ในสมัยนี้มีคนไทยจำนวนมากสนใจไปเรียนต่อที่ประเทศจีนมากขึ้น ทั้งปริญญาตรี, โทหรือเรียนภาษา. เนื่องจากในช่วง3-4 ปีที่ผ่านมาทางประเทศจีนมีทุนการศึกษาให้ทางนักเรียนต่างชาติค่อนข้างเยอะ ซึ่งตัวเจ้าของกระทู้เองก็เรียนปริญญาตรีจบที่จีนมาเลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์กับทุกคนครับ.
ผมเรียนจบปริญญาตรีที่เมืองเซี่ยงไฮ้, จบมาได้ประมาณ 2 ปีแล้ว ซึ่งผมคิดว่าการเลือกเมืองก็เป็นหนึ่งในจุดสำคัญของการไปเรียนต่อที่ประเทศจีนเพราะว่าการที่เราต้องเรียนปริญญาตรีที่จีนนั้นหมายความว่าเราจะต้องอยู่ที่เมืองนั้นๆถึง 4 ปีด้วยกัน. อย่างเช่นบางเมืองอาจจะเหมาะกับการไปเที่ยวแต่ไม่เหมาะกับการใช้ชีวิตอยู่นานๆ ดังนั้นถ้าใครมีโอกาสได้ไปประเทศจีนก่อนจะไปเรียนนั้นก็มีสิทธิ์ดีที่จะได้เลือกเมืองที่เหมาะกับตัวเอง.
อย่างของผมเลือกเป็นเมืองเซี่ยงไฮ้เพราะว่าตอนนั้นกลัวว่าการไปอยู่เมืองเล็กอาจจะไม่ไหว โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยและเรี่องห้องน้ำ. แต่หลังจากได้ใช้ชีวิตที่จีนมา 4 ปี ผมก็บอกได้เลยว่าที่จีนเกือบทุกเมืองมีความปลอดภัยสูงมาก ดังนั้นถึงจะเป็นผู้หญิงไปเรียนคนเดียวก็ปลอดภัยครับ.
เซี่ยงไฮ้นับว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่เจริญที่สุดในประเทศจีน, มีทั้งตึกที่เกือบสูงที่สุดในโลกอยู่หลายแห่ง รวมไปถึงรถไฟฟ้าใต้ดินที่มีถึง 10 กว่าสายด้วยกันทำให้การเดินทางในเมืองนี้ค่อนข้างสะดวกสบายมากๆ, ส่วนเรื่องร้านอาหารนี่ไม่ต้องห่วงสำหรับคนไทยที่อยากกินอาหารไทยที่จีน เพราะที่เซี่ยงไฮ้นั้นมีร้านอาหารไทยเยอะมากๆ รวมไปถึงร้านอาหารนานาชาติหลากหลายประเทศ.
มาถึงเรื่องค่าใช้จ่ายนั้น ถ้าเราที่จะเลือกไปอยู่เมืองใหญ่ๆเช่นเซี่ยงไฮ้, กวางโจวหรือปักกิ่งนั้นก็เตรียมตัวได้เลยว่าค่าครองชีพจะค่อนข้างแพงมาก, อย่างตัวผมเองอยู่เซี่ยงไฮ้ก็ใช้เงินเดือนละประมาณ 3000 หยวนหรือ 15,000 บาท (ซึ่งยังไม่รวมกับค่าที่พัก) ซึ่งถ้าเลือกพักหอในนั้นก็จะมีราคาที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับการไปเช่าหออยู่ข้างนอก.
มาถึงเรื่องการเรียน, การเรียนที่ประเทศจีนนั้นต้องยอมรับว่าค่อนข้างสบายเพราะว่าของปริญญาตรีทางมหาลัยผมเรียนแค่ 3ชม. ต่อวันเท่านั้นซึ่งบางวันช่วงบ่ายก็จะว่างเลย, ทางมหาลัยส่วนใหญ่เลยจะมีคาบเสริมตอนบ่ายให้เลือกเช่นเขียนพู่กัน, ไทเก๊ก, วรรณคดีจีน เป็นต้น. การเรียนในห้องนั้นเป็นคนต่างชาติหมด ส่วนใหญ่ก็จะมีเกาหลี, ญี่ปุ่นและรัสเซียที่ค่อนข้างเยอะ. ส่วนตัวคิดว่าการมาเรียนที่นี่ก็ถือว่าดีเลยเพราะได้ทั้งภาษาใหม่ ได้เพื่อนหลากหลายประเภทซึ่งเป็น Connection ของเราได้ในอนาคต. ในแต่ละปีทางมหาลัยก็จะมีเกณฑ์ในการเลื่อนชั้นอย่างเช่นการสอบ Hsk ต้องสอบทุกปีและแต่ละปีต้องได้คะแนนมากขึ้นไม่งั้นคุณจะไม่สามารถเลื่อนชั้นได้.
ทีนี้เรามาพูดถึงเรื่องทุนกันนะครับ, ตอนที่ผมไปเรียนนั้นคือไม่ได้ยื่นทุนไป (คือจ่ายตังไปเองนั่นแหละ55) พอได้มาเห็นทุนของปีหลังๆก็นึกเสียดายอยู่เหมือนกันเพราะว่าทุนสมัยนี้นั้นมีหลายแบบมากๆ และถึงแม้จะไม่ได้ทุนเต็มก็สามารถขอทุนบางส่วนที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายเราได้ครับ.
สำหรับทุนที่คนยื่นกันเยอะที่สุดก็ไม่พ้นทุน csc หรือทุนรัฐบาลจีนครับ , ทุนนี้ส่วนใหญ่จะได้เป็นทุนเต็ม 100%และยังได้ค่าครองชีพรายเดือนอีกด้วย. แต่ว่าเงื่อนไขของทุนนี้ก็มีสูงเช่นกัน ตัวอย่างเช่นปริญญาตรีก็อาจจะต้องใช้ Hsk ถึงระดับ 5 และนักศึกษาทั่วโลกนั้นก็มีสิทธิ์ยื่นกันหมด , ซึ่งก็อาจจะทำให้โอกาสเรามีค่อนข้างน้อย. ส่วนอีกทุนที่นักเรียนยื่นกันเยอะก็คือทุน 一带一路 ซึ่งทุนนี้นั้นอาจจะไม่ใช่ทุนเต็ม 100% , อาจจะไม่มีค่าครองชีพให้ แต่ว่าอย่างน้อยก็ยังสามารถช่วยเราลดค่าใช้จ่ายได้ ตัวอย่างเช่นบางมหาลัยอาจจะให้ทุนเราฟรีค่าเทอม 4 ปี, หรือฟรีค่าเทอมใน 2 ปีแรก เป็นต้น. ซึ่งทุน 一带一路 นั้นเงี่อนไขอาจจะไม่สูงเท่ากับทางทุนรัฐบาล ดังนั้นจึงเป็นอีกทางเลือกนึงสำหรับนักเรียนที่คะแนนไม่สูงมากแต่อยากยื่นทุน.
*ทุนนี่ส่วนใหญ่จะต้องเรียนกับทางชาวจีนทั้งหมดนะครับ
อีกหนึ่งคำถามที่คนมักถามก็คือ ถ้าไม่มีพื้นฐานภาษาจีนนั้นจะสามารถไปเรียนต่อที่จีนได้มั้ย ซึ่งผมจะมาอธิบายให้ว่า ไม่ใช่ทุกมหาลัยที่มีคอร์สปรับพื้นฐาน 1 ปีแล้วต่อปริญญาตรีได้เลย ดังนั้นเราจึงควรดูข้อมูลของมหาลัยก่อนที่จะยื่นทุนไปเพราะบางที่เค้าจะบังคับให้คุณเรียนต่อปริญญาตรีของมหาลัยนั้นๆเลย. ซึ่งถ้าเป็นส่วนตัวผมก็จะเลือกไปเรียนภาษาก่อน 1 ปีแล้วค่อยยื่นทุนปริญญาตรีเพราะว่าจากประสบการณ์ส่วนตัวผมคิดว่าการที่เรียนภาษาหนึ่งปีนั้นก็สามารถสอบ Hsk 4 ผ่านได้ ซึ่งก็จะทำให้เราสามารถยื่นทุนของทางมหาลัยอื่นๆได้. นอกจากนี้ในสมัยนี้การเรียนภาษา 1 ปีเราก็สามารถขอทุนได้ด้วยเช่นกัน แต่อาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายบางส่วนที่เราออกเองด้วยครับ.
ปล.สุดท้ายนี้ก็อยากให้บทความนี้เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจสำหรับคนที่อยากไปเรียนต่อประเทศจีน. ถ้าใครมีข้อสงสัยเพิ่มเติมก็สามารถทักมาคุยกันได้นะครับ.
แชร์ประสบการณ์เรียนที่จีน+เรื่องการขอทุน
ผมเรียนจบปริญญาตรีที่เมืองเซี่ยงไฮ้, จบมาได้ประมาณ 2 ปีแล้ว ซึ่งผมคิดว่าการเลือกเมืองก็เป็นหนึ่งในจุดสำคัญของการไปเรียนต่อที่ประเทศจีนเพราะว่าการที่เราต้องเรียนปริญญาตรีที่จีนนั้นหมายความว่าเราจะต้องอยู่ที่เมืองนั้นๆถึง 4 ปีด้วยกัน. อย่างเช่นบางเมืองอาจจะเหมาะกับการไปเที่ยวแต่ไม่เหมาะกับการใช้ชีวิตอยู่นานๆ ดังนั้นถ้าใครมีโอกาสได้ไปประเทศจีนก่อนจะไปเรียนนั้นก็มีสิทธิ์ดีที่จะได้เลือกเมืองที่เหมาะกับตัวเอง.
อย่างของผมเลือกเป็นเมืองเซี่ยงไฮ้เพราะว่าตอนนั้นกลัวว่าการไปอยู่เมืองเล็กอาจจะไม่ไหว โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยและเรี่องห้องน้ำ. แต่หลังจากได้ใช้ชีวิตที่จีนมา 4 ปี ผมก็บอกได้เลยว่าที่จีนเกือบทุกเมืองมีความปลอดภัยสูงมาก ดังนั้นถึงจะเป็นผู้หญิงไปเรียนคนเดียวก็ปลอดภัยครับ.
เซี่ยงไฮ้นับว่าเป็นหนึ่งในเมืองที่เจริญที่สุดในประเทศจีน, มีทั้งตึกที่เกือบสูงที่สุดในโลกอยู่หลายแห่ง รวมไปถึงรถไฟฟ้าใต้ดินที่มีถึง 10 กว่าสายด้วยกันทำให้การเดินทางในเมืองนี้ค่อนข้างสะดวกสบายมากๆ, ส่วนเรื่องร้านอาหารนี่ไม่ต้องห่วงสำหรับคนไทยที่อยากกินอาหารไทยที่จีน เพราะที่เซี่ยงไฮ้นั้นมีร้านอาหารไทยเยอะมากๆ รวมไปถึงร้านอาหารนานาชาติหลากหลายประเทศ.
มาถึงเรื่องค่าใช้จ่ายนั้น ถ้าเราที่จะเลือกไปอยู่เมืองใหญ่ๆเช่นเซี่ยงไฮ้, กวางโจวหรือปักกิ่งนั้นก็เตรียมตัวได้เลยว่าค่าครองชีพจะค่อนข้างแพงมาก, อย่างตัวผมเองอยู่เซี่ยงไฮ้ก็ใช้เงินเดือนละประมาณ 3000 หยวนหรือ 15,000 บาท (ซึ่งยังไม่รวมกับค่าที่พัก) ซึ่งถ้าเลือกพักหอในนั้นก็จะมีราคาที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับการไปเช่าหออยู่ข้างนอก.
มาถึงเรื่องการเรียน, การเรียนที่ประเทศจีนนั้นต้องยอมรับว่าค่อนข้างสบายเพราะว่าของปริญญาตรีทางมหาลัยผมเรียนแค่ 3ชม. ต่อวันเท่านั้นซึ่งบางวันช่วงบ่ายก็จะว่างเลย, ทางมหาลัยส่วนใหญ่เลยจะมีคาบเสริมตอนบ่ายให้เลือกเช่นเขียนพู่กัน, ไทเก๊ก, วรรณคดีจีน เป็นต้น. การเรียนในห้องนั้นเป็นคนต่างชาติหมด ส่วนใหญ่ก็จะมีเกาหลี, ญี่ปุ่นและรัสเซียที่ค่อนข้างเยอะ. ส่วนตัวคิดว่าการมาเรียนที่นี่ก็ถือว่าดีเลยเพราะได้ทั้งภาษาใหม่ ได้เพื่อนหลากหลายประเภทซึ่งเป็น Connection ของเราได้ในอนาคต. ในแต่ละปีทางมหาลัยก็จะมีเกณฑ์ในการเลื่อนชั้นอย่างเช่นการสอบ Hsk ต้องสอบทุกปีและแต่ละปีต้องได้คะแนนมากขึ้นไม่งั้นคุณจะไม่สามารถเลื่อนชั้นได้.
ทีนี้เรามาพูดถึงเรื่องทุนกันนะครับ, ตอนที่ผมไปเรียนนั้นคือไม่ได้ยื่นทุนไป (คือจ่ายตังไปเองนั่นแหละ55) พอได้มาเห็นทุนของปีหลังๆก็นึกเสียดายอยู่เหมือนกันเพราะว่าทุนสมัยนี้นั้นมีหลายแบบมากๆ และถึงแม้จะไม่ได้ทุนเต็มก็สามารถขอทุนบางส่วนที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายเราได้ครับ.
สำหรับทุนที่คนยื่นกันเยอะที่สุดก็ไม่พ้นทุน csc หรือทุนรัฐบาลจีนครับ , ทุนนี้ส่วนใหญ่จะได้เป็นทุนเต็ม 100%และยังได้ค่าครองชีพรายเดือนอีกด้วย. แต่ว่าเงื่อนไขของทุนนี้ก็มีสูงเช่นกัน ตัวอย่างเช่นปริญญาตรีก็อาจจะต้องใช้ Hsk ถึงระดับ 5 และนักศึกษาทั่วโลกนั้นก็มีสิทธิ์ยื่นกันหมด , ซึ่งก็อาจจะทำให้โอกาสเรามีค่อนข้างน้อย. ส่วนอีกทุนที่นักเรียนยื่นกันเยอะก็คือทุน 一带一路 ซึ่งทุนนี้นั้นอาจจะไม่ใช่ทุนเต็ม 100% , อาจจะไม่มีค่าครองชีพให้ แต่ว่าอย่างน้อยก็ยังสามารถช่วยเราลดค่าใช้จ่ายได้ ตัวอย่างเช่นบางมหาลัยอาจจะให้ทุนเราฟรีค่าเทอม 4 ปี, หรือฟรีค่าเทอมใน 2 ปีแรก เป็นต้น. ซึ่งทุน 一带一路 นั้นเงี่อนไขอาจจะไม่สูงเท่ากับทางทุนรัฐบาล ดังนั้นจึงเป็นอีกทางเลือกนึงสำหรับนักเรียนที่คะแนนไม่สูงมากแต่อยากยื่นทุน.
*ทุนนี่ส่วนใหญ่จะต้องเรียนกับทางชาวจีนทั้งหมดนะครับ
อีกหนึ่งคำถามที่คนมักถามก็คือ ถ้าไม่มีพื้นฐานภาษาจีนนั้นจะสามารถไปเรียนต่อที่จีนได้มั้ย ซึ่งผมจะมาอธิบายให้ว่า ไม่ใช่ทุกมหาลัยที่มีคอร์สปรับพื้นฐาน 1 ปีแล้วต่อปริญญาตรีได้เลย ดังนั้นเราจึงควรดูข้อมูลของมหาลัยก่อนที่จะยื่นทุนไปเพราะบางที่เค้าจะบังคับให้คุณเรียนต่อปริญญาตรีของมหาลัยนั้นๆเลย. ซึ่งถ้าเป็นส่วนตัวผมก็จะเลือกไปเรียนภาษาก่อน 1 ปีแล้วค่อยยื่นทุนปริญญาตรีเพราะว่าจากประสบการณ์ส่วนตัวผมคิดว่าการที่เรียนภาษาหนึ่งปีนั้นก็สามารถสอบ Hsk 4 ผ่านได้ ซึ่งก็จะทำให้เราสามารถยื่นทุนของทางมหาลัยอื่นๆได้. นอกจากนี้ในสมัยนี้การเรียนภาษา 1 ปีเราก็สามารถขอทุนได้ด้วยเช่นกัน แต่อาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายบางส่วนที่เราออกเองด้วยครับ.
ปล.สุดท้ายนี้ก็อยากให้บทความนี้เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจสำหรับคนที่อยากไปเรียนต่อประเทศจีน. ถ้าใครมีข้อสงสัยเพิ่มเติมก็สามารถทักมาคุยกันได้นะครับ.