ทาน...ศีล...ภาวนา
เปรียบดังเปลือกไม้...เนื้อไม้...และแก่นไม้
ต้นไม้ย่อมยังชีวิตอยู่ได้ต้อวลงประกอบด้วยทั้งสามส่วนข้างต้น จะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปไม่ได้
ทาน ...กำจัดกิเลสอย่างหยาบ คือความตระหนี่และความเห็นแก่ตัวออกไป... เป็นเบื้องต้น
ศีล ...กำจัดกิเลสอย่างกลาง ช่วยควบคุมกาย วาจา ไม่ให้เบียดเบียนทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น...เป็นเบื้องกลาง
ภาวนา ...กำจัดกิเลสอย่างละเอียด คือ อนุสัยกิเลส เป็นต้น ...เป็นที่สุด
ชาวไทยพุทธจำนวนมาก ก็รู้อยู่ในเรื่องของทาน...ศีล...และภาวนา
แต่กลับหยุดยั้งตนเองอยู่ในระดับของทานเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นการใส่บาตร ถวายปัจจัยไทยธรรม สังฆทาน เป็นต้น
ส่วนคนที่ใฝ่ปฏิบัติเจริญภาวนามีน้อยกว่าน้อย
อุปมาเปรียบเหมือนเขาโคที่มีเพียงสองเขาในหนึ่งตัวเท่านั้น
เมื่อพิจารณาคนที่นับถือพุทธศาสนาจำนวนมากแล้ว
ก็อาจเปรียบได้ดั่งขนโค ซึ่งมีจำนวนนับไม่ถ้วนในหนึ่งตัว
ฤาชาวไทยพุทธเรา จะหลงไปแค่สวรรค์ชั้นฟ้า ที่ได้ยินได้ฟังมาแต่เด็กเพียงเท่านั้น
จึงคิดไปว่านั่นเป็นจุดหมายสูงสุดของการนับถือพุทธศาสนาแล้ว
มีโอกาสทำบุญ เข้าวัด ฟังธรรมเมื่อใด ก็เอาแต่อธิษฐานขอให้รวย ขอให้สวยหล่อ ขอให้เกิดมาสุขภาพดี
ขอให้ได้เลื่อนขั้น เลื่อนชั้น เป็นเจ้าใหญ่นายโตในสังคม ขอให้ถูกหวย ขอให้ไปเกิดเป็นเทวดา นางฟ้าเป็นที่สุด เป็นต้น
เข้าใจในคำว่า " อธิษฐาน " อย่างไม่ถูกต้อง
ไปเข้าใจว่า ...อธิษฐาน เพื่อขอให้ได้อย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไปเสีย
อธิษฐานที่แท้...คือเพื่อกระทำ....มีการตั้งจุดหมายในใจไว้ แล้วกระทำอย่างมุ่งมั่นแน่วแน่เพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่ตั้งเอาไว้
การให้ทาน...ไม่อาจรับประกันได้ว่าผู้ให้ทานจะเกิดเป็นมนุษย์ในภพต่อๆไป
จึงต้องรักษาศีลและเจริญภาวนาควบคู่กันไปด้วย
คนส่วนใหญ่ มักจะมองผู้ที่รักษาศีล ๕ เป็นนิตย์...ว่าเป็นคนแปลกประหลาดในสังคมไปเสีย
มองว่าคนอะไร เหล้าเบียร์ ก็ไม่ดื่ม บุหรี่ก็ไม่สูบ การพนันหรือหวยก็ไม่เล่น แต่งตัวก็เชย เที่ยวก็ไม่เที่ยว
มีพฤติกรรมเหมือนพวกเต่าล้านปี เป็นต้น เป็นพวกแปลกแยกในสังคม
ทั้งๆที่ " ศีล " ...อันมีความหมายว่าปกตินั้น
อุปมาดั่งผู้ที่รักษาศีล ๕ อยู่เป็นนิตย์ จึงนับว่าเป็นคนปกติ เป็นผู้มีมนุษยธรรม
โดยนัยกลับกัน...ย่อมหมายความว่า
ผู้คนในสังคมส่วนใหญ่ต่างหากที่เป็นคนผิดปกติไปจากธรรมชาติที่ควรเป็น
เนื่องด้วยเป็นผู้พร่องจากศีล ๕
คนจำนวนไม่น้อยที่อ้างว่า ...ตนเองยังรักษาศีล ๕ ได้ไม่ครบ จึงยังไม่เริ่มต้นเจริญภาวนาเสียที
ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไปมาก
ในทางปฏิบัติ...เราย่อมสามารถกระทำทั้ง ทาน ...ศีล...และภาวนา ไปพร้อมๆกันได้เลย
อาศัยภพชาติที่มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ในขาตินี้
เราจึงพึงเว้นจากการผลัดวันประกันพรุ่ง
แล้วเพิ่มการเจริญภาวนาเข้ามาเป็นวิถีชีวิตหนึ่ง
ให้สมกับอัตตภาพร่างกาย และภพภูมิที่เอื้อต่อการเจริญภาวนา
จะไม่ดีกว่าหรือ ?
เหตุใดคนไทยที่นับถือพุทธศาสนาส่วนใหญ่ จึงสนใจและติดอยู่แต่การทำบุญในระดับของทานบารมีเท่านั้น ?
เปรียบดังเปลือกไม้...เนื้อไม้...และแก่นไม้
ต้นไม้ย่อมยังชีวิตอยู่ได้ต้อวลงประกอบด้วยทั้งสามส่วนข้างต้น จะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปไม่ได้
ทาน ...กำจัดกิเลสอย่างหยาบ คือความตระหนี่และความเห็นแก่ตัวออกไป... เป็นเบื้องต้น
ศีล ...กำจัดกิเลสอย่างกลาง ช่วยควบคุมกาย วาจา ไม่ให้เบียดเบียนทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น...เป็นเบื้องกลาง
ภาวนา ...กำจัดกิเลสอย่างละเอียด คือ อนุสัยกิเลส เป็นต้น ...เป็นที่สุด
ชาวไทยพุทธจำนวนมาก ก็รู้อยู่ในเรื่องของทาน...ศีล...และภาวนา
แต่กลับหยุดยั้งตนเองอยู่ในระดับของทานเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นการใส่บาตร ถวายปัจจัยไทยธรรม สังฆทาน เป็นต้น
ส่วนคนที่ใฝ่ปฏิบัติเจริญภาวนามีน้อยกว่าน้อย
อุปมาเปรียบเหมือนเขาโคที่มีเพียงสองเขาในหนึ่งตัวเท่านั้น
เมื่อพิจารณาคนที่นับถือพุทธศาสนาจำนวนมากแล้ว
ก็อาจเปรียบได้ดั่งขนโค ซึ่งมีจำนวนนับไม่ถ้วนในหนึ่งตัว
ฤาชาวไทยพุทธเรา จะหลงไปแค่สวรรค์ชั้นฟ้า ที่ได้ยินได้ฟังมาแต่เด็กเพียงเท่านั้น
จึงคิดไปว่านั่นเป็นจุดหมายสูงสุดของการนับถือพุทธศาสนาแล้ว
มีโอกาสทำบุญ เข้าวัด ฟังธรรมเมื่อใด ก็เอาแต่อธิษฐานขอให้รวย ขอให้สวยหล่อ ขอให้เกิดมาสุขภาพดี
ขอให้ได้เลื่อนขั้น เลื่อนชั้น เป็นเจ้าใหญ่นายโตในสังคม ขอให้ถูกหวย ขอให้ไปเกิดเป็นเทวดา นางฟ้าเป็นที่สุด เป็นต้น
เข้าใจในคำว่า " อธิษฐาน " อย่างไม่ถูกต้อง
ไปเข้าใจว่า ...อธิษฐาน เพื่อขอให้ได้อย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไปเสีย
อธิษฐานที่แท้...คือเพื่อกระทำ....มีการตั้งจุดหมายในใจไว้ แล้วกระทำอย่างมุ่งมั่นแน่วแน่เพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่ตั้งเอาไว้
การให้ทาน...ไม่อาจรับประกันได้ว่าผู้ให้ทานจะเกิดเป็นมนุษย์ในภพต่อๆไป
จึงต้องรักษาศีลและเจริญภาวนาควบคู่กันไปด้วย
คนส่วนใหญ่ มักจะมองผู้ที่รักษาศีล ๕ เป็นนิตย์...ว่าเป็นคนแปลกประหลาดในสังคมไปเสีย
มองว่าคนอะไร เหล้าเบียร์ ก็ไม่ดื่ม บุหรี่ก็ไม่สูบ การพนันหรือหวยก็ไม่เล่น แต่งตัวก็เชย เที่ยวก็ไม่เที่ยว
มีพฤติกรรมเหมือนพวกเต่าล้านปี เป็นต้น เป็นพวกแปลกแยกในสังคม
ทั้งๆที่ " ศีล " ...อันมีความหมายว่าปกตินั้น
อุปมาดั่งผู้ที่รักษาศีล ๕ อยู่เป็นนิตย์ จึงนับว่าเป็นคนปกติ เป็นผู้มีมนุษยธรรม
โดยนัยกลับกัน...ย่อมหมายความว่า
ผู้คนในสังคมส่วนใหญ่ต่างหากที่เป็นคนผิดปกติไปจากธรรมชาติที่ควรเป็น
เนื่องด้วยเป็นผู้พร่องจากศีล ๕
คนจำนวนไม่น้อยที่อ้างว่า ...ตนเองยังรักษาศีล ๕ ได้ไม่ครบ จึงยังไม่เริ่มต้นเจริญภาวนาเสียที
ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไปมาก
ในทางปฏิบัติ...เราย่อมสามารถกระทำทั้ง ทาน ...ศีล...และภาวนา ไปพร้อมๆกันได้เลย
อาศัยภพชาติที่มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ในขาตินี้
เราจึงพึงเว้นจากการผลัดวันประกันพรุ่ง
แล้วเพิ่มการเจริญภาวนาเข้ามาเป็นวิถีชีวิตหนึ่ง
ให้สมกับอัตตภาพร่างกาย และภพภูมิที่เอื้อต่อการเจริญภาวนา
จะไม่ดีกว่าหรือ ?