ถามตอบปัญหาธรรมโดยพุทธแท้

ย้อนกลับไปเมื่อ 14 ปีก่อน มีเวปไซต์ชื่อว่าพุทธแท้ เป็นเวปที่เขียนถึงธรรมะและมีหัวข้อธรรมที่น่าสนใจ ทางเจ้าของกระทู้ได้มีการติดต่อพูดคุยกับเจ้าของเวปอยู่เป็นระยะๆ เนื่องจากเจ้าของกระทู้ได้ขอทางเวปนําเอาเนื้อหาบางส่วนบางตอนไปเผยแพร่ตามเวปไซต์ธรรมะต่างๆ
มาจนถึงปัจจุบันนี้ทางเวปไซต์ได้ปิดตัวลงไปแล้ว แต่ทางเจ้าของกระทู้เห็นว่า ยังมีหัวข้อธรรมะที่น่าสนใจ น่าจะเก็บไว้ให้ผู้ที่สนใจธรรมะรุ่นใหม่ๆ
ทางเจ้าของกระทู้จึงได้นําเนื้อหามาลงในกระทู้นี้เท่าที่จะพอเผยแพร่และเก็บรวบรวมมาได้

เนื้อหาต่อจากนี้คือหัวข้อธรรมะและเรื่องราวๆต่างๆจากผู้จัดทําเวปพุทธแท้

.................................................

พุทธแท้
               ยินดีต้อนรับผู้ใฝ่ธรรมทุกท่านสู่พุทธแท้โฮมเพจ ข้าพเจ้าจัดทำโฮมเพจนี้ขึ้นเพื่อช่วยไขปัญหาธรรมให้แก่ผู้ปรารถนามรรคผลนิพพานทุกท่าน เนื่องด้วยปัจจุบันนี้พุทธศาสนาผิดเพี้ยนไปจากเดิมมาก ธรรมแท้ที่ควรจะเป็นก็ไม่เป็นไปตามแห่งธรรมของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเห็นว่าผู้ที่ไม่บรรลุธรรมแล้วตั้งตนเป็นอาจารย์เปิดสำนักสอนผู้อื่น ให้ผู้คนหลงทางตามตนนั้นเป็นอันตรายยิ่งนัก ครู อาจารย์บางท่านที่บรรลุธรรมแล้ว ท่านก็มิเข้ามายุ่ง เนื่องด้วยสภาวธรรมที่ท่านดำรงอยู่ และด้วยศีลที่ทำให้ท่านไม่สามารถที่จะประกาศตนได้ว่าท่านบรรลุธรรมเห็นมรรคผลนิพพานแล้วได้
               ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะใช้โฮมเพจนี้เพื่อไขปัญหาให้แก่ท่านที่มีความสนใจในธรรม ข้าพเจ้าขอกล่าว ณ.ที่นี้ก่อนว่าข้าพเจ้าเป็นบุคคลธรรมดามิได้มีอิทธิฤทธิ์ใดๆทั้งสิ้นๆ ข้าพเจ้ามิได้บรรลุธรรมด้วยฤทธิ์ ข้าพเจ้าบรรลุธรรมด้วยปัญญา (ปัญญาวิมุตติ) ฉะนั้นธรรมที่ข้าพเจ้าจะตอบจึงเป็นธรรมแท้ไม่อาศัยดำรงหรือสมาบัติใดๆ

แด่ผู้เป็นอาจารย์

                    ขอกราบเท้าพระอาจารย์นับพัน นับล้านครั้ง ที่พระอาจารย์เมตตารับศิษย์ไว้เป็นศิษย์ และเมตตาให้ติดตามรับใช้อย่างใกล้ชิด ทุกที่ ทุกหนทุกแห่ง ให้มีโอกาสได้รับฟังธรรมที่ล้ำค่า จนศิษย์ได้บรรลุธรรมอันประเสริฐนั้น และได้สอนธรรมให้ผู้อื่น ให้มีดวงตาเห็นธรรมตามที่พระอาจารย์สอนศิษย์  บัดนี้ศิษย์ปรารถนาที่จะสอนธรรมแด่สัตว์โลกที่ได้ชื่อว่ามนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สอนยากที่สุดที่ศิษย์เคยสอนมา เนื่องด้วยมนุษย์มีข้อสงสัยมาก มากจนปิดบังปัญญาของตัวเองที่จะเห็นธรรม และด้วยเหตุนี้ศิษย์จึงไม่กล้าที่จะกล่าวนามพระอาจารย์ให้ผู้ใดรู้ว่าพระอาจารย์ของศิษย์เป็นใคร เพราะเห็นว่าผู้ที่ไม่เข้าใจในธรรมจะมิพอใจ ศิษย์ไม่ต้องการให้ชื่อเสียงของพระอาจารย์ต้องหม่นหมอง   พระอาจารย์ยังเป็นสิ่งสูงสุดของศิษย์อยู่เสมอ

                         ข้าพเจ้าบรรลุธรรมได้อย่างไร

              นับว่าเป็นบุญยิ่งนักที่ข้าพเจ้าได้เกิดเป็นชาย ทำให้ข้าพเจ้าได้บวชเป็นพระ และเป็นบุญครั้งที่สองที่มีอาจารย์เป็นพระอริยะ พระอาจารย์ของข้าพเจ้ามิได้เป็นพระป่าหรือพระบ้านทั้งนั้น ท่านมีสองอย่างอยู่ในตัวของท่าน ท่านจะอยู่ป่า อยู่เขาท่านก็อยู่ได้ จะอยู่บ้าน อยู่เมืองท่านก็อยู่ได้ ท่านพระอาจารย์สอนธรรมที่เป็นธรรมแท้ๆ เวลาที่ท่านพระอาจารย์เทศ ธรรมที่ท่านเทศนั้นจะไหลออกมาเองโดยมิได้ผ่านสมอง ธรรมของท่านจึงไม่ได้ปรุงแต่งจากความคิด แต่เป็นธรรมที่มาจากสภาวธรรมจริงๆ
               วันหนึ่งข้าพเจ้าได้ฟังเรื่องจิตและจักรวาลจากท่านพระอาจารย์ ข้าพเจ้าก็ตื่นเต้นจากความรู้ที่ได้รับ ข้าพเจ้าจำได้ทุกคำพูดที่ท่านพระอาจารย์เทศในวันนั้น  ในวันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าจึงนำเรื่องดังกล่าวมาเขียนบันทึก  พระอาจารย์เทศว่า
               “ในจักรวาลนั้นมีของอยู่สองสิ่งคือ ธาตุหนัก และธาตุเบา ธาตุหนักได้ดึงดูดซึ่งกันและกัน  ทำให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อใหญ่ขึ้นก็มีแรงดึงดูดมากขึ้นๆ และใหญ่ขึ้นๆ และก็มีแรงดึงดูดมากขึ้นๆ และใหญ่ขึ้น หรือที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่าหลุมดำ เมื่อหลุมดำดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่างจนอิ่มตัวที่มันจะเป็นไปได้ มันก็เกิดระเบิดขึ้น และสิ่งที่อยู่ในตัวมันก็กระจัดกระจายกระเด็นไปทุกทิศทุกทางในจักรวาล สิ่งที่กระเด็นออกมานั้นก็ไปเสียดสีกับธาตุเบาที่ลอยอยู่ข้างนอก และเมื่อแรงระเบิดนั้นสิ้นสุดลง ธาตุหนักก็ดึงดูดซึ่งกันและกันอีก จุดใหม่นั้นก็ไม่ห่างจากจุดเดิมมากนัก การดึงดูดครั้งใหม่นั้นก็จะดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปยังจุดศูนย์กลางเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นธาตุต่างๆ หรือเส้นแสงจะถูกดึงกลับเข้าไปที่จุดศูนย์กลาง แต่ด้วยธาตุต่างๆ หรือเส้นแสงก็มีพลังงานในตัวเองจากการที่กระเด็นออกมาจากแรงระเบิด เมื่อหลุมดำดึงดูดกลับ เส้นแสงก็จะยื้อกลับ (เหมือนชักเย่อ) ดึงกันไป ดึงกันมา ทุกวินาที เส้นแสงที่อยู่ใกล้ๆ ธาตุเบาก็ไปเสียดสีกับธาตุเบาที่ลอยอยู่ในอวกาศ วัตถุสองสิ่งเสียดสีกัน (เหมือนไม้เสียดสีกัน) ก็เกิดพลังงานรูปใหม่ขึ้น (ไม่ว่าจะเป็นความร้อน แสง สี เสียง) เสียดสีจนเกิดความร้อน ก็ลุกเป็นไฟขึ้น ก็กลายเป็นดวงอาทิตย์ และเมื่อเย็นตัวลงก็กลายเป็นดาวเคราะห์ ดาวที่ใหญ่กว่าจะดึงดูดดาวที่เล็กว่า เช่น ดวงจันทร์ถูกโลกดึงดูด โลกก็ถูกดวงอาทิตย์ดึงดูด ดวงอาทิตย์ก็ถูกหลุมดำดึงดูด เมื่อโลกดึงดูดดวงจันทร์ ดวงจันทร์ก็ยื้อกลับดึงกันไปดึงกันมาทุกวินาที (ตาคนมองไม่ทันจึงไม่เห็นการยื้อนั้นแต่จะเห็นผลของการยื้อนั้นเป็นการหมุนรอบโลก) จนกว่าดวงจันทร์จะหมดพลังงานในตัวเองที่จะยื้อกลับ ดวงจันทร์ก็จะถูกโลกดูดมารวมกับโลก เป็นดาวดวงเดียวกัน และเช่นเดียวกันโลกก็ถูกดวงอาทิตย์ดูดเช่นนี้เหมือนกัน เมื่อโลกหมดแรงยื้อกลับ โลกก็จะถูกดวงอาทิตย์ดึงดูดเข้าไปรวมกับดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ก็เช่นเดียวกันเมื่อหมดพลังงานที่จะยื้อกลับก็จะถูกหลุมดำดูดเข้าไปรวมกัน เมื่อหลุมดำดูดทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปจนมากเข้าๆ จนอิ่มตัวก็จะระเบิดขึ้นอีก และเป็นเส้นแสงไปเสียดสีกับสิ่งอื่นอีก ก็จะเกิดดวงดาวขึ้นอีก เมื่อหมดพลังงานในตัวก็จะถูกหลุมดำดูดเข้าไปอีกและเมื่อหลุมดำอิ่มตัวก็จะระเบิดขึ้นอีก เป็นอย่างนี้วนไปวนมาไม่มีทางจบสิ้น
               ส่วนจิตนั้นคืออะไร  ไม่มีใครตอบได้ ถ้าตอบได้ก็ไม่ใช่จิต เพราะจิตอยู่เหนือสมมุติบัญญัติใดๆ จิตมันก็มีของมันอยู่แล้ว คำว่าจิต จิตเดิมแท้ สิ่งนั้น ตถาตา มรรค และนิพพาน คำเหล่านี้หมายถึงสิ่งเดียวกัน
            จิตเป็นสิ่งจรรโลงของจักรวาล
            จักรวาลจะกว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหนก็อยู่ในจิต
            แล้วจิตใหญ่ขนาดไหน?       จิตก็ใหญ่เท่าจักรวาล
            แล้วจิตเล็กขนาดไหนละ?     จิตก็เล็กจนมองไม่เห็น
            แล้วจิตอยู่ที่ใดละ?              จิตก็มีอยู่ทุกที่ ไม่มีที่ใดเลยที่ไม่เกี่ยวเนื่องด้วยจิต
               แล้วคนเกิดมาได้อย่างไร และจิตมาเป็นคนได้อย่างไร
            ครั้งเมื่อจักรวาลระเบิดเกิดแสง สี เสียง ขึ้นนั้น แสงมันก็สว่างของมันอย่างนั้น ไม่มีอะไรไปรับรู้ว่าสว่างหรือไม่สว่าง
          เมื่อแสงสว่างเกิดขึ้นนั้น จิตที่มันอยู่ข้างๆ คิดว่ามันเป็นผู้เห็นแสง ก็เกิดของคู่ขึ้นทันที คือผู้เห็นและผู้ที่ถูกเห็น
                              ผู้เห็นก็คือจิตดวงนั้น
                              ผู้ถูกเห็นก็คือแสง     
          ผู้รู้กับผู้ถูกรู้ ผู้รู้ก็คือจิต ผู้ถูกรู้ก็คือแสง เมื่อจิตเป็นเช่นนั้นก็เกิดเป็นดวงจิตลอยขึ้นมา "
          เมื่อข้าพเจ้าเขียนบันทึกถึงตรงนี้ข้าพเจ้าก็วางปากกาลง พร้อมกับอุทานในใจว่า
 “ แล้วเราจะเขียนทำไม เขียนให้ใคร ไม่มีใครอ่าน ไม่มีใครเขียน ”
               เพราะบัดนี้ข้าพเจ้าได้บรรลุธรรมแล้ว(เพราะข้าพเจ้าปล่อยวางทุกสิ่งหมดสิ้นลงในเวลานั้น)   ธรรมนั้นเป็นสิ่งประเสริฐยิ่งนัก ไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวอย่างพระอาจารย์พูดจริงๆ ไม่มีใครจะไปจับต้องได้อย่างที่พระอาจารย์พูดจริงๆ
“ธรรมเป็นอย่างนี้เองหรือ พระพุทธเจ้าบรรลุสิ่งนี้เองเหรอ ”
               สภาวะในเวลาขณะนั้นเหมือนกับพลิกของคว่ำให้หงายขึ้นจริงๆ ธรรมต่างๆ มันไหลเข้ามาเป็นสายๆ มันจะถามและมันจะตอบของมันเอง
“ตัวเรามี แต่ไม่มี”   “ตัวเราไม่มี แต่มี”
“ต้นไม้มี แต่ไม่มี”   “ต้นไม่มี แต่มี”
“ภูเขามี แต่ไม่มี”   “ภูเขาไม่มี แต่มี”
“หมามี แต่ไม่มี”   “หมาไม่มี แต่มี”
“พระอาจารย์มี แต่ไม่มี”   “พระอาจารย์ไม่มี แต่มี”
“พระพุทธเจ้ามี แต่ไม่มี”   “พระพุทธเจ้าไม่มี แต่มี”
“ความตายมี แต่ไม่มี”   “ความตายไม่มี แต่มี”
               ธรรมนั้นจะถามและตอบในตัวเองเสร็จ จนสิ้นสงสัย ก็จะหยุด ข้าพเจ้าจึงได้รู้ว่าพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ และพระพุทธเจ้า บรรลุในธรรมเดียวกัน แต่ปล่อยวางได้ไม่เท่ากัน มีพระอรหันต์อย่างเดียวที่ปล่อยวางได้หมด ส่วนพระอริยะขั้นต้นนั้นยังปล่อยวางไม่ได้หมด พระโสดาบันนั้นก็ตรงกับคำว่าโสดาจริงๆ เพราะคำว่าโสดาหมายถึงผู้แรกเห็น และเป็นผู้แรกเห็นจริงๆ  เห็นแต่ยังปล่อยวางไม่ได้
               ธรรมของข้าพเจ้าในวันนั้น สรุปได้เพียงสั้นๆ ว่า

                                            “ความตายไม่มี”
               เมื่อข้าพเจ้ารู้ธรรมเดียวกับที่พระพุทธเจ้ารู้แล้ว ก็เข้าใจพระองค์ว่าทำไมพระองค์จึงคิดที่จะไม่สอนธรรมในตอนแรก เพราะธรรมนั้นเป็นเรื่องละเอียดยิ่งนัก
             เมื่อบรรลุธรรมแล้วข้าพเจ้าก็อยู่กับพระอาจารย์อีกระยะหนึ่งเพื่อศึกษาการละกิเลสบางตัวที่มีอยู่ แล้วในที่สุดก็ต้องลาจากเพศของนักบวชออกมา โดยที่ท่านพระอาจารย์เป็นผู้สึกให้ เพราะยังมีภาระตามสมมุติบัญญัติของความเป็นลูกของความเป็นพี่อยู่ จึงสึกออกมาทำสมมุติบัญญัตินั้น และเนื่องด้วย เมื่อบรรลุธรรมแล้วจึงรู้ว่าอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติธรรมได้
            ข้าพเจ้าก็ทำงานอยู่ระยะหนึ่งและก็กลับไปเรียนต่อ ปัจจุบัน (พ.ศ. 2545) ข้าพเจ้าศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง ศึกษาระดับปริญญาตรีอยู่ปี 3 ด้านฟิสิกส์ เนื่องด้วยข้าพเจ้าอายุยังน้อยจึงไม่สามารถที่จะแสดงตนและสอนธรรมใครได้ ข้าพเจ้ามีลูกศิษย์อยู่เป็นจำนวนมาก แต่เป็นมนุษย์เพียงคนเดียว เหตุผลเพราะว่าข้าพเจ้าไม่กล้าที่จะบอกใครว่าข้าพเจ้าบรรลุธรรมกลัวเขาไม่เชื่อกลัวจะหาว่าข้าพเจ้าบ้า
               ข้าพเจ้า จัดทำ WEBSITE นี้ขึ้นมิใช่เพื่อต้องการอวดอ้างตนว่าเป็นผู้บรรลุธรรม แต่เพื่อต้องการตอบปัญหาธรรมแก่ผู้ใฝ่ธรรม ที่ต้องติดอยู่ในความสงสัยในธรรม แล้วไม่รู้จะไปถามกับใคร และไม่แน่ใจว่าที่ตนเคยไปถามธรรมกับครูอาจารย์นั้นถูกต้องหรือไม่ เนื่องด้วยไม่แน่ใจว่าครูอาจารย์ของตนเข้าถึงธรรมหรือยัง เพราะอาจจะได้แต่ดำรงหรือสมาธิอย่างเดียวก็ได้ เพราะผู้เข้าถึงดำรงหรืออรูปดำรงนั้นได้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผู้บรรลุธรรม  ดีไม่ดีอาจจะติดในดำรง แล้วหลงเข้าใจว่านั้นคือมรรคผลนิพาน จึงสอนให้ผู้อื่นเข้าไปติด เข้าไปหลงตาม
               ข้าพเจ้าจึงไม่ขอแสดงตนว่าข้าพเจ้าเป็นใครและไม่ขอกล่าวนามอาจารย์ของข้าพเจ้าในที่นี้ และขอความกรุณาผู้ที่รู้ว่าข้าพเจ้าเป็นใคร และรู้ว่าอาจารย์ของข้าพเจ้าเป็นใคร กรุณาอย่าได้เขียน หรือเอ่ยนามของชื่อข้าพเจ้า หรือนามอาจารย์ของข้าพเจ้าในที่ใดๆ

สารบัญปัญหาธรรม

ปัญหาธรรมข้อที่ 1       เราจะไปนิพพานได้อย่างไร ?
ปัญหาธรรมข้อที่ 2      แสงแห่งธรรมเป็นเช่นไร ?
ปัญหาธรรมข้อที่ 3       มีครอบครัวแล้วสามารถบรรลุธรรมได้หรือไม่ ?
ปัญหาธรรมข้อที่ 4       เราจะต้องสร้างบารมีอีกกี่ชาติถึงจะบรรลุธรรม ?
ปัญหาธรรมข้อที่ 5       ปัจจุบันนี้พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่ใด ?
 ปัญหาธรรมข้อที่ 6       เเขาว่ากันว่าใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ฉะนั้นหมายความว่าธรรมนั้นบรรลุได้ด้วยใจใช่หรือไม่ ?
 ปัญหาธรรมข้อที่ 7       ธรรมคืออะไร ?
ปัญหาธรรมข้อที่ 8       นิพพานเป็น อัตตา หรือ อนัตตา ?
ปัญหาธรรมข้อที่ 9       บรรลุธรรมจริงหรือไม่ ?
ปัญหาธรรมข้อที่ 10      ที่ท่านกล่าวว่า ความตายนั้นไม่มี  หมายความว่าอย่างไร?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่