนามว่า “ท้าวกุเวร” (Kuvera) ผู้เป็นราชาแห่งยักษ์

ต่อมา พระพุทธศาสนาในยุค "อนุราธปุระ" ของลังกา (ราวพุทธศตวรรษที่ ๘) ได้นำเอารูปของท้าวกุเวรและพมนบริวาร มาใช้เป็น “ทวารบาล” ของศาสนสถาน โดยประดับรูปไว้ตรงปากบันไดหรือทับหลังประตู โดยมีนัยถึงการอำนวยพรให้โชคลาภสักการะ อันได้แก่ความร่ำรวยและมั่งคั่งแก่สาธุชนที่มาทำบุญยังศาสนสถานแห่งนี้

- อ่านเรื่องราวประติมากรรมคนแคระเพิ่มเติมได้ที่
http://oknation.nationtv.tv/blog/voranai/2017/07/01/entry-1

และตามคำบอกเล่าของพระสุปฏิปันโนที่ท่านเคยพบเจอพวกภูตแคระในญาณนั้น ท่านว่าพวกนี้ตัวเล็กมาก ขนาดความสูงไม่น่าเกิน ๑๐ นิ้ว (๒๕.๔ เซนติเมตร) ทั้งหญิงทั้งชายล้วนมีหน้าตาเหมือนเรา มีอาการครบ ๓๒ ทุกประการ มีผิวพรรณสวยงาม ใบหน้าได้สัดส่วน มีรอยยิ้มที่สง่างาม และเพียบพร้อมด้วยจรรยากิริยาอันสุภาพ

พวกพมนในตำนานนอร์ส

สุดท้ายนี้ พวกพมน (Vamana) หรือดวอฟ (Dwarf) มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งในยุคเรอแนซ็องส์ (Renaissance) ว่า "โนม" (Gnome)

โดยคนไทยเรารู้จักพวกพมนจากสื่อภาพยนตร์แฟนตาซีหลายๆ เรื่อง เช่น สโนไวต์กับคนแคระทั้งเจ็ด เป็นต้น

โนม (Gnome)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่