ปาริชาติ " ต้นไม้แห่งสวรรค์ ดอกไม้แห่งกามคุณเทวดานางฟ้า เรื่องราวกามนิต-วาสิฐี และ การระลึกชาติ

ดอกปาริชาต หรือ ยิ้ม___หลาง





ภาพต้นปาริชาต บนสวรรค์

........ " ปาริชาติ " ต้นไม้แห่งสวรรค์ ดอกไม้แห่งกามคุณเทวดานางฟ้า เรื่องราวกามนิต-วาสิฐี และ การระลึกชาติ " ต้นไม้และดอกไม้ เกสรที่พัวพันกับความรักความหลงไหล ในหลายความเชื่อทางศาสนา
.
( ....ต้นไม้ต้นนี้ สวรรค์ทางคริสต์ก็มีชื่อ Tree of Life ที่เหล่า บริวารของ Chamuel คอยดูแล ในฮินดู-คัมภีร์ภารตะ ต้นปาริชาตกล่าวถึง ต้นไม้ที่เกี่ยวข้องกับความรักพระกฤษณะ จนงานพิธี ไหว้พระกฤษณะ ชาวอินเดียจะนำดอกปาริชาตถวายท่านเป็นประจำ แต่ขอยกยอดไปครั้งหน้าครับ...... )


.
.
……..ต้นปาริชาต ( อีกชื่อคือ ต้นยิ้มหลาง ) ………..1ในต้น เบญจพฤกษาสวรรค์ ได้แก่
..ปาริชาต ...
..กัลปพฤกษ์ ...
..มณฑารพ ...
..หริจันทน์ ..
..สันตาน....
.....( ปาริชาต มีตำนานกันว่า ผู้ใดได้จุติจากเป็นเทวดา เป็นมนุษย์ ในเดือนมกราคม ไปดมกลิ่นดอกปาริชาติแล้วจะระลึกชาติที่อยู่บนสวรรค์ได้ )
.....แต่ ปาริชาติแต่ที่นิยมพูดถึงที่สุดเพราะ เป็นต้นไม้ที่วางอาสนะ แท่นศิลาอันหนึ่งชื่อว่า บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ยามเสด็จมาเยือนอุทายานของพระอินทร์บนสวรรค์
.....ถ้าดอกสีแดงจะเรียกว่า “มโนรมย์” ถ้าสีขาวหรือสีเหลืองจะเรียกว่า “สราญรมย์”
.
.... ต้นปาริชาต ซึ่งเป็นต้นไม้ทิพย์ นี้ 100 ปี ถึงจะออกดอก 1 คร้ง เมื่อถึงคราวนั้น ดอกไม้ในสวรรค์นี้ก็ใกล้จะบานสะพรั่ง เหล่าเทพบุตร เและ ทพธิดา ก็จะพากันมารื่นเริง ผลัดเปลี่ยนเวียนกันมาเฝ้าจนกว่าดอกไม้จะบาน
......ครั้งเมื่อดอกไม้สวรรค์บานแล้ว จะปรากฏแสงรุ่งเรืองงดงามยิ่งนัก รัศมีดอกปาริชาติจะส่องรัศมีรุ่งเรืองไปไกลหลายหมื่นวา เมื่อลมรำเพยพัดพาไปในทิศใด ย่อมส่งกลิ่นหอมไปในทิศนั้น เป็นระยะไกลแสนไกล ดอกไม้นี้จะบานสะพรั่งไปทุกกิ่งก้านทั่วทั้งต้น
.......ถ้าเทพบุตรเทพธิดาองค์ใดปรารถนาจะได้ดอกปาริชาตก็จะตกลงมาในมือดั่งรู้ใจ ถ้ายังไม่ได้รับในมือ ดอกก็ยังไม่ทันตกลงดิน โดยมีลมชนิดหนึ่ง จะพัดชูดอกไว้ในอากาศ จนกว่าเทพยดาผู้ใดประสงค์ก็จะมารับเอาไป (ไม่มีวันตกสู่พื้น หรือ ตกสู่ชั้นจตุมหาราชิกา)
.....ปาริชาต หรือปาริฉัตร เป็นต้นไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในไตรภูมิพระร่วง กล่าวไว้ว่า เมื่อต้นปาริชาติในดาวดึงส์บานเต็มที่แล้ว เทวดาชั้นดาวดึงส์ต่างพากันดีใจ เอิบอิ่มพรั่งพร้อมด้วย
.....กามคุณทั้ง ๕ บำรุงบำเรออยู่ตลอดระยะ ๕ เดือนทิพย์ ณ ใต้ต้นปาริชาต ซึ่งเมื่อบานเต็มที่แล้ว แผ่รัศมีไปได้ ๕๐ โยชน์ ในบริเวณรอบๆ และจะส่งกลิ่นไปได้ ๑๐๐ โยชน์ตามลม
……และภายใต้ร่มปาริชาต จะมีแท่นศิลาอันหนึ่งชื่อว่า....... " บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ มีสีแดงดังดอกชบาและอ่อนนุ่มดังฟูกทิพย์ ".....ขณะที่พระอินทร์นั่งบนแผ่นศิลานี้จะอ่อนยุบลงเหมือนนั่งบนปุยนุ่น
.......ปาริชาตนั้นไม่ใช่แค่ ดอกไม้สวรรค์ธรรมดา แต่มีความงามที่อัศจรรย์ ถึงขนาดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบกับ พุทธสาวกของพระองค์เลยทีเดียว ในคัมภีร์ทางศาสนา โดยพระพุทธองค์ตรัสว่า
........“สมัยใด อริยสาวกคิดออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยนั้นอริยสาวกเปรียบเหมือนปาริฉัตต์ของเทวดาชั้นดาวดึงส์ มีใบเหลือง สมัยใด อริยสาวกปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต สมัยนั้นอริยสาวกเปรียบเหมือนปาริฉัตต์ของเทวดาชั้นดาวดึงส์ ผลัดใบใหม่
........สมัยใด อริยสาวกสงัดจากกามและอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติ และสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ สมัยนั้น อริยสาวกเปรียบเหมือนปาริฉัตต์ของเทวดาชั้นดาวดึงส์ ผลิดอกออกใบ
........สมัยใด อริยสาวกบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ สมัยนั้น อริยสาวกเปรียบเหมือนปาริฉัตต์ของเทวดาชั้นดาวดึงส์เป็นดอกออกใบ
........สมัยใด อริยสาวกมีอุเบกขา สติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกายเพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้าสรรเสริญว่าผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข สมัยนั้น อริยสาวกเปรียบเหมือนปาริฉัตต์ของเทวดาชั้นดาวดึงส์ เป็นดอกตูม
........สมัยใด อริยสาวกบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขเพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ เสียได้ มีอุเบกขา สมัยนั้น อริยสาวกเปรียบเหมือนปาริฉัตต์ของเทวดาชั้นดาวดึงส์เริ่มแย้ม
........สมัยใด อริยสาวกทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันหาอาสวะมิได้เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่สมัยนั้นอริยสาวกเปรียบเหมือนปาริฉัตต์ของเทวดาชั้นดาวดึงส์บานเต็มที่...”
และใน คัมภีร์อีกเช่นกัน ที่ได้บอกไว้ว่าพระพุทธองค์ได้ตรัสว่า
......"พระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ทรงบาตรและจีวรครบ เหมือนต้นปาริฉัตตกะ คือ ต้นทองหลาง มีใบหนา มีร่มเงาชิด"

-----------------------------------------------------------------------------------------
.
" การะลึกชาติ และ ต้นปาริชาติ "
......เรื่องต้นปาริชาตและการระลึกชาติ นั้น ตามคัมภีร์อิงตามพุทธศาสนา นั้นได้กล่าวถึงความสำคัญของ “ปาริชาต” ซึ่งเป็น1 ใน 5 ของดอกไม้สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งประกอบด้วยปาริชาต กัลปพฤกษ์ มณฑารพ หริจันทน์ และสันตาน เมื่อต้นปาริชาตผลิดอกบานเต็มที่จะแผ่รัศมีไปได้ 50 โยชน์ และส่งกลิ่นตามลมไปไกล 100 โยชน์ เหล่าเทวดานางฟ้าทั้งหลายจะมาพักผ่อน เล่นสนุกสนานบริเวณใต้ต้นปาริชาต
.......หากกลิ่นดอกปาริชาตที่โชยมาต้องเทวดานางฟ้าองค์ใดจะสามารถระลึกชาติได้อย่างอัศจรรย์ ซึ่งใน "กามนิต-วาสิฏฐี” วรรณกรรมอิงพุทธประวัติก็ได้เล่าถึง “กามนิต” ผู้ได้ไปเกิดบนสวรรค์และสามารถระลึกชาติเมื่อครั้งที่เกิดเป็นมนุษย์เพราะได้กลิ่นหอมจากปาริชาต บนสวรรค์ จึงจดจำเรื่องราวครั้งยังเป็นมนุษย์อยู่ได้หลายร้อยชาติ จึงกล่าวว่า
.
.
--- เรื่องราวในวรรณคดี อิงพุทธศาสนา มหากาพย์เทวภูมิ ชั้นที่ 2 ดาวดึงส์ ---
กามนิต - วาสิฏฐี (ภาคสวรรค์)
"นอกเมืองดาวดึงส์ออกไป ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีอุทยานใหญ่อีกแห่งหนึ่ง ชื่อว่า ปุณฑริกวัน มีกำแพงล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน กลางสวนมีไม้ทองหลางใหญ่ต้นหนึ่ง เป็นไม้ทิพย์ชื่อว่า ปาริชาต ต้นปาริชาต นี้ จะมีดอกบานครั้งหนึ่งต่อเมื่อครบหนึ่งร้อยปี พูดง่าย ๆ ว่าร้อยปีจะดอกบานครั้งหนึ่ง และขณะที่ดอกปาริชาตนี้บานจะมีรัศมีเรืองไปไกลถึงแปดแสนวา และเมื่อลมพัดไปทางทิศใด ลมมีกลิ่นหอมฟุ้งไปทิศนั้นไกลแสนไกล
กลิ่นหอมนั้นจะตลบอบอวลอยู่ทั่วบริเวณสวรรค์ชั้นนี้นานเท่านาน กล่าวกันว่า ยามที่ดอกปาริชาตนี้บาน จะมีเหล่าเทพบุตรเทพธิดามาเล่นสนุกสนานใต้ต้นปาริชาตนี้เป็นจำนวนมากและกลิ่นปาริชาตที่โชยโรยรินมาต้องเทพบุตรเทพธิดาองค์ใด จะช่วยทำให้เทพบุตรเทพธิดาองค์นั้นระลึกชาติได้อย่างอัศจรรย์"
.
.
.
- ตอนที่ 24 ต้นปาริชาต -
"...ครั้นแล้วช่องเขาก็เลี้ยวหักมุมสองสามแห่ง และในทันใดนั้นก็เป็นช่องว่างขึ้น ดูบริเวณรอบตัว เห็นเป็นหุบเขาลึก มีหินผาสกัดกั้นไว้ด้วยยอดสูงลิบลิ่วดูเหมือนจดขอบสวรรค์ กลางหุบเขามีไม้ประหลาดต้นหนึ่ง ลำต้นและกิ่งเรียบรื่นเป็นสีแดงดั่งแก้วประพาฬ ใบแกมเหลืองแก่มีดอกแดงเข้มส่งสีรุ่งโรจน์ราวกับจะลุกไหม้
เหนือยอดชะง่อนผาและยอดไม้นั้น เป็นท้องฟ้าสีน้ำเงินแก่ จะหาเมฆสักก้อนก็ไม่มี เสียงทิพยดนตรีไม่แล่นมาถึงได้พอ แต่ว่าในอากาศยังสะเทือนอยู่ ประหนึ่งว่าเป็นกระเส็นกระสายของคลื่นเสียงดนตรีที่เคยได้ยินมานานแล้ว แต่ระลึกเสียงได้ลาง ๆ
ในหุบเขานั้น มีสีสันก็เพียงสาม คือสีน้ำเงินแก่ของท้องฟ้า สีเขียวของหิน และสีแดงประพาฬของต้นไม้ และมีกลิ่นหอมเป็นกลิ่นเดียว กลิ่นหอมอันน่าพิศวงไม่เหมือนกลิ่นหอมอื่น ๆ เป็นกลิ่นมาจากดอกไม้สีแดงจัด ซึ่งเท่ากับดูดดึงให้กามนิตมา
ในทันใดนั้น ลักษณะประหลาดแห่งกลิ่นหอมก็เริ่มสำแดงอาการ กล่าวคือ ขณะกามนิตสูดกลิ่น ซึ่งตลบฟุ้งอยู่ทั่วหุบเขานั้น ความรู้สึกระลึกเรื่องหนหลังได้แล่นพรูเข้าสู่ใจโดยเร็ว ทำลายทะลุฝ้ามืดที่กำบังไว้ ตั้งแต่ตื่นขึ้นในสระจนบัดนี้ กามนิต ระลึกถึงความเป็นไปในอดีตได้ตลอด..."

- ตอนที่ 29 ท่ามกลางกลิ่นหอมแห่งดอกปาริชาต -
"อันความจริง ผู้อุปปาติกะใหม่ทั้งสอง มิได้เยี่ยมฝั่งคงคาสวรรค์อันไม่น่าดูน่าชมอีกต่อไป เป็นแต่เลื่อนลอยไปสู่หุบเขาต้นปาริชาตเนือง ๆ ได้ไปนั่งพักนอนเล่นอยู่ในควงปาริชาตอันแผ่กิ่งก้านสาขา สูดเอากลิ่นหอมอันตลบมาจากดอกแดงดั่งแสงชาด กระทำให้ระลึกถึงชาติก่อน ๆ แจ่มแจ้งขึ้นเป็นลำดับ ย้อมหลังล่วงไปในอดีตชาติอันไกลแสนไกล..."
อ้างอิงจาก " กามนิต - วาสิฏฐี (ภาคสวรรค์) "
.
.



--------------------------------------------------------------------------------------------

-- ปาริชาต ในงานสำคัญที่สุดหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ ไทย ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย--
......" กรองดอกรัก " เสด็จฯ ส่วนพระองค์ “กรองดอกรัก” พระจิตกาธาน เพชร-อัญมณีเกสรดอกปาริชาต
สมเด็จพเทพรัตนราชสุดาฯ จะเสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์ “กรองดอกรัก” พระจิตกาธาน ประดับเพชร-อัญมณีอีก ๘ สี ทำเกสรดอกปาริชาติ
เสด็จฯ ส่วนพระองค์ “กรองดอกรัก” พระจิตกาธาน เพชร-อัญมณีเกสรดอกปาริชาต
สมเด็จพเทพรัตนราชสุดาฯ จะเสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์ “กรองดอกรัก” พระจิตกาธาน ประดับเพชร-อัญมณีอีก ๘ สี ทำเกสรดอกปาริชาติ


อ่านเพิ่มเติม จาก
https://historyboxes.wordpress.com/2017/10/02/preparation-6/
----------------------------------------------------------------------------------------

ปาริชาตกับ ละครไทย เรื่องการระลึกชาติ

ดอกปาริชาต เกี่ยวกับ การย้อนอดีตชาติ ใน ละครแก้วกุมภัณฑ์
“สุรมารา” จึงซ่อนดวงแก้วมณีไว้ที่ต้นปาริชาตซึ่งอยู่ในสวนหลังบ้าน “แยม” นั่นเป็นเพราะต้นไม้ชนิดนี้มีความสำคัญมากกว่าการเป็นไม้ยืนต้นธรรมดา
“สุรมารา” เลือกฝังดวงแก้วมณีไว้ใต้ต้นปาริชาตเพราะความคุ้นเคยว่าเป็นต้นไม้ที่มีบนสวรรค์ และไม่คาดคิดว่าจะมีผู้ใดล่วงรู้ว่าเขาซ่อนดวงแก้วไว้ที่นี่ แต่เรื่องนี้ก็ไม่อาจรอดสายตาของ “นาถภุชงค์” ผู้มีบริวารรอบกายได้ การค้นหาและแย่งชิงดวงแก้วมณีแห่งสวรรค์จึงบานปลายขึ้นเรื่อยๆ และดูเหมือนจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อชีวิตของ “แยม” หญิงสาวชาวมนุษย์ผู้ต้องรับชะตากรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เรื่องราววุ่นวายของชาวสวรรค์และความรักข้ามชั้นฟ้า ในละครแก้วกุมภัณฑ์



----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่