สถานที่แห่งความตาย

City of the Dead


สุสานแห่งดาร์เกฟ ตั้งอยู่ริมหมู่บ้าน Dargavs ในสาธารณรัฐ North Ossetia - Alania ในรัสเซีย เป็นสุสานโบราณถูกเรียกขานว่า "เมืองแห่งความตาย" (Dargavs เป็นชื่อในภาษากรีกโบราณ)  เป็นที่ที่น่าประทับใจเนื่องจากมีสุสานจำนวนมากและทิวทัศน์ที่สวยงาม  สุสานตั้งอยู่บนเนินเขาที่มองเห็นหุบเขาแม่น้ำ Fiagdon อันเขียวชอุ่มโดยมีหน้าผาหลายแห่งและยอดเขาสูงกว่า 4,000 ม.

สุสานโบราณขนาดใหญ่แห่งนี้เต็มไปด้วยปริศนามากมาย และหนึ่งในประเพณีที่ชาวท้องถิ่นปฏิบัติสืบต่อกันมาคือการฝังเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ของผู้ตายในหลุมศพของพวกเขา  สุสานหินโบราณแตกต่างกันถึง 99 แบบ หลุมฝังศพมีรูปร่างเหมือนกระท่อมหลังคาโค้งมียอดแหลมที่ด้านบน คาดว่าถูกก่อสร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 14 โดยบรรพบุรุษ Ossetians ที่ได้เข้ามาตั้งรกรากในดินแดนทุรกันดารที่สุดอีกแห่งของประเทศแห่งนี้

สุสานมีห้องใต้ดินหินโบราณขนาดเล็กมีด้านแบนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แต่ด้านข้างโค้งเข้าด้านใน ส่วนที่เล็กที่สุดของห้องใต้ดินไม่มีหลังคา ผนังประกอบด้วยก้อนหินและปูนขาวมีช่องสี่เหลี่ยมเพื่อใส่ศพ บางส่วนของห้องใต้ดินเหล่านี้มีความสูง 2- 4 ชั้น  การกล่าวถึงครั้งแรกของ City of the Dead ย้อนกลับไปในช่วงต้นศตวรรษที่ 14 บรรพบุรุษของ Ossetians ตั้งรกรากบนสันเขาทั้งห้าแห่ง แต่ที่ดินมีราคาแพงมากพวกเขาจึงถูกบังคับให้เลือกสถานที่ที่ไม่สะดวกที่สุดเพื่อเป็นสุสานของพวกเขา




มีตำนานมากมายรอบ ๆ สถานที่ ในอดีตชาวบ้านพยายามหลีกเลี่ยงการไปที่เมืองแห่งความตายเพราะเชื่อว่ามีคำสาป โดยใครก็ตามที่กล้าเดินเข้าไปจะไม่มีวันเดินออกมาอย่างมีชีวิต  และตอนนี้การที่ไม่มีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมเพราะความยากลำบากในการเดินทางไม่ใช่เพราะคำสาป

มีตำนานหนึ่งคือเกิดโรคระบาดทั่ว Ossetia ในศตวรรษที่ 17 ผู้ป่วยถูกแยกตัวออกจากหมู่บ้านและถูกกักบริเวณด้วยความสมัครใจภายในกระท่อม
และรอชะตากรรมอย่างอดทน พวกเขามีชีวิตจากการปันส่วนของขนมปังที่ชาวบ้านเห็นใจ แต่ถ้าเสียชีวิตศพของพวกเขาก็จะถูกทิ้งให้เน่าเปื่อยภายในกระท่อมเหล่านี้





 The Devil’s Den


Devil's Den (หุบเขาแห่งความตาย) เป็นชื่อที่ตั้งให้กับสันเขาที่เต็มไปด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ทางตอนใต้ของเมือง Gettysburg รัฐเพนซิลเวเนีย ระหว่างเนินหินที่รู้จักกันในชื่อ Little Roundtop และ Big Roundtop ห่างจาก Little Round Top ไปทางตะวันตกประมาณ 500 หลาในสนามรบ Battle of Gettysburg 

2 กรกฎาคม1863 วันที่สองของการรบในบริเวณรอบ ๆ Devil's Den เป็นการต่อสู้ที่รุนแรงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีแนวด้านข้างของนายพล
Robert E Lee  เมื่อพลโท James Longstreet กองกำลังสัมพันธมิตร 5,500 นายเข้าโจมตีหน่วยของพลตรี Daniel Sickles กองพลแห่งกองทัพโปโตแมค ในที่สุดก็ยึด Devil's Den ได้

นับเป็นหนึ่งในความสำเร็จเพียงไม่กี่ครั้งในการต่อสู้วันนั้น มีจำนวนผู้เสียชีวิตรวมประมาณ 800 คนสำหรับสหภาพมากกว่า 1,800 คนในกลุ่มสมาพันธรัฐ ส่วนที่เป็นแอ่งน้ำแห่งหนึ่งของพื้นที่โล่งระหว่างก้อนหินและ Little Roundtop ได้รับชื่อ " Slaughter Pen " สำหรับจำนวนทหารจากทั้งสองฝ่ายที่ถูกยิงด้วยลูกหลง  โดยรวมทั้งหมดมีทหารมากกว่า 150,000 นาย ทำการสู้รบในที่นี้ และมีทหารจำนวนมากกว่า 50,000 นาย บาดเจ็บ สูญหายและเสียชีวิต ปัจจุบันมีรายงานพบเห็นดวงวิญญาณของทหารที่ตายในสนามรบนี้ 

ที่หุบเขาแห่งความตายนี้ มีปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยครั้ง และเป็นจุดที่ผู้ชื่นชอบเรื่องราวของภูตผีปีศาจมักเดินทางมาท้าพิสูจน์ และเจอดีอยู่เป็นประจำ เช่น เครื่องมือสื่อสารหรือกล้องถ่ายภาพเกิดขัดข้องจนใช้การไม่ได้ แต่เมื่อเดินทางออกจากหุบเขาแห่งความตาย เครื่องมือดังกล่าวก็กลับมาใช้งานได้ตามปกติ





Island of the Dead


เกาะฮาร์ต (Hart Island) หรือ เกาะแห่งความตาย เป็นเกาะเล็กๆ ตั้งอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือในเขต Bronx นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา มีพื้นที่ประมาณ 331 ไร่ ยาวประมาณ 1.6 กม. ส่วนที่กว้างที่สุดของเกาะประมาณ 400 ม. เดิมผู้ที่เป็นเจ้าของเกาะคือชาวอเมริกันพื้นเมือง แต่เมื่อปี 1654 Thomas Pell นายแพทย์ชาวอังกฤษได้มาขอซื้อเกาะ  จากนั้นเป็นต้นมาเกาะฮาร์ตก็ถูกถ่ายโอนกรรมสิทธิ์เปลี่ยนเจ้าของไปเรื่อยๆ

จนในปี 1864 เกาะถูกแปรสภาพให้เป็น ‘ค่ายทหาร’ ของกลุ่มทหารแอฟริกัน-อเมริกัน (The United States Colored Troops (USCT) ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงสงครามกลางเมือง (American Civil War) เกาะจึงถูกใช้เป็นที่พักของทหาร สถานที่ฝึก และค่ายกักกันเชลยศึก เมื่อเชลยศึกเสียชีวิตก็ฝังศพไว้ ว่ากันว่ามีเชลยศึกราว 235 คนถูกฝังอยู่ที่นี่ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการฝังศพเป็นครั้งแรก

ในปี 1868 เทศบาลนครนิวยอร์กได้ซื้อเกาะต่อจากเจ้าของเดิมเป็นจำนวนเงิน 75,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณสองล้านบาท) เพื่อใช้เป็นสุสาน
โดยศพแรกที่ถูกนำมาฝังเป็นศพที่นำมาจากโรงพยาบาลเพื่อผู้ป่วยยากไร้ในนครนิวยอร์ก ซึ่งโดยส่วนมากแล้วจะเป็นศพของทารกแรกเกิด คนไร้บ้าน คนยากจน ที่นี่จึงกลายเป็นสุสานไร้ญาติประจำเมืองไปโดยปริยาย

ต่อมาปี 1870 ได้เกิดโรคไข้เหลืองระบาดหนักทั่วโลก เกาะถูกใช้เป็นศูนย์กักกันเชื้อโรค ซึ่งรองรับผู้ป่วยได้มากถึง 1,500 เตียง นอกจากนั้นเกาะยังเคยถูกใช้เป็นโรงพยาบาลจิตเวชสตรีประจำเมืองนิวยอร์กด้วย


ภาพวาดแสดงพื้นที่เกาะฮาร์ตในอดีต


ภาพวาดเกาะในปี 1865 เมื่อการใช้เป็นค่ายทหารสิ้นสุดลง Cr.correctionhistory.org/


ในปี 1924 มีนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้เข้ามาขอซื้อที่ดินบางส่วนของเกาะ เพื่อสร้างสวนสนุกสำหรับคนผิวสีโดยเฉพาะ เนื่องจากในสมัยนั้นการเหยียดผิวค่อนข้างรุนแรง คนผิวสีไม่สามารถใช้สวนสนุกร่วมกับคนผิวขาวได้ แต่สุดท้ายก็ถูกทางการคัดค้านจนต้องล้มเลิกไป
ในปี 1950 เกาะฮาร์ตได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นศูนย์พักพิงสำหรับผู้ยากไร้ และถูกเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในปี1955 เป็นศูนย์บำบัดผู้ติดสุราเรื้อรัง

เมื่อใดก็ตามที่มีโรคระบาดจนทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ศพติดเชื้อเหล่านั้นก็จะถูกนำมาฝังรวมกันไว้ที่เกาะนี้ เช่น ในปี 1985 โรคเอดส์ระบาดหนักไปทั่วอเมริกาก็นำศพผู้ติดเชื้อมาฝังไว้ที่ปลายสุดทางใต้ของเกาะนี้  ต่อมาในปี 2008 โรคไข้หวัดใหญ่คร่าชีวิตผู้คนในนิวยอร์กไปกว่า 20,000 ราย ศพทั้งหมดก็ถูกฝังไว้ที่นี่เช่นกัน

ศพจะถูกฝังโดยนักโทษที่เกณฑ์มาจากคุกบนเกาะ Riker  โดยก่อนฝังจะมีหมายเลข อายุ เชื้อชาติ และสถานที่พบ ติดไว้ที่โลงเพื่อการสืบค้น แต่ยังมีศพที่ถูกฝังอีกมากที่ไม่รู้ที่มาจะมีเพียงเสาสีขาวต้นเล็กๆ ปักอยู่โดยเสาหนึ่งต้นแทนร่างผู้เสียชีวิต 150 ศพ หากเป็นศพของเด็กหรือทารกจะถูกแยกไปฝังรวมกันในหลุมฝังศพใหญ่เพียงหลุมเดียว

หากนับตั้งแต่ปี1869 ที่ทางเทศบาลนครนิวยอร์กได้ปรับเปลี่ยนเกาะฮาร์ตให้เป็นสุสานฝังศพเป็นต้นมา มีศพที่ถูกนำมาฝังไว้ที่เกาะฮาร์ตแห่งนี้มากกว่าหนึ่งล้านราย  ที่นี่จึงเป็นสุสานไร้ญาติที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา และยังถูกใช้เป็นที่ฝังศพผู้ติดเชื้อโควิด-19 อีกด้วย
Cr.ภาพ David Dee Delgado/Getty Images/AFP




The Highway of Death


เมื่อ 29 ปีที่แล้วการสังหารหมู่ที่โหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สงครามเกิดขึ้นในอิรักตามทางหลวงหมายเลข 80 ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองคูเวตไปทางตะวันตกประมาณ 32 กม.
โดยในคืนวันที่ 26-27 กุมภาพันธ์ 1991 ทหารและพลเรือนอิรักหลายพันคนกำลังล่าถอยกลับไปยังแบกแดดหลังจากมีการประกาศหยุดยิงเมื่อประธานาธิบดีจอร์จบุช สั่งให้กองกำลังของเขาสังหารกองทัพอิรักที่กำลังถอยร่น เครื่องบินรบของกองกำลังพันธมิตรบินโฉบลงมาที่ขบวนรถที่ไม่มีอาวุธและปิดการใช้งานยานพาหนะที่อยู่ด้านหน้าและด้านหลังเพื่อไม่ให้พวกเขาหลบหนี

จากนั้นเครื่องบินอากาศยานได้ทำลายยานพาหนะที่ติดอยู่ตรงนั้นเป็นเวลาหลายชั่วโมง หลังจากการสังหารสิ้นสุดลงยานพาหนะของอิรักราว 2,000 คันที่แหลกเหลวและร่างทหารอิรักหลายหมื่นคนที่ไหม้เกรียมถูกแยกชิ้นส่วนนอนอยู่เป็นระยะทางหลายไมล์  ตลอดสิ่งที่เรียกกันว่า "ทางหลวงแห่งความตาย" นอกจากนั้นอีกหลายร้อยศพที่เกลื่อนไปตามถนนทางหลวงหมายเลข 8 ที่นำไปสู่เมืองบาสรา ฉากแห่งความหายนะบนถนนสองสายนี้กลายเป็นภาพที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของสงครามอ่าว

ในวันที่มีประกาศว่าอิรักยอมรับข้อเสนอหยุดยิงของสหภาพโซเวียตและสั่งให้กองทัพอิรักทั้งหมดถอนตัวออกจากคูเวตตามมติของสหประชาชาติที่ 660
แต่ประธานาธิบดีบุชปฏิเสธที่จะเชื่อ วันรุ่งขึ้นอิรักได้ประกาศเริ่มต้นถอนกำลังบนทางหลวงทั้งสองสายและจะเสร็จสิ้นในวันนั้น ซึ่งบุชได้แสดงปฏิกิริยาโดยเรียกการประกาศของฮุสเซนว่า "ความชั่วร้ายและหลอกลวงที่โหดร้าย"


(ซากศพของทหารอิรักที่ไหม้เกรียมขณะที่เขาพยายามดึงตัวเองขึ้นมาเหนือแผงควบคุมรถบรรทุกของเขา Cr.ภาพ Kenneth Jarecke)


การยอมรับข้อเสนอของอิรักอาจเสี่ยงต่อการไปตั้งถิ่นฐานใหม่ บุชและนักยุทธศาสตร์ทางทหารสหรัฐฯตัดสินใจที่จะสังหารชาวอิรักให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  โดยการทิ้งระเบิดเริ่มขึ้นในเวลาใกล้เที่ยงคืน  จากคำสั่งของรัฐบาลบุชว่า "ไม่ให้ใครหรือสิ่งใดออกจากคูเวตซิตี" ดังนั้นยานพาหนะใด ๆ ที่เบี่ยงออกจากทางหลวงจะถูกติดตามล่าและทำลาย แม้แต่ทหารอิรักที่ถูกปลดอาวุธที่ยอมจำนนก็ถูกยิงด้วยปืน ไม่มีชาวอิรักสักคนเดียวที่รอดชีวิต 

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่