สวัสดีเดือนกันยายนที่ไม่เหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา เนื่องจากปี 2563 นี้ มีวันหยุดชดเชยสงกรานต์รวมแล้ว 4 วันติดกันเลย เราผู้เป็นมนุษย์เงินเดือนที่ไม่ได้หยุดตามเทศกาลเหมือนคนอื่นเค้าเลยต้องรีบสรรหาทริปสั้นๆและใช้เวลาเดินทางน้อยเพื่อประหยัดเวลาให้ได้มากที่สุด ก็เลยมองหาจังหวัดใกล้ๆกับกรุงเทพฯโดยมีเหตุผลประกอบการตัดสินใจดังนี้
• คนไม่เยอะ ไม่แออัดจนเกินไป
• เดินทางสะดวก เพราะเราขับรถไปเอง
• มีแลนด์มาร์คให้เราไปหลายที่
สุดท้าย ต้องมีของกิน!!!! ซึ่งบทสรุปของการเลือกสถานที่ก็ไปตกที่
''จังหวัดพระนครศรีอยุธยา'' เพราะเป็นจังหวัดที่ใกล้ตัวเมืองกรุงเทพฯพอสมควรและเหมาะกับการเดินทางไปเช้า-เย็น กลับ มาก (กอ.ไก่ล้านตัว)
วันเดินทาง 5 กันยายน 2563
_________________# เครื่องติด #_____________________
• เราใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ-อยุธยา ในเวลาอันสั้นประมาณ 1.30 ชม.(ใช้บริการทางด่วนพิเศษ) ถนนโล่งมาก,รถน้อย แค่การเดินทางก็ฟินมากแล้ว
เวลา 10.45 น. สี่ล้อของเราแตะถึงอยุธยา และนี่ก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เรามีโอกาสมาเที่ยวจังหวัดนี้สถานที่แรกที่เราปักหมุดไว้ ได้แก่ ''บ้านป้อมเพชร (Baan Pomphet)’’
ถึงแล้วจ้า..บอกเลยว่าตามรีวิวเพื่อนมาอีกทีสำหรับ บ้านป้อมเพชร มาถึงก็ลุ้นว่าจะมีโต๊ะนั่งไหม เพราะเรามาแบบ walk in(แอบหวั่นใจอยู่เหมือนกัน) แต่แล้วก็มีสิ่งดีๆเกิดขึ้น เพราะร้านไม่เต็ม ยังมีที่ว่าสำหรับเรา เย้
เติมพลังให้ท้องด้วยกาแฟซักแก้ว เราคิดว่าจุดเด่นของที่นี่ไม่ได้มีแค่กำแพงอิฐเพียงอย่างเดียว แต่อาหารและเครื่องดื่มก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์เหมือนกัน (ความอร่อยให้เต็มสิบ เพราะเราเน้นเก็บเกี่ยวบรรยากาศ แต่ราคาแอบแรงนิดนึง) ถือว่าไม่ผิดหวังสำหรับแลนด์มาร์คแรกของเรา
นอกจากอาหารและเครื่องดื่มแล้วขอเก็บเป็นภาพบรรยากาศของร้านในมุมเล็กบ้าง เพราะส่วนตัวเราจะไม่ค่อยชอบคนเยอะสักเท่าไรก็เลยหามุมที่คนน้อยเก็บมาไว้ที่คลังภาพของเรา โดยรวมถือว่าค่อนข้างประทับใจมากยิ่งมุมที่เป็นโซนห้องพักก็เงียบสงบดี เพราะเราจะได้เห็นถึงวิถีชีวิตที่ติดแม่น้ำขนานแท้จริงๆนอกจากนี้โซน out door ด้านล่างยังมีที่นั่งเพิ่มอีกด้วยจึงอยากให้เก็บบ้านป้อมเพชรเป็นหนึ่งในตัวเลือกสำหรับการพักค้างคืนในอยุธยา.
หลังจากเก็บภาพและบรรยากาศจากจุดที่หนึ่งเสร็จแล้ว เราจะมุ่งไปที่วัดมหาธาตุกันต่อเลย
ไฮไลท์เด็ดคงจะเป็นเศียรพระพุทธรูปที่ถูกพันล้อมด้วยต้นโพธิ์
บอกเลยแอบขนลุกเบาๆ เพราะเห็นภาพนี้แล้วนึกถึงตอนดูหนังเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สมัยอยุธยาเลย คิดแล้วก็ปลื้มใจที่คนรุ่นหลังอย่างเรายังได้เห็นโบราณสถานเหล่านี้ นอกจากนี้ยังมีซากพระพุทธรูป พระปรางค์ แล้วก็เจดีย์ที่ยังคงเหลืออยุธยา มันทำให้เรานึกถึงความเจริญรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ในอดีตอีกด้วย
ถัดมาจากวัดมหาธาตุ ปรากฎว่าสายฝนเริ่มโปรยปรายลง จากฝนเม็ดเล็กก็เริ่มเทลงมาเป็นระรอกใหญ่ทำให้ต้องหาที่หลบฝนเป็นการด่วน โดยสถานที่ที่เราเลือกนั้นคือ ‘’บุษบา คาเฟ่’’ เสี่ยงดวงอีกเหมือนเพราะเวลาปกติฝนไม่ตกคนก็จะเต็มร้านแบบต้องเข้าคิวรอแล้วมีฝนตกลงมาจะมีที่ว่างสำหรับเราไหมหนา ปรากฎว่าคนเต็มร้านจริงดั่งใจคิดแต่ก็มีพื้นที่อันน้อยนิดด้านนอกของร้านไว้ให้เรา โชคดีมาก
พูดถึงจุดเด่นของร้านนี้คงหนีไม่พ้นโฮสเทลทรงไทยสีขาวสะอาดตาของร้าน เชื่อว่าใครแวะมาก็จะต้องเก็บภาพของโฮสเทลนี้ไว้ในคลังภาพของตัวเองเป็นแน่
บุษบา คาเฟ่ ถือว่าโดดเด่นเรื่องอาหารและเครื่องดื่มอยู่พอสมควร สำหรับเราในใจคิดว่าเมนูที่สร้างความประทับใจก็คงจะเป็นของหวานสไตล์ไทยแท้อย่างบัวลอยอัญชัญน้ำกะทิทรงเครื่อง เสริฟพร้อมกับน้ำอัญชัญมะนาวโซดา ซาบซ่าถึงใจและยังช่วยตัดความหวานของบัวลอยได้จนไม่เลี่ยนเลย เต็มสิบไม่มีหักเลยร้านนี้ ของหวานเค้าจัดว่าเด็ด ยกนิ้วโป้งให้เลย
หลังจากใส่ของหวานลงท้องเรียบร้อย ฝนซาฟ้าเริ่มใส กองทัพก็เริ่มเดินทางต่อไปยังจุดที่สามของทริปเราตั้งใจไว้ว่ามาถึงอยุธยาแล้วจะต้องไปกราบไหว้พระนเรศวรมหาราชที่ วัดใหญ่ชัยมงคล เพื่อเป็นการเอาฤกษเอาชัย เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต สาธุ
จุดเด่นของวัดนี้เรามอบให้กับพระเจดีย์องค์ใหญ่ที่สามารถเดินขึ้นไปชมด้านบนได้ แต่ด้วยความที่คนด้านบนค่อยข้างเยอะเราจึงเลือกที่จะอยู่ด้านล่างดีกว่า เพื่อเก็บภาพต่างๆรอบพระเจดีย์มาไว้ในความทรงจำ เราเห็นถึงความสามารถของคนสมัยก่อนที่สร้างวัด สร้างเจดีย์ขึ้นมาสวยงามมากมายให้ควรค่าแก่คนรุ่นหลังอย่างเราได้ชื่นชมและทำนุบำรุงอีกด้วย
ถัดมาถึงตอนบ่ายแก่ๆ สักเวลาประมาณ 16:00 น. เราตั้งใจจะไปให้ได้อีกหนึ่งวัด เพื่อสักการะขอพรให้เราประสบความสำเร็จ โดยเราเลือกจะขับรถออกจากวัดใหญ่ชัยมงคล เลี้ยวซ้ายแล้วขับตรงไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร เพื่อเข้าไปที่ วัดพนัญเชิงวรวิหาร มาถึงวัดนี้บอกเลยมัวแต่งตกตะลึงกับจุดไหว้บูชาต่างๆของวัด ซึ่งมีขนาดใหญ่และมีหลายจุดมาก ที่โดดของวัดนี้ก็จะมีพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดอยุธยา นอกจากไหว้พระแล้วเราไม่ลืมที่จะนั่งชมวิวรอบแม่น้ำและวิถีชีวิตของชาวบ้านที่สัญจรไปมาโดยใช้เรือเป็นพาหนะอีกด้วย แต่เสียดายที่เราหมดแรงจะเก็บภาพจุดนี้แล้วเพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้องนั้นบอกว่า พลังงานของคุณใกล้หมดแล้วกรุณาเติมด่วน ฮ่า ฮ่า พอออกจากวัดพนัญเชิงวรวิหารแล้วก็ตรงไปยัง ‘’ร้านบ้านไม้ริมน้ำ’’ ที่เลือกร้านนี้เพราะส่วนนึงแอบดูรีวิวจากแดนและแพ็ตตี้ที่มาทานอาหารร้านนี้
เมนูเด็ดของร้าน คือกุ้งเผาตัวแบบใหญ่ 5 ตัวโล ในราคาเป็นมิตร 1,500 บาท ก็ถือว่าคุ้มค่าแก่การมาอยุธยามาก เพราะเค้าบอกว่ามาอยุธยาต้องมาโดนกุ้งเผาไม่งั้นถือว่ามาไม่ถึงนะจ๊ะ นอกจากเมนูกุ้งเผาเราก็สั่งมาเสริมอีกสองอย่าง ถือว่าอิ่มจนพุงกางไปตามกัน
กุ้งเนื้อแน่น มีมันเยิ้มตรงส่วนหัว น้ำจิ้มรสเด็ด ปลื้อปลิ่มมากเมนูนี้.
ปิดท้ายทริปนี้ยกให้กับร้านคาเฟ่สุดฮอตฮิตประจำเมืองเก่า ‘’ปรางวิว คาเฟ่’’ แลนด์มาร์คที่ใครมาแล้วต้องมาเก็บรูปและบรรยากาศกลับไปเนื่องจากตัวร้านอยู่ตรงข้ามกับวัดราชบูรณะจึงมองเห็นวิววัดและพระปรางค์ต่างๆได้เต็มตาเลย เมนูร้านวันนี้จำได้ว่าสั่งโอริโอ้ปั่นไปแก้วเดียวเพราะต้องรีบเก็บภาพก่อนพระอาทิตย์จะตกดินและลาลับไป
จบทริปอยุธยาพาเพลินในหนึ่งวันของมนุษย์เงินเดือนเวลาน้อยอย่างเราแล้ว เต็มสิบไม่มีหักสักคะแนนเลย ถือว่าเป็รการเปิดประสบการณ์ใหม่กับจังหวัดใกล้กรุงเทพฯมันทำให้เราปลื้มปริ่ม ประทับใจอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นภาพโบราณสถาน สถานี่สำคัญต่างๆในสมัยอยุธยา รวมไปถึงร้านค้าวิถีชีวิตของคนในสมัยใหม่ที่มีความกลมกลืนร่วมกับกับเมืองประวัติศาสตร์ใจเราเลยอดไม่ได้ที่ต้องมาทำรีวิวให้ใครที่กำลังนึกถึงทริปสั้นๆแบบ one day trip อยากให้ลองเก็บไว้เป็นตัวเลือกในการเดินทาง เราเชื่อว่าถ้าลองมาสัมผัสด้วยตัวเองแล้วจะติดใจและต้องหาเวลากลับมาที่อยุธยาอีกครั้งแน่นอน......
One day trip สุดหรรษา อยุธยา ...พาเพลิน
• คนไม่เยอะ ไม่แออัดจนเกินไป
• เดินทางสะดวก เพราะเราขับรถไปเอง
• มีแลนด์มาร์คให้เราไปหลายที่
สุดท้าย ต้องมีของกิน!!!! ซึ่งบทสรุปของการเลือกสถานที่ก็ไปตกที่
''จังหวัดพระนครศรีอยุธยา'' เพราะเป็นจังหวัดที่ใกล้ตัวเมืองกรุงเทพฯพอสมควรและเหมาะกับการเดินทางไปเช้า-เย็น กลับ มาก (กอ.ไก่ล้านตัว)
วันเดินทาง 5 กันยายน 2563
_________________# เครื่องติด #_____________________
• เราใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ-อยุธยา ในเวลาอันสั้นประมาณ 1.30 ชม.(ใช้บริการทางด่วนพิเศษ) ถนนโล่งมาก,รถน้อย แค่การเดินทางก็ฟินมากแล้ว
เวลา 10.45 น. สี่ล้อของเราแตะถึงอยุธยา และนี่ก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เรามีโอกาสมาเที่ยวจังหวัดนี้สถานที่แรกที่เราปักหมุดไว้ ได้แก่ ''บ้านป้อมเพชร (Baan Pomphet)’’
ถึงแล้วจ้า..บอกเลยว่าตามรีวิวเพื่อนมาอีกทีสำหรับ บ้านป้อมเพชร มาถึงก็ลุ้นว่าจะมีโต๊ะนั่งไหม เพราะเรามาแบบ walk in(แอบหวั่นใจอยู่เหมือนกัน) แต่แล้วก็มีสิ่งดีๆเกิดขึ้น เพราะร้านไม่เต็ม ยังมีที่ว่าสำหรับเรา เย้
เติมพลังให้ท้องด้วยกาแฟซักแก้ว เราคิดว่าจุดเด่นของที่นี่ไม่ได้มีแค่กำแพงอิฐเพียงอย่างเดียว แต่อาหารและเครื่องดื่มก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์เหมือนกัน (ความอร่อยให้เต็มสิบ เพราะเราเน้นเก็บเกี่ยวบรรยากาศ แต่ราคาแอบแรงนิดนึง) ถือว่าไม่ผิดหวังสำหรับแลนด์มาร์คแรกของเรา
นอกจากอาหารและเครื่องดื่มแล้วขอเก็บเป็นภาพบรรยากาศของร้านในมุมเล็กบ้าง เพราะส่วนตัวเราจะไม่ค่อยชอบคนเยอะสักเท่าไรก็เลยหามุมที่คนน้อยเก็บมาไว้ที่คลังภาพของเรา โดยรวมถือว่าค่อนข้างประทับใจมากยิ่งมุมที่เป็นโซนห้องพักก็เงียบสงบดี เพราะเราจะได้เห็นถึงวิถีชีวิตที่ติดแม่น้ำขนานแท้จริงๆนอกจากนี้โซน out door ด้านล่างยังมีที่นั่งเพิ่มอีกด้วยจึงอยากให้เก็บบ้านป้อมเพชรเป็นหนึ่งในตัวเลือกสำหรับการพักค้างคืนในอยุธยา.
หลังจากเก็บภาพและบรรยากาศจากจุดที่หนึ่งเสร็จแล้ว เราจะมุ่งไปที่วัดมหาธาตุกันต่อเลย
ไฮไลท์เด็ดคงจะเป็นเศียรพระพุทธรูปที่ถูกพันล้อมด้วยต้นโพธิ์
บอกเลยแอบขนลุกเบาๆ เพราะเห็นภาพนี้แล้วนึกถึงตอนดูหนังเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สมัยอยุธยาเลย คิดแล้วก็ปลื้มใจที่คนรุ่นหลังอย่างเรายังได้เห็นโบราณสถานเหล่านี้ นอกจากนี้ยังมีซากพระพุทธรูป พระปรางค์ แล้วก็เจดีย์ที่ยังคงเหลืออยุธยา มันทำให้เรานึกถึงความเจริญรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ในอดีตอีกด้วย
ถัดมาจากวัดมหาธาตุ ปรากฎว่าสายฝนเริ่มโปรยปรายลง จากฝนเม็ดเล็กก็เริ่มเทลงมาเป็นระรอกใหญ่ทำให้ต้องหาที่หลบฝนเป็นการด่วน โดยสถานที่ที่เราเลือกนั้นคือ ‘’บุษบา คาเฟ่’’ เสี่ยงดวงอีกเหมือนเพราะเวลาปกติฝนไม่ตกคนก็จะเต็มร้านแบบต้องเข้าคิวรอแล้วมีฝนตกลงมาจะมีที่ว่างสำหรับเราไหมหนา ปรากฎว่าคนเต็มร้านจริงดั่งใจคิดแต่ก็มีพื้นที่อันน้อยนิดด้านนอกของร้านไว้ให้เรา โชคดีมาก
พูดถึงจุดเด่นของร้านนี้คงหนีไม่พ้นโฮสเทลทรงไทยสีขาวสะอาดตาของร้าน เชื่อว่าใครแวะมาก็จะต้องเก็บภาพของโฮสเทลนี้ไว้ในคลังภาพของตัวเองเป็นแน่
บุษบา คาเฟ่ ถือว่าโดดเด่นเรื่องอาหารและเครื่องดื่มอยู่พอสมควร สำหรับเราในใจคิดว่าเมนูที่สร้างความประทับใจก็คงจะเป็นของหวานสไตล์ไทยแท้อย่างบัวลอยอัญชัญน้ำกะทิทรงเครื่อง เสริฟพร้อมกับน้ำอัญชัญมะนาวโซดา ซาบซ่าถึงใจและยังช่วยตัดความหวานของบัวลอยได้จนไม่เลี่ยนเลย เต็มสิบไม่มีหักเลยร้านนี้ ของหวานเค้าจัดว่าเด็ด ยกนิ้วโป้งให้เลย
หลังจากใส่ของหวานลงท้องเรียบร้อย ฝนซาฟ้าเริ่มใส กองทัพก็เริ่มเดินทางต่อไปยังจุดที่สามของทริปเราตั้งใจไว้ว่ามาถึงอยุธยาแล้วจะต้องไปกราบไหว้พระนเรศวรมหาราชที่ วัดใหญ่ชัยมงคล เพื่อเป็นการเอาฤกษเอาชัย เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต สาธุ
จุดเด่นของวัดนี้เรามอบให้กับพระเจดีย์องค์ใหญ่ที่สามารถเดินขึ้นไปชมด้านบนได้ แต่ด้วยความที่คนด้านบนค่อยข้างเยอะเราจึงเลือกที่จะอยู่ด้านล่างดีกว่า เพื่อเก็บภาพต่างๆรอบพระเจดีย์มาไว้ในความทรงจำ เราเห็นถึงความสามารถของคนสมัยก่อนที่สร้างวัด สร้างเจดีย์ขึ้นมาสวยงามมากมายให้ควรค่าแก่คนรุ่นหลังอย่างเราได้ชื่นชมและทำนุบำรุงอีกด้วย
ถัดมาถึงตอนบ่ายแก่ๆ สักเวลาประมาณ 16:00 น. เราตั้งใจจะไปให้ได้อีกหนึ่งวัด เพื่อสักการะขอพรให้เราประสบความสำเร็จ โดยเราเลือกจะขับรถออกจากวัดใหญ่ชัยมงคล เลี้ยวซ้ายแล้วขับตรงไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร เพื่อเข้าไปที่ วัดพนัญเชิงวรวิหาร มาถึงวัดนี้บอกเลยมัวแต่งตกตะลึงกับจุดไหว้บูชาต่างๆของวัด ซึ่งมีขนาดใหญ่และมีหลายจุดมาก ที่โดดของวัดนี้ก็จะมีพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดอยุธยา นอกจากไหว้พระแล้วเราไม่ลืมที่จะนั่งชมวิวรอบแม่น้ำและวิถีชีวิตของชาวบ้านที่สัญจรไปมาโดยใช้เรือเป็นพาหนะอีกด้วย แต่เสียดายที่เราหมดแรงจะเก็บภาพจุดนี้แล้วเพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้องนั้นบอกว่า พลังงานของคุณใกล้หมดแล้วกรุณาเติมด่วน ฮ่า ฮ่า พอออกจากวัดพนัญเชิงวรวิหารแล้วก็ตรงไปยัง ‘’ร้านบ้านไม้ริมน้ำ’’ ที่เลือกร้านนี้เพราะส่วนนึงแอบดูรีวิวจากแดนและแพ็ตตี้ที่มาทานอาหารร้านนี้
เมนูเด็ดของร้าน คือกุ้งเผาตัวแบบใหญ่ 5 ตัวโล ในราคาเป็นมิตร 1,500 บาท ก็ถือว่าคุ้มค่าแก่การมาอยุธยามาก เพราะเค้าบอกว่ามาอยุธยาต้องมาโดนกุ้งเผาไม่งั้นถือว่ามาไม่ถึงนะจ๊ะ นอกจากเมนูกุ้งเผาเราก็สั่งมาเสริมอีกสองอย่าง ถือว่าอิ่มจนพุงกางไปตามกัน
กุ้งเนื้อแน่น มีมันเยิ้มตรงส่วนหัว น้ำจิ้มรสเด็ด ปลื้อปลิ่มมากเมนูนี้.
ปิดท้ายทริปนี้ยกให้กับร้านคาเฟ่สุดฮอตฮิตประจำเมืองเก่า ‘’ปรางวิว คาเฟ่’’ แลนด์มาร์คที่ใครมาแล้วต้องมาเก็บรูปและบรรยากาศกลับไปเนื่องจากตัวร้านอยู่ตรงข้ามกับวัดราชบูรณะจึงมองเห็นวิววัดและพระปรางค์ต่างๆได้เต็มตาเลย เมนูร้านวันนี้จำได้ว่าสั่งโอริโอ้ปั่นไปแก้วเดียวเพราะต้องรีบเก็บภาพก่อนพระอาทิตย์จะตกดินและลาลับไป
จบทริปอยุธยาพาเพลินในหนึ่งวันของมนุษย์เงินเดือนเวลาน้อยอย่างเราแล้ว เต็มสิบไม่มีหักสักคะแนนเลย ถือว่าเป็รการเปิดประสบการณ์ใหม่กับจังหวัดใกล้กรุงเทพฯมันทำให้เราปลื้มปริ่ม ประทับใจอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นภาพโบราณสถาน สถานี่สำคัญต่างๆในสมัยอยุธยา รวมไปถึงร้านค้าวิถีชีวิตของคนในสมัยใหม่ที่มีความกลมกลืนร่วมกับกับเมืองประวัติศาสตร์ใจเราเลยอดไม่ได้ที่ต้องมาทำรีวิวให้ใครที่กำลังนึกถึงทริปสั้นๆแบบ one day trip อยากให้ลองเก็บไว้เป็นตัวเลือกในการเดินทาง เราเชื่อว่าถ้าลองมาสัมผัสด้วยตัวเองแล้วจะติดใจและต้องหาเวลากลับมาที่อยุธยาอีกครั้งแน่นอน......