นี่นะหรือ ชีวิตออแพร์ไทยในเยอรมัน 2019-2020 (1)

" เงินเดือนออแพร์เยอรมันน้อยสุดเลยนะ ทำไมเลือกเยอรมันหละ " 
" เงินเดือนก็น้อย ยังต้องสอบ A1 อีก กว่าจะได้ไป "

นี่เป็นคำพูดและคำถามที่เราเจอบ่อยที่สุด ของการมาเป็นออแพร์ที่ประเทศเยอรมนี

เราเป็นคนชอบเดินทางไปต่างประเทศ สมัยเรียน ถ้ามีโครงการไหนที่เปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษาไป เราตะลุยไปเกือบหมดโครงการแล้ว และ1 ในโครงการที่เราเคยไป ทำให้เรารู้จักประเทศเยอรมนี

เรามาเยอรมัน (ขอเรียกว่าเยอรมัน) ครั้งแรกเมื่อปี 2016 และกลับมาเที่ยวอีกครั้ง ปี 2017 เรารู้สึกชอบในความคุมโทนและดูเหงาๆ รู้สึกว่ามันน่าค้นหา เยอรมันเป็นประเทศที่ระบบการศึกษาดี ระบบการขนส่งก็ดี เปิดโอกาสให้คนต่างชาติเข้ามาทำงานและมีสิทธิ์อยู่ต่อเป็นพลเมืองได้และ ภาษาเยอรมันก็สำคัญมากในทวีปยุโรป .... ตอนเรียนปีสุดท้าย ก็คิดว่าวันนึงฉันต้องได้กลับไปเยอรมัน

หลังจากเรียนจบมา2ปี อิ่มตัวกับชีวิตติวเตอร์เลยผันตัวมาเป็นออแพร์ แต่การจะมาเป็นออแพร์ที่ประเทศเยอรมันได้นั้นต้องมีผลสอบ A1 เราเลยไปขอพ่อเพื่อไปเรียนภาษาเยอรมันที่สถาบันแห่งนึง และ พ่อเราก็ปฏิเสธค่ะ ....

เราเลยต้องมาอ่านและทำความเข้าใจเองทั้งหมด จากคนที่ไม่รู้อะไรเลย แม้แต่คำว่า Ja หรือ Nein ก็ไม่รู้..... แต่ทุกครั้งที่อ่านหนังสือก็ไม่มีครั้งไหนที่ท้อและคิดอยากล้มเลิกความตั้งใจนะ เพราะคิดเสมอว่า อยากไปเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรม ส่วนเรื่องเงินไม่ได้คิดเลย

และเราก็สอบผ่านด้วยคะแนนที่ดีกว่าที่คิด ...!

เราเริ่มออนไลน์หาโฮสในเว็บ Aupairworld ก่อนที่เราจะสอบผ่าน A1 เราสัมภาษณ์มาหลายครอบครัวมาก มีทั้งเค้าไม่เอาเรา เราไม่เอาเค้าเยอะแยะ แต่ความผิดพลาดข้อแรกที่เราได้เรียนรู้คือ 1. เราใจร้อนในการหาโฮสเกินไป

เราแมตช์กับโฮสบ้านหลังหนึ่งในมิวนิค (Munich) ต้องเลี้ยงเด็กโต2คน อายุประมาณ6ขวบ และ 9ขวบ เคยมีออแพร์คนไทยมาแล้วหลายคนเราแมตช์กับบ้านนี้ตั้งแต่ยังไม่ได้สอบ A1 ข้อผิดพลาดข้อที่2 คือ เราถามคำถามโฮสน้อยเกินไป เราแค่คิดว่า เราคุยกับโฮสแล้วสบายใจ เด็กๆก็ดูน่ารัก ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ แต่สัญญาณแรกที่เตือนมาคือ พี่ออแพร์ไทยคนก่อนบอกเราว่า "น้องดื้อและเอาแต่ใจตัวเองมากนะ พี่ไม่รู้ว่าเราจะทนได้มั้ย" ตอนนั้นคิดแค่ว่า ฉันเป็นติวเตอร์มาก่อน ฉันเอาอยู่ ... และ พี่ออแพร์คนไทยก็ถามเราว่า "ปกติเป็นคนทำงานบ้านมั้ย" เราก็บอกไปว่า ไม่ค่อยได้ทำเลย แทบจะไม่เลย ..

การทำวีซ่าของเราราบรื่นมาก ไม่มีอะไรติดขัด จนถึงวันบิน พ่อแม่ก็ไปส่งเราที่สนามบิน เราไม่มีอาการ Jetlag ใดๆเมื่อมาถึงมิวนิค โฮสพ่อมารับเรา และโฮสก็ตกใจว่า เอากระเป๋าเดินทางมาใบเดียวเองหรอ เราก็บอกไปว่า สายการบินจำกัดน้ำหนักกระเป๋า และเราบินแค่ขาเดียว เลยได้น้ำหนักไม่เกิน 20 kg

โฮสพ่อไปส่งเราแค่ชานชาลา และให้แผนที่เส้นทางรถไฟในมิวนิคมา1ใบ วงกลมจุดที่เราต้องไปลง โฮสพ่อบอกว่า คุณต้องเปลี่ยนสายที่สถานีนี้ก่อนนะ ถึงจะได้นั่งไปลงที่สถานีแถวบ้านเลย ไม่ต้องกังวล คุณปู่และคุณย่าของเด็กๆจะมารอรับที่ปลายทาง

เราไม่หลงทางเลยค่ะ พอเรามาถึง คุณปู่และคุณย่าก็เดินมาทัก อาจเป็นเพราะ มีเราคนเดียวที่หน้าตาเป็นเอเชีย คุณย่ากลัวเราหิวเลยซื้อขนมปังให้เราทานรองท้อง คุณย่าก็ตกใจนิดนึงที่เห็นเราทานขนมปังแค่ชิ้นเดียว แต่เราบอกว่า ฉันทานแค่นี้ ฉันก็อิ่มแล้ว

คุณปู่ขับรถมาส่งเราที่บ้าน ไม่มีใครอยู่บ้านเพราะโฮสไปทำงาน เด็กๆก็ไปเรียน เราอยู่บ้านคนเดียวแบบไม่มี wifi จนกระทั่งโฮสแม่กลับมา เราเลยใช้wifiได้ พร้อมส่งข้อความบอกครอบครัวที่ประเทศไทยว่า ถึงบ้านโฮสแล้ว ปลอดภัยดี เราให้ของฝากกับโฮส นั่งคุยอะไรกันนิดหน่อย โฮสก็พาเราไปซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของใช้ส่วนตัว

หลังจากนั้นเราก็เจอเด็กๆและทุกคนในบ้านกันครบ เย็นวันนั้น โฮสแม่ทำ ต้มข่าไก่ใส่เส้นขนมจีนลงไปด้วย โฮสแม่บอก มันอาจจะไม่ไทยแท้เท่าไหร่นะ ..



ในช่วงอาทิตย์แรก เราไม่ค่อยได้อยู่บ้าน เราได้ออกไปเจอตายายของเด็กๆ ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ทำกิจกรรมหลายๆอย่าง ทั้งว่ายน้ำ เที่ยวสวนสัตว์ เดินป่า ทุกอย่างดูไปด้วยดี จนกระทั่งอยู่มาเรื่อยๆเกือบเดือน โฮสแม่เริ่มให้งานบ้านเราเยอะมาก ก็คือ ทำทั้งบ้านเลย ทำทุกอย่างและในใบสัญญาไม่มีว่าต้องให้ทำอะไรแบบนี้  ปัญหาอีกอย่างคือ เรื่องเด็ก เด็กเอาแต่ใจมากๆ อารมณ์เหมือนนางร้ายในละครหลังข่าว พอเราห้ามและสอน โฮสก็จะไม่ชอบ จนความสัมพันธ์ระหว่างเราและครอบครัวโฮสไม่เหมือนเดิม ไม่ว่าเราจะทำอะไร มันก็ดูผิดไปหมด รวมถึงเรื่องภาษาเยอรมัน เราพูดไม่ได้ซะที เค้าก็หงุดหงิด เราก็ไม่สบายใจ

ช่วง Oktoberfest (เทศกาลงานเบียร์ประจำปี) เราแยกเสื้อผ้าโฮสและเด็กๆไม่ถูก เราคิดว่าเสื้อสีขาวตัวเล็ก (ไว้ใส่กับชุด Dirndl) เป็นของน้องเราเลยเอาเข้าเครื่องอบ และ เสื้อมันก็หด เราโดนโฮสด่าเลย โฮสบอกเสื้อมันแพงมากเลยนะ และฉันต้องใส่เร็วๆนี้ด้วย เราก็ขอโทษโฮสไป เพราะเราไม่รู้จริงๆ

นี่คือชุด Dirndl


เราไม่ถูกอนุญาตให้ใช้ห้องน้ำรับแขกในบ้าน เราใช้ได้แค่ห้องน้ำส่วนตัวของเราชั้นใต้ดิน แต่เราต้องทำความสะอาดทั้งบ้านเลย บ้านโฮสมี4ชั้นห้องน้ำมี4ห้อง เราต้องทำเองหมด เสื้อผ้าของส่วนตัวโฮสก็ต้องทำ คือโฮสไม่จ้างแม่บ้าน เราเริ่มไม่ไหวกับงานบ้าน เพราะเราไม่คิดว่า เราต้องมาทำงานบ้านที่เยอะขนาดนี้ มันรู้สึกแย่มากที่เราถูพื้นอย่างสะอาดแต่พอเด็กๆมาเค้าก็ใส่รองเท้าที่เหยียบดินเข้าบ้าน และพื้นก็สกปรก แต่โฮสไม่สอนลูกเลย โฮสบ่นเรื่องงานบ้านกับเราหลายครั้ง ว่าเราทำไม่สะอาด เราต้องทำใหม่เรื่อยๆ อย่างเรื่องพับผ้า ของส่วนตัวเค้าถ้าเราพับไม่สวยก็ต้องพับใหม่

เราเข้ากับเด็กๆไม่ได้ เราไปรับน้องที่โรงเรียน แต่น้องทำเป็นไม่รู้จักเรา น้องจะเดินนำหน้าเราไปก่อน พอพ้นโรงเรียน น้องถึงจะคุยกับเรา น้องเคยตะคอกใส่เราหลายครั้ง เราเคยบอกโฮส แต่โฮสก็ไม่ได้สอนลูกเลย โฮสคาดหวังให้เราทำให้น้องทานอาหารเที่ยงที่โฮสเตรียมไว้ให้ และทำการบ้าน แต่เด็กๆไม่ชอบทานอาหารที่โฮสเตรียมให้ เพราะมันไม่อร่อย และเด็กๆก็ไม่ชอบทำการบ้าน เราพยายามมาหลายวิธี แต่ก็ไม่เป็นผล บางวิชาเราก็ไม่สามารถสอนให้ได้ เพราะ เราไม่รู้ภาษาเยอรมัน บางครั้งน้องดื้อไม่ยอมทำ เราก็บอกโฮส แต่โฮสบอกเราว่า มันเป็นหน้าที่ของเธอที่เธอต้องทำให้ได้ จนวันนึงเด็กไม่ยอมทำเลย ปิดประตูใส่หน้าเราด้วย โฮสก็เฉย เราเลยเฉยบ้าง โฮสแม่เคยคุมเด็กๆทานข้าวและทำการบ้านแต่ก็ทำไม่ได้ เค้าก็มาคาดหวังกับออแพร์ว่าจะช่วยทำให้ได้

หลังๆมาทุกอย่างก็เริ่มแย่ อยู่จนจะ2เดือน เรายังไม่ได้ลงเรียนคอร์สเยอรมันเลย จนเราทวง โฮสก็สมัครให้ เราก็ดีใจที่เราจะได้เรียนตอนสิ้นเดือนแล้ว ระหว่างนั้นโฮสก็เริ่มเปรียบเทียบเรากับออแพร์คนหนึ่งที่เคยทำงานให้เค้าเมื่อ2-3ปีก่อน ว่าเราอะ ภาษาแย่ เอาเด็กก็ไม่อยู่ สู้ออแพร์คนนั้นก็ไม่ได้ ภาษาก็ดี รับมือกับเด็กได้ คือ ออแพร์คนนั้นเค้าจบเอกเยอรมัน เค้าจะพูดเยอรมันได้มากกว่าเรามันก็ไม่แปลกหรอก คนที่อยู่กับภาษาเยอรมันมา 7ปี กับคนที่เรียนเองมา3เดือน ยังไงมันก็ต่างอยู่แล้ว เราอยู่แบบไม่มีความสุขมากๆ อยากให้ถึงเสาร์อาทิตย์เร็วๆจะได้ออกนอกบ้าน แต่บางครั้งพอออกไปเที่ยววันหยุด โฮสก็จะบอกเราว่า เธอไม่มีเวลาให้พวกเราเลยนะ... 

และวันที่หมดความอดทนก็มาถึง เด็กไม่ยอมทำการบ้าน รวมหัวกันปิดประตูใส่เรา พอโฮสแม่มาถึงเราก็บอกโฮสไปตรงๆ โฮสก็ด่าเราชุดใหญ่เลย ฉันไม่อยากเสียเงินให้กับอะไรแบบนี้นะ ถ้าเธอทำไม่ได้ บ้านนี้ก็ไม่มีพื้นที่ให้เธออยู่!!

คืนนั้นเราร้องไห้หนักมาก ร้องไห้ทั้งคืน คิดตลอดว่า เรามาทำอะไรที่นี่วะ มาเป็นคนใช้และกระโถนให้กับคนทั้งบ้านหรอ? 

วันต่อมา วันที่ 27 กันยายน เราก็ทำงานบ้านปกติ แต่เราลงไปชั้นใต้ดิน เพื่อไปเก็บผ้า โฮสแม่กลับมาไม่เห็นเรา โฮสอารมณ์เสีย พอเราขึ้นมาโฮสถามเราว่า เสาร์อาทิตย์นี้เธอจะมีแพลนจะทำอะไร เราเลยบอกว่า เราจะไปเที่ยวกับเพื่อนคนฮังการี โฮสก็เงียบไป โฮสก็พูดว่า ฉันรู้สึกว่าเธอไม่มีความสุขกับพวกเรา และโฮสก็ด่าๆๆๆ อะไรต่างๆนานสออกมา และมีคำนึง ที่เราจำได้ มันติดอยู่ในใจมาตลอด กับประโยคที่ว่า บ้านนี้ไม่มีพื้นที่ให้เธออยู่ ! เราเลยถามกลับไปว่า คุณต้องการให้ฉันรีแมตช์ใช้มั้ย? โฮสก็ตอบว่า ใช่ เธอจะกลับไทยหรือเป็นออแพร์ต่อ ? เราก็บอกว่าแน่นอนว่าต้องเป็นออแพร์ต่อ และโฮสก็พูดต่อ ว่า เรื่องคอร์สเรียน สมัครเรียนไปแล้วก็ยกเลิกได้เหมือนกัน! (คอร์สเรียนเราเริ่มวันที่30กันยายน)หลังจากโฮสพูดเสร็จ โฮสก็ขึ้นไปร้องไห้บนบ้านอยู่พักนึง แล้วก็ลงมาบอกเราว่า ฉันจะให้เธออยู่บ้านนี้ต่อ1เดือน ระหว่างนี้ก็นั่งหาโฮสใหม่ด้วยกัน

เราไม่เสียใจนะที่โดนโฮสขอรีแมตช์ แต่เรารู้สึกโล่งมากกว่า ที่เราไม่ต้องเป็นที่รองรับอารมณ์ของทุกคนอีกต่อไปแล้ว ไม่ต้องทำงานบ้านทั้งบ้านคนเดียว คืนนั้นเราก็ออนไลน์หาโฮสใหม่เลย พอเช้าวันต่อมา เราก็ช่วยงานเค้าปกติ แต่เค้าทำเหมือนกับว่า เค้าทำเองได้ เราไม่ต้องช่วย .. เราเลยคิดว่า เออ ถ้าเราอยู่ต่อเนี่ย มันจะได้เงินมั้ย เพราะเรากับโฮสแม่มองหน้ากันไม่ติดแล้ว.

เรารีบหาโฮสใหม่ เราก็ยังเป็นคนเดิมที่ใจร้อนและไม่รอบคอบ เราก็แมตช์กับโฮสบ้านนึงที่ฮันโนเฟอ (Hannover)มีเด็กเล็กคนเดียวที่ต้องดูแลตอนนั้นมีโฮสในมิวนิคทักมาเยอะแยะ แต่เราไม่อยากอยู่มิวนิคแล้ว อยากไปไกลๆ

พอโฮสพ่อรู้ว่าเราแมตช์แล้วก็ตกใจมาก เพราะไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้  แต่โฮสแม่มาขอร้องเราให้เราอยู่ต่ออีกสักพัก เพราะโฮสแม่ไปสัมมนาอีกเมือง อยากให้เราอยู่ช่วยโฮสพ่อดูแลเด็กๆ

ระหว่างที่โฮสแม่ไม่อยู่ โฮสพ่อก็ไม่กล้าใช้เราให้ทำงานบ้าน เราก็เฉยๆ ก็ช่วยในสิ่งที่คิดว่าจะช่วยได้

ตอนเราออกจากบ้าน โฮสแม่ก็ไปส่งเราที่สถานีรถไฟแถวบ้าน โฮสก็บอกเราว่า ฉันจะไม่จ้างออแพร์อีกต่อไปแล้ว เพราะเด็กๆโตแล้ว ถ้าเธอมาเที่ยวก็มาพักที่บ้านได้นะ

เราก็ไม่ได้พูดอะไร พอร่ำลาเค้า เราก็ ลบช่องทางการติดต่อจากเค้าไปทุกช่องทางเลย

จบบ้านแรกไป เราก็ยอมรับนะ ว่าเราปรับตัวไม่ได้ กับสิ่งที่โฮสคาดหวังไว้ และเราไม่ได้คาดหวังว่าจะมาเจออะไรแบบนี้ ไม่คิดมาก่อนว่า ชีวิตออแพร์มันเป็นแบบนี้ แรกๆเราก็โกรธมาก ไม่พอใจมาก แต่พอวันเวลาผ่านไป เราคิดแต่ว่า มันเป็นบทเรียนชีวิตและประสบการณ์ชีวิต ทำให้เราโตขึ้น เข้าใจตัวเองและคนอื่นมากขึ้น

และเราก็มาบ้านใหม่ที่ Hannover และมันก็คือ การหนีเสือปะจรเข้ ! เป็นปีที่หนักทั้งปีเลย โชคไม่เข้าข้าง แต้มบุญไม่ทำงาน

เดี๋ยวมาต่อ ep2
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่