คน..ปากดี 10

คน...ปากดี 10

เล่าเรื่องที่ไปเข้าเรียนคอร์ส...ศิลปศาสตร์การพูด
ซึ่งนึกไม่ถึงว่าจะ สนุก และมันส์มาก
ได้ทั้งความรู้ที่เป็นหลักการ และหัวใจ ของการขึ้นพูดบนเวที
จากที่เคยหวาดหวั่นเมื่อใครยื่นไมโครโฟนให้เราพูด
กลับกลายเป็นว่า เรียนแล้วร้อนวิชาอยากจะไปหาโอกาสแสดงฝีมือ ฝีปาก 
ให้คนทั้งโลกได้ฟัง ได้เห็นซะบ้าง

ยิ่งเมื่อเรียนจบ 3 วันแล้ว
ผมได้ความคิดอะไรดี ๆ มากมายหลายอย่าง ที่ไม่เคยนึกมาก่อน
สิ่งแรกเลย....การฝึกพูด หรือการพูดได้ดีในที่ประชุมชน
มันคือ อาวุธลับ ที่ทำให้เราก้าวล้ำหน้าเพื่อน ๆ ในรุ่นเดียวกัน
หรือ ก้าวกระโดดในตำแหน่งหน้าที่การงาน

เหมือนดังที่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า รัชการที่ 6
ท่านทรงเขียนไว้ในละคร...วิวาห์พระสมุทร ว่า

“ ปากเป็นเอก เลขเป็นโท โบราณว่า 
หนังสือตรี มีปัญญา ไม่เสียหลาย   
ถึงรู้มาก ไม่มีปาก ลำบากกาย 
มีอุบาย พูดไม่เป็น เห็นป่วยการ ”

ในความหมายก็คือ...คนเราถึงจะเก่งกาจมีความรู้มากมายแค่ไหน
หากว่า พูด ไม่เป็น แสดงออกมาไม่ได้ก็ป่วยการ เก่งแต่ไม่ก้าวหน้า
สิ่งที่จะนำพาให้เรา ก้าวไปยืนอยู่ล้ำหน้าคนอื่นที่มีความรู้ ความสามารถพอ ๆ กัน
เพื่อน ๆ ที่เรียนจบมารุ่นเดียวกัน 
หรือ เพื่อนร่วมงานที่เข้ามาพร้อมกัน ตำแหน่งหน้าที่ระดับเดียวกัน

อาวุธลับ หรือศักยภาพที่ซ่อนเร้นไว้ คือ....การพูดในที่ชุมชน
คนที่ฝึกซ้อมการพูดไว้เสมอ ๆ เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้ หรือสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย
มันคือโอกาสทอง ที่ลอยผ่านเข้ามา
คุณจะกลับกลายจากคนธรรมดา เป็น ....ดาวเด่น โดดเด้งขึ้นมาทันที
คนทั้งหลาย และเจ้านายจะจดจำคุณได้แม่น และพวกเค้าต้องประเมินคุณใหม่
จะถูกจับตามองจากผู้ใหญ่ ว่าคน ๆ นี้ มีแวว มีศักยภาพของการเป็นผู้นำ
เค้าจะจำชื่อคุณได้แน่นอน โอกาสก้าวหน้ามารออยู่ทันที

แต่ในทางกลับกัน เมื่อสถานการณ์จวนตัว จำใจต้องขึ้นไปพูดต่อหน้า...เจ้านาย ผู้ใหญ่
ถ้าไม่เคยเรียนรู้ หรือฝึกฝนมาเลย
ไม่รู้จักมารยาท แบบแผน หรือพูดออกมาแล้ว...ยิ่งพูด ก็ยิ่งแย่
คนพวกนี้ก็จะถูกมองว่าเป็นแค่...คนธรรมดา หรือคนทั่วไป
มันเศร้านะ ที่เวลาเจ้านายมองมา แต่เค้าไม่เห็นเราอยู่ในสายตาสักนิดเลย

เพื่อน ๆ ที่มาเข้าเรียนด้วยกัน หลายคนที่ดู ธรรมด๊าา ธรรมดา
หรือเห็นครั้งแรก ๆ ออกจะต่ำกว่ามาตรฐานซะด้วยซ้ำไป
แต่พอพวกเค้าได้ความรู้  ได้เทคนิค ได้ฝึกฝน ทั้งถูกอาจารย์เคี่ยวกรำแค่ 2 วันเท่านั้น
กลายเป็นคนละคน จากต่ำกว่าเส้นมาตรฐาน 
กระโดดพรวดเป็น เพชร ที่เจียรนัย เริ่มส่องประกายแวววาวออกมาแล้ว

เห็นได้ชัดจากการที่พวกเรา ถูกสั่งให้ไปทำการบ้าน
ให้ไปคิด ไปเตรียมตัวออกมาพูดเรื่อง....ความประทับใจ

คนแรกคือ พี่เสก...วันแรกมองยังไง ๆ ก็ โลว์โซ 
แต่วันต่อมาเค้า เปลี่ยนใหม่หมด ทั้งเสื้อผ้า หน้า ผม
กลายเป็นหนุ่มใหญ่นักบริหาร
แต่...ไม่เท่ากับเรื่องที่เค้าพูด
พี่เสก เล่าว่า....แต่ก่อนนั้นก็เป็นแค่พนักงานไปรษณีย์ธรรมดา คนหนึ่ง
เมื่อได้ประจำการ ก็จะเลือกจังหวัดที่มี...บ้านพัก ให้อยู่ฟรี ๆ
ด้วยความคิดแค่ว่า...ประหยัดดี ไม่ต้องซื้อบ้านของตัวเองให้เปลือง
จนค่ำวันหนึ่ง ลูกสาวตัวน้อยถามขึ้นมาในตอนจะเข้านอนว่า....
.........พ่อคะ เรามีบ้านมั้ย คะ
คำถามของเด็กไม่กี่ขวบ มันฟังดูธรรมดาสำหรับคนอื่น
แต่กับคนเป็นพ่ออย่าง พี่เสก มันเสียดแทงเข้าไปในหัวใจอย่างไม่ทันตั้งตัว
คืนนั้นเค้านอนไม่หลับเลย ใจมันสั่น ใจมันเจ็บ
พอตอนเช้า เค้ารีบเข้าไปบอกกับภรรยาว่า
.....ต่อไปนี้ ผมจะขยันทำงานให้มาก ๆ ยิ่งขึ้น เพื่อที่จะซื้อบ้านเป็นของเราเอง
ตั้งแต่วันนั้นมา พี่เสกก็ถือคติว่า...ทำทุกอย่างที่คิดว่าดี จะทำดีเท่าที่จะทำได้ เพื่อลูก เพื่อครอบครัว
แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างขยันขันแข็ง อย่างหนักเอาเบาสู้ อย่างมีเป้าหมาย
จนในที่สุด เค้าก็สามารถมีบ้าน มีรถ เจริญก้าวหน้าในสายงานให้กับครอบครัวตามที่สัญญาไว้
แต่...น่าเสียดาย ภรรยาสุดที่รักกลับจากไปด้วยโรคร้าย
ก่อนจะได้เห็นความสำเร็จ ที่เค้าตั้งใจทำให้กับเธอ และลูกสาวตัวน้อย ๆ
ซึ่งชั่วเวลาไม่กี่นาที ที่ พี่เสก เค้าขึ้นไปพูด
มันเต็มไปด้วยท่าทาง น้ำเสียง สีหน้า ที่บอกถึง ทั้งความภาคภูมิใจในตัวเอง
ที่แอบซ่อนความเศร้า อยู่ลึก ๆ อย่างชัดเจน
พี่เค้าสื่อออกมา ด้วยคำพูด และหัวใจ จริง ๆ

อีกคนหนึ่ง ที่ผมจำเรื่องของเธอได้ คือ....ครูปุ๋ม
เธอเล่าว่า สอนหนังสืออยู่ในภาคอีสานมาหลายปี
วันหนึ่ง เด็กนักเรียนเล่นแกล้งกันจนเธอต้องเข้าไปตัดสิน
คู่กรณี คือเด็กหญิง ที่กำลังจะโต อยู่ระหว่างช่วงต่อของวัยเด็ก และวัยสาว
ขณะที่กำลังไล่เรียงว่า ใครเริ่มก่อปัญหาขึ้นก่อน
แต่จู่ ๆ เด็กสาวคนนั้นกลับหันมาถามเธอว่า....ครูคะ เราเกิดมาทำไม คะ
ในตอนนั้น เธอทั้งอึ้ง และตกใจกับคำถามที่นึกไม่ถึงนี้
แต่ก็จำได้ถึงคำพูดที่ตอบไปว่า....คนเราเกิดมาก็เพื่อมารับ ทุกข์ นี่แหละ
ทั้งทุกข์ทางกาย และทุกข์ทางใจ
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น คือเมื่อเกิดมาแล้ว...เราสามารถเลือกใช้ชีวิตของเราเองได้
ว่าเราจะปล่อยให้ตัวเราตกต่ำ ย่ำแย่ ไร้ค่า กลายเป็น....ขยะเปียก ที่เน่าเหม็นของสังคม
หรือจะพัฒนาให้ชีวิต มันก้าวไปข้างหน้า จากคนธรรมดาที่ไม่มีอะไรเท่าเทียมคนอื่น
ขยัน อดทน ต่อสู้บากบั่น ทำให้ตัวเรามีคุณค่าเป็น เพชร ที่ส่องประกาย
หรือเป็นดั่งทองคำ ที่มีค่าเกินกว่าใคร ๆ ก็ได้
อยู่ที่เราเลือกเอาเอง ว่าเกิดมาแล้ว จะทำอะไร
และจะทำให้ชีวิตตัวเอง...เป็นอะไรมากกว่า

วันแรก กับวันที่ 2 ผมได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของทุกคน อย่างชัดเจน
ถ้าไม่ได้มาอยู่กับพวกเค้า ผมคงไม่ได้รับรู้ถึงความมหัศจรรย์ของ....ศิลปศาสตร์การพูด
มันไม่น่าเชื่อ และตื่นตา ตื่นใจ จริง ๆ 

เมื่อเรียนจบแล้ว พวกเราจะได้รับ คลิปที่อัดบันทึกการฝึกฝน การพูดบนเวทีจริงเกือบทั้งหมด
พอมาเปิดดูที่บ้านแล้ว โอ๊ยยย..... อับอายตัวเองมากมายเลยครับ
เพราะได้เห็นเลยว่า...ตัวเรามันช่างบกพร่อง หลายอย่างเหลือเกิน
แต่มันก็ทำให้เราได้เรียนรู้ ด้วยตาตัวเองเลยว่า...เราจะต้องปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
คลิปที่เห็นตัวเอง มันสะท้อนอย่าง ตรงไปตรงมาที่สุด
ว่าเรามีจุดอ่อน มีข้อด้อย หรือสิ่งที่ต้องฝึกฝนขัดเกลาอะไรอีกมากมายหลายอย่างเหลือเกิน

จริงอย่างสโลแกน ที่อาจารย์ตั้งไว้...
.... สอนเหมือนไม่สอน เรียนเหมือนไม่เรียน ....

เพราะมันทั้งได้ความรู้ ได้ฝึกฝน ได้เห็นจุดอ่อน จุดบอดของเรา
ได้เพื่อนดี ๆ หลายคน ได้ความมันส์ ความสนุก ความตื่นเต้น
และที่สำคัญ ผมได้...ตื่นตัว แล้วว่า
ศักยภาพของ...การพูด มันเป็นอาวุธลับ
ที่เราสามารถเอาชนะคนอื่นที่เคยคิดว่า.... เค้าเก่งกว่าเราได้

อนณ นิศารัตน์
โทร. - ไลน์ 
0931499564

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่