ถุงมือเรื่องสั้น เรื่องที่ 4 ปิดท้ายสัปดาห์นี้ครับ วีคนี้จัดให้ 4 เรื่องเลย ^^
วันนี้ (18 ส.ค.) ผ่านวันที่ 12 สิงหาฯ มาได้เกือบอาทิตย์ ซึ่งวันนั้นในประเทศไทยเรากำหนดไว้ว่าเป็น "วันแม่" ก็คงยังไม่สายเกินไปสำหรับเรื่องสั้นซึ่งเกี่ยวกับ "แม่" เรื่องนี้...
นี่เป็นเรื่องราวของคุณแม่คนหนึ่ง กับครอบครัวที่มีลูกๆ ซนและวุ่นวายยังกะลิงค่าง ส่วนคุณพ่อบ้านก็เฉยเอาแค่เสพสุขสำราญดูหนังดูทีวีในห้องข้างบน ลูกๆ ข้างล่างจะก่อสงครามกันยังไงไม่สน ทุกอย่างปล่อยให้คุณแม่จัดการ คุณแม่ก็มักจะว้ากเพ้ยออกงิ้วกับลูกๆ เหล่านั้นเสมอและบางทีก็กับคุณพ่อผู้ไม่อินังขังขอบต่อสิ่งใดด้วย
ชีวิตเป็นไปอย่างนี้ แล้วอยู่มาวันหนึ่ง จะวันดีคืนดีหรือวันร้ายคืนร้ายก็ไม่รู้ได้ คุณแม่ก็เกิดปิ๊งไอเดียคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองขึ้นมาชนิดขาวเป็นดำหรือหน้ามือเป็นหลังมือ เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ!!
เธอจะทำได้ดีแค่ไหน ?? ชีวิตในบ้านจะโอเคไหม หรือยังไง ???
ตามมาดูครอบครัวนี้กันครับ ^^
........
วันแม่ ผ่านมา และ กำลังจะผ่านไป เหมือนทุกๆปี ทุก ๆ ปี ที่วันแม่ไม่ได้เป็นอะไร มากกว่าวันธรรมดาวันหนึ่ง ไม่ได้ทำให้ ฉัน รวยขึ้น หรือยากจนลงเพราะวันแม่ ลูกทั้งสี่คนของ ฉัน ก็ไม่ได้แสดงความซาบซึ้งอะไรมากนัก รวมทั้ง สามี ที่ไม่ได้สนใจ วันแม่ เป็นพิเศษ ฉันและสามีต่างสูญเสียแม่ไป เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ลูกชายคนโต เรียนมหาวิทยาลัย ลูกสาวคนรอง เรียนมัยมปลาย ลูกชายคนต่อมา เรียนมัธยมต้น ตามด้วยลูกสาวสุดท้อง เรียนชั้นประถม เท่านี้ก็มากพอ ที่ทำให้ฉันต้องลาออกจากงานประจำ มาเป็นแม่บ้านเต็มตัว ความรู้ที่ร่ำเรียนมา ไม่ได้นำไปใช้ทำงานหาเลี้ยงชีพ แต่นำมาประยุกต์ใช้ ในการบริหารครอบครัว อันแสนวุ่นวาย ทำไมคนเราต้องแต่งงานด้วย ฉันพยายามหาคำตอบหลังจากแต่งงาน ใครว่าชีวิตการแต่งงานคือการเริ่มต้น ฉันว่ามันคือจุดจบต่างหาก จุดจบของอิสรภาพ และความสนุกสนาน หมดสิ้นไป กลายเป็นยัยเพิ้งเฉิ่มเชย เป็นซิลเดอเรลล่าตกยาก....
......
ชีวิต วนเวียนเป็นวัฏจักรไม่รู้จบ.... ตื่นนอนตั้งแต่ไก่โห่ รีบทำข้าวปลาอาหาร ให้บรรดาคุณหญิงคุณชายทั้งหลาย จัดการแต่งองค์ทรงเครื่องให้พวกเขา ที่มักทำอะไรผิดพลาดเรื่องมากอยู่เป็นประจำ คนนั้น จะอย่างนั้น คนนี้ จะอย่างนี้ สิ่งของ วาง เก็บ ทิ้ง ไม่เป็นที่เป็นทาง ขาดระเบียบวินัย มันให้ ฉัน หงุดหงิดสะสมมากขึ้นทุกที แต่ฉันก็ทำอะไรมากไม่ได้ นอกจาก พร่ำสอน ให้พวกเขา ตระหนัก ถึงสิ่งถูกต้องดีงาม ในชีวิต แทนที่พวกเขาจะเข้าใจ กลับหาว่า ฉัน เป็นคนขี้บ่น จู้จี้ จุกจิก เจ้าระเบียบ ไปเสียอย่างนั้น จะให้ทำอย่างไรได้ละ...... นอกจากการระบายความคับแค้นใจ ออกมาเป็นคำพูด ทุกคนในบ้าน ล้วนแล้วแต่แสวงหาเรื่องราว มาให้ต้องบ่น ต้องว่า ทุกวัน ยิ่งเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ หรือวันหยุดราชการ สถานการณ์ในบ้าน แทบไม่ต่างจากสงครามกลางเมือง บรรดาลูกมีเรื่องทะเลาะกัน ขัดแย้งกัน ไม่ได้ขาด แม้แต่เรื่องง่าย ๆ อย่างอาหารการกินแต่ละมื้อ การดูทีวี การใช้คอมพิวเตอร์ การกลั่นแกล้งกันแบบเด็ก ๆ สารพัด ส่วนคุณสามี ก็ไม่ได้มีส่วนมาช่วย ระงับความรุนแรงในบ้านแต่ประการใด เพราะถือโอกาสตื่นสายจนตะวันโด่งฟ้า หาอะไรใส่ท้อง แล้วหลบขึ้นไปในห้อง ที่มีโทรทัศน์ส่วนตัว เพราะไม่ต้องการขัดขวางความสุขของเด็ก ๆ ฟังดูก็เหมือนจะดี แต่ฉันว่าเป็นการ ตัดช่องน้อยแต่พอตัว มากกว่า มันน่าว่าไหมล่ะ......อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่อาจหนีรอดการถูก ‘สั่งสอน’ จากฉันไปได้ (เขาเรียกการสั่งสอนด้วยความหวังดีของฉันว่า เป็นการบ่นไร้สาระ มันทำให้ฉันแทบร้องกรี้ด แต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้มากกว่านั้น เพราะคุณสามีเป็นตัวหลักในการหาเงินเข้าบ้าน ส่วนนี้เลยทำให้เกิดความเกรงใจกันพอสมควร
......ฉันต้องเป็นฝ่ายล่าถอย ลงมาจากห้องนอน ปล่อยให้คุณสามี มีความสุขไปกับรายการทีวีปัญญาอ่อน บ้า ๆ บอๆ ด้านล่างของบ้านลูกชายคนโตที่ยังทำตัวเป็นเด็ก แย่งดูทีวีกับลูกสาวคนรอง ในขณะที่ลูกอีกคู่เย้าแหย่ แกล้งกันวิ่งรอบห้อง ฉันเลยสั่งสอนไปอีกชุดใหญ่ แต่การดุด่าว่ากล่าว ดูเหมือนจะได้ผลเพียงชั่วคราว ไม่นานจราจลในบ้านก็เริ่มต้นอีก......
ขนาดวันแม่ยังไม่เว้น
ฉันได้แต่นึกเศร้าใจ เสียใจ บางที ฉัน อาจเป็นแม่ที่ไม่ดี ก็เป็นได้ จึงไม่สามารถบริหารครอบครัว ให้สงบสุข
ฉันหลบไปหลังบ้าน เพื่อจัดการซักผ้ากองโตเป็นภูเขาเลากา ทั้งผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม เสื้อผ้า ของทุกคนในบ้าน จุดนั้นของบ้าน มีเพียงวิทยุเก่าๆ เป็นเพื่อน พอให้เพลิดเพลินไปบ้าง ไม่ได้คิดอะไรมากมาย
ขณะวุ่นวายกับเครื่องซักผ้า วิทยุก็มีรายการเกี่ยวกับการสร้างกำลังใจ ในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยยกคำคมภาษาอังกฤษมาประกอบรายการเป็นระยะ เพราะความที่ฉันสมัยเรียนเลือกวิชาภาษาอังกฤษ เป็นวิชาเอก ตามรอยแม่ ซึ่งท่านเก่งภาษาอังกฤษ จึงทำให้ตั้งใจฟังเป็นพิเศษ แม้ว่าจะไม่ได้คาดหวังอะไรจากรายการวิทยุ เพราะคิดว่า พวกที่จัดรายการ ก็แค่ทำตามหน้าที่ ตามบท ไม่ใช่ผู้บรรลุเหนือคนอื่น คนจัดรายการก็พล่ามไปเรื่อย ๆ จนฉันมาสะดุดกับประโยคหนึ่ง
It is never too late to be what you might have been.
ไม่มีคำว่าสายเกินไป ถ้าคุณอยากจะเป็นในสิ่งที่เป็น
มันก็แค่คำคม ใครก็พูดได้......แม่ของฉันก็เคยพูดให้ฟังเสมอ วูบหนึ่งฉันมาคิดว่า ทำไมฉันไม่ทำอะไรสักอย่าง ให้สถานการณ์ภายในบ้านดีขึ้นกว่านี้ ทำไมไม่ลองพยายามดู แต่ว่าฉันจะเปลี่ยนบรรดาลูกเทวดาให้เปลี่ยนไปในทางที่ดีได้ยังไง ฉันไม่ได้มีอำนาจวิเศษ
คงจะด้วยเหตุบังเอิญ เพราะในช่วงที่กำลังครุ่นคิดอยู่ในนั้นเอง ผู้จัดรายการเสียงใส ก็ได้พูดประโยคคำคมแทรกขึ้นมาอีก ประโยคหนึ่งว่า
Every new day is another change your life.
ทุกๆวันใหม่ คือโอกาส ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณ
.......
ฉันไม่ได้ต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเอง ฉันต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตของฝูงลิงในบ้านต่างหาก ฉันนึกในใจ เพราะคิดว่าตัวเองทำดีที่สุดแล้ว ทุกคนในบ้านต่างหาก ควรจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดี พวกจัดรายการจะมีดีขนาดไหนกัน ถึงมาสั่งสอนคนอื่น ออกรายการวิทยุ
อดแปลกใจตัวเองไม่ได้ว่า ทำไมต้องมาสนใจรายการวิทยุมากขนาดนี้
แต่ก็นะ......จู่ๆ ฉันก็เกิดความคิดที่ว่า ทำไมเราไม่ลองเปลี่ยนแปลงตัวเองดูสักที
เผื่อว่าอะไรๆ จะดีขึ้น ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย แต่ลองดูบ้างคงไม่เป็นไร ทำไมฉันถึงกลายเป็นแม่มดจอมบ่นประจำบ้านไปได้ ทำไมฉันไม่ลองทำตัวดีๆ พูดจาไพเราะแบบนางเอกในละครทีวีดูบ้าง
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พอฟังรายการนั่นไปเท่าไร ดูเหมือนจิตใจจะเริ่มโอนอ่อนผ่อนตามไปทีละน้อย ด้วยน้ำเสียงฟังดูอบอุ่นมีมนต์ขลังอย่างประหลาด ตามแบบของนักจัดรายการ ที่มักมีพรสวรรค์ในการทำให้คล้อยตาม คงเป็นรายการพิเศษ เพราะวันนี้เป็นวันแม่นั่นเอง
หลังจากซักผ้าเสร็จ ฉันตกลงใจว่าจะทำตามความคิดของตัวเองสักครั้ง
ลองทำตัว เป็น ‘แม่ที่ดี แม่ในฝัน’ ของลูก ดูบ้าง จะเป็นไรไป........
......................
หลังจากวุ่นวายกับการทำอาหารเย็น เป็นที่เรียบร้อย เมื่อฉันเดินเข้าไปยังห้องนั่งเล่น พบว่าสมาชิกครอบครัวอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ที่ผิดสังเกต คือ บรรยากาศ ที่ดูเคร่งเครียด กดดัน อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกคนสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ พากันจ้องมองยังฉันเป็นตาเดียว
"
มีอะไรหรือคะ” ฉันยิ้มหวานทักทาย ‘การยิ้ม’ เป็นสิ่งหนึ่งที่เคยมีคนบอกว่า จะละลายความตึงเครียด และความกดดันได้ ทุกคนในห้องพากันนั่งตัวตรง จ้องมองไม่วางตา
“เห็นไหม แม่เปลี่ยนไป” ลูกชายคนโตพูดขึ้น ก่อนหันหน้าไปยังสมาชิกคนอื่นๆ เพื่อให้เห็นฟ้องต้องกัน “บอกแล้วว่าแม่ไม่เหมือนเดิม ตอนเที่ยงผมกับน้องแย่งดูทีวี แม่ไม่เห็นทำอะไร ยิ้มอย่างเดียว ทั้งที่แม่ควรดุว่าเรา เสียงดังคับบ้านแล้ว”
“คุณแม่มา หอมแก้ม หนูด้วย” ลูกสาวคนรองหันไปฟ้องคุณพ่อ “หนูกำลังเล่นไลน์อยู่ แต่แม่ว่าอะไรอะไรสักคำ แถมมาหอมแก้ม มันทำให้หนูกลัว”
“หนูทำจานตกแตก แม่เก็บไปยิ้มไป ไม่ว่าอะไรสักคำ” ลูกชายอีกคนพูดขึ้นมาบ้าง ทำให้ฉันเริ่มสลายรอยยิ้ม
“คุณแม่พูดจาหวาน ๆ กับหนูด้วยค่ะ หนูขนลุกเลย”
“ใช่แม่ของเราจริงๆ หรือเปล่าคะ” ลูกๆ เริ่ม พากัน ส่งเสียงดัง มองมาด้วยสายตาไม่ไว้ใจ
“คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่า” สามีของฉันพูดขึ้นบ้าง สายตามีแววไม่ไว้ใจเหมือนคนอื่น “จู่ๆ ก็เอาผลไม้อาหารเครื่องดื่ม ไปส่งให้ผมถึงห้องนอน คุณไม่เคยทำแบบนี้เลยนะ”
“ผีเข้าแม่เหรอเปล่า.....” บางคนถึงกับตั้งข้อสงสัย ไปไกลลิบ
จากนั้นทุกคนก็พากันเอาเรื่อง ‘ความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี’ ของฉัน มา สาธยายแบบไม่ไว้หน้า มันทำให้ฉันตัวชา ฉันพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไปในทางที่ดี สุดความสามารถแล้ว ไม่ดุด่าว่ากล่าว พูดจาไพเราะกับทุกคน เอาใจทุกคนในบ้าน ทำไมกลายเป็นแบบนี้ ทุกคนพากันเป็นอะไรไปหมด ฉันหลับตากัดฟันกรอด พยายามระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านมากขึ้นทุกที สมาชิกภายในบ้านเห็นฉันเป็นตัวประหลาดน่ากลัวไปเสียแล้ว
ในที่สุด ความอดทนก็ขาดผึง ฉันพยักหน้า เข้าใจชีวิต มือเท้าเอวและเริ่มแยกเขี้ยวขึ้นเสียงบ้าง อย่างหมดความอดทน
“.....วันแม่ แม่ก็พยายามปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น อยากให้พวกแก มีแม่ที่ดีๆ ในแบบที่พวกแกต้องการบ้าง แล้วเป็นไง..... พวกแกไม่ได้เห็นความดีที่แม่ทำเลย เสียแรงที่แม่อุตส่าห์ลงทุนลงแรง ปรับสภาพจิตใจ... ทำตัวเป็นแม่ที่พูดจาดีๆ เอาใจตามใจพวกแก แล้วตกลงเป็นไง ทุกคนมองแม่ เหมือนเป็นตัวประหลาด จะบอกให้นะ พวกแกมันแย่ เหมาะสมกับแม่ชนิดที่ต้องคอยดุด่าว่ากล่าว ไม่ควรมีสิทธิ์จะได้มีแม่ดีๆ แบบคนอื่นหรอก เพราะ....”
พูดระบายยังไม่ทันจบ ฉันก็รู้สึกว่า บรรยากาศที่แสนหนักอึ้งกดดันเปลี่ยนไป ลูกแต่ละคนหันไปพยักหน้าให้กัน ยิ้มอย่างสบายใจ โล่งใจ บางคนถึงกับล้มตัวลงไปนอนบนโซฟา อย่างผ่อนคลาย ท่าทางมีความสุข ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด และเปลี่ยนไปในทางที่ดี ในขณะที่สามีลุกขึ้นมา ยิ้มกว้าง เดินตรงมา กางแขนโอบกอดฉันไว้ บอกข้างหูว่า
“ที่รัก...พวกเราได้คุณกลับคืนมาแล้ว”
ฉันนิ่งอึ้ง และในที่สุดก็เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง
การเปลี่ยนปลงบางครั้ง ก็คือการทำให้ยอมรับและเข้าใจถึงการไม่เปลี่ยนแปลง เรื่องในครอบครัว เป็นสิ่งละเอียดอ่อน เกินกว่าจะจะมีหลักการหรือทฤษฏีอะไรมากำหนด
หลังจากวันนั้น เหตุการณ์ในบ้านก็ยังคงวุ่นวายเหมือนเดิม ฉันก็ยังคงเป็น ‘แม่มดจอมบ่น’ ต่อไป แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือมุมมองของฉันเอง
(ต่ออีกนิดครับ) ^^
✌️😁👧THE GLOVES 2020 ถุงมือเรื่องสั้น#22 สัปดาห์ที่ 8 : 18-21 ก.ค. "การเปลี่ยนแปลงของคุณแม่" ถุงมือ Mother Of Mine👧😁✌
วันนี้ (18 ส.ค.) ผ่านวันที่ 12 สิงหาฯ มาได้เกือบอาทิตย์ ซึ่งวันนั้นในประเทศไทยเรากำหนดไว้ว่าเป็น "วันแม่" ก็คงยังไม่สายเกินไปสำหรับเรื่องสั้นซึ่งเกี่ยวกับ "แม่" เรื่องนี้...
นี่เป็นเรื่องราวของคุณแม่คนหนึ่ง กับครอบครัวที่มีลูกๆ ซนและวุ่นวายยังกะลิงค่าง ส่วนคุณพ่อบ้านก็เฉยเอาแค่เสพสุขสำราญดูหนังดูทีวีในห้องข้างบน ลูกๆ ข้างล่างจะก่อสงครามกันยังไงไม่สน ทุกอย่างปล่อยให้คุณแม่จัดการ คุณแม่ก็มักจะว้ากเพ้ยออกงิ้วกับลูกๆ เหล่านั้นเสมอและบางทีก็กับคุณพ่อผู้ไม่อินังขังขอบต่อสิ่งใดด้วย
ชีวิตเป็นไปอย่างนี้ แล้วอยู่มาวันหนึ่ง จะวันดีคืนดีหรือวันร้ายคืนร้ายก็ไม่รู้ได้ คุณแม่ก็เกิดปิ๊งไอเดียคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองขึ้นมาชนิดขาวเป็นดำหรือหน้ามือเป็นหลังมือ เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ!!
เธอจะทำได้ดีแค่ไหน ?? ชีวิตในบ้านจะโอเคไหม หรือยังไง ???
ตามมาดูครอบครัวนี้กันครับ ^^
ลูกชายคนโต เรียนมหาวิทยาลัย ลูกสาวคนรอง เรียนมัยมปลาย ลูกชายคนต่อมา เรียนมัธยมต้น ตามด้วยลูกสาวสุดท้อง เรียนชั้นประถม เท่านี้ก็มากพอ ที่ทำให้ฉันต้องลาออกจากงานประจำ มาเป็นแม่บ้านเต็มตัว ความรู้ที่ร่ำเรียนมา ไม่ได้นำไปใช้ทำงานหาเลี้ยงชีพ แต่นำมาประยุกต์ใช้ ในการบริหารครอบครัว อันแสนวุ่นวาย ทำไมคนเราต้องแต่งงานด้วย ฉันพยายามหาคำตอบหลังจากแต่งงาน ใครว่าชีวิตการแต่งงานคือการเริ่มต้น ฉันว่ามันคือจุดจบต่างหาก จุดจบของอิสรภาพ และความสนุกสนาน หมดสิ้นไป กลายเป็นยัยเพิ้งเฉิ่มเชย เป็นซิลเดอเรลล่าตกยาก....
......ชีวิต วนเวียนเป็นวัฏจักรไม่รู้จบ.... ตื่นนอนตั้งแต่ไก่โห่ รีบทำข้าวปลาอาหาร ให้บรรดาคุณหญิงคุณชายทั้งหลาย จัดการแต่งองค์ทรงเครื่องให้พวกเขา ที่มักทำอะไรผิดพลาดเรื่องมากอยู่เป็นประจำ คนนั้น จะอย่างนั้น คนนี้ จะอย่างนี้ สิ่งของ วาง เก็บ ทิ้ง ไม่เป็นที่เป็นทาง ขาดระเบียบวินัย มันให้ ฉัน หงุดหงิดสะสมมากขึ้นทุกที แต่ฉันก็ทำอะไรมากไม่ได้ นอกจาก พร่ำสอน ให้พวกเขา ตระหนัก ถึงสิ่งถูกต้องดีงาม ในชีวิต แทนที่พวกเขาจะเข้าใจ กลับหาว่า ฉัน เป็นคนขี้บ่น จู้จี้ จุกจิก เจ้าระเบียบ ไปเสียอย่างนั้น จะให้ทำอย่างไรได้ละ...... นอกจากการระบายความคับแค้นใจ ออกมาเป็นคำพูด ทุกคนในบ้าน ล้วนแล้วแต่แสวงหาเรื่องราว มาให้ต้องบ่น ต้องว่า ทุกวัน ยิ่งเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ หรือวันหยุดราชการ สถานการณ์ในบ้าน แทบไม่ต่างจากสงครามกลางเมือง บรรดาลูกมีเรื่องทะเลาะกัน ขัดแย้งกัน ไม่ได้ขาด แม้แต่เรื่องง่าย ๆ อย่างอาหารการกินแต่ละมื้อ การดูทีวี การใช้คอมพิวเตอร์ การกลั่นแกล้งกันแบบเด็ก ๆ สารพัด ส่วนคุณสามี ก็ไม่ได้มีส่วนมาช่วย ระงับความรุนแรงในบ้านแต่ประการใด เพราะถือโอกาสตื่นสายจนตะวันโด่งฟ้า หาอะไรใส่ท้อง แล้วหลบขึ้นไปในห้อง ที่มีโทรทัศน์ส่วนตัว เพราะไม่ต้องการขัดขวางความสุขของเด็ก ๆ ฟังดูก็เหมือนจะดี แต่ฉันว่าเป็นการ ตัดช่องน้อยแต่พอตัว มากกว่า มันน่าว่าไหมล่ะ......อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่อาจหนีรอดการถูก ‘สั่งสอน’ จากฉันไปได้ (เขาเรียกการสั่งสอนด้วยความหวังดีของฉันว่า เป็นการบ่นไร้สาระ มันทำให้ฉันแทบร้องกรี้ด แต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้มากกว่านั้น เพราะคุณสามีเป็นตัวหลักในการหาเงินเข้าบ้าน ส่วนนี้เลยทำให้เกิดความเกรงใจกันพอสมควร
......ฉันต้องเป็นฝ่ายล่าถอย ลงมาจากห้องนอน ปล่อยให้คุณสามี มีความสุขไปกับรายการทีวีปัญญาอ่อน บ้า ๆ บอๆ ด้านล่างของบ้านลูกชายคนโตที่ยังทำตัวเป็นเด็ก แย่งดูทีวีกับลูกสาวคนรอง ในขณะที่ลูกอีกคู่เย้าแหย่ แกล้งกันวิ่งรอบห้อง ฉันเลยสั่งสอนไปอีกชุดใหญ่ แต่การดุด่าว่ากล่าว ดูเหมือนจะได้ผลเพียงชั่วคราว ไม่นานจราจลในบ้านก็เริ่มต้นอีก......ขนาดวันแม่ยังไม่เว้น
ฉันได้แต่นึกเศร้าใจ เสียใจ บางที ฉัน อาจเป็นแม่ที่ไม่ดี ก็เป็นได้ จึงไม่สามารถบริหารครอบครัว ให้สงบสุข
ฉันหลบไปหลังบ้าน เพื่อจัดการซักผ้ากองโตเป็นภูเขาเลากา ทั้งผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม เสื้อผ้า ของทุกคนในบ้าน จุดนั้นของบ้าน มีเพียงวิทยุเก่าๆ เป็นเพื่อน พอให้เพลิดเพลินไปบ้าง ไม่ได้คิดอะไรมากมาย
ขณะวุ่นวายกับเครื่องซักผ้า วิทยุก็มีรายการเกี่ยวกับการสร้างกำลังใจ ในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยยกคำคมภาษาอังกฤษมาประกอบรายการเป็นระยะ เพราะความที่ฉันสมัยเรียนเลือกวิชาภาษาอังกฤษ เป็นวิชาเอก ตามรอยแม่ ซึ่งท่านเก่งภาษาอังกฤษ จึงทำให้ตั้งใจฟังเป็นพิเศษ แม้ว่าจะไม่ได้คาดหวังอะไรจากรายการวิทยุ เพราะคิดว่า พวกที่จัดรายการ ก็แค่ทำตามหน้าที่ ตามบท ไม่ใช่ผู้บรรลุเหนือคนอื่น คนจัดรายการก็พล่ามไปเรื่อย ๆ จนฉันมาสะดุดกับประโยคหนึ่ง
It is never too late to be what you might have been.
ไม่มีคำว่าสายเกินไป ถ้าคุณอยากจะเป็นในสิ่งที่เป็น
มันก็แค่คำคม ใครก็พูดได้......แม่ของฉันก็เคยพูดให้ฟังเสมอ วูบหนึ่งฉันมาคิดว่า ทำไมฉันไม่ทำอะไรสักอย่าง ให้สถานการณ์ภายในบ้านดีขึ้นกว่านี้ ทำไมไม่ลองพยายามดู แต่ว่าฉันจะเปลี่ยนบรรดาลูกเทวดาให้เปลี่ยนไปในทางที่ดีได้ยังไง ฉันไม่ได้มีอำนาจวิเศษ
คงจะด้วยเหตุบังเอิญ เพราะในช่วงที่กำลังครุ่นคิดอยู่ในนั้นเอง ผู้จัดรายการเสียงใส ก็ได้พูดประโยคคำคมแทรกขึ้นมาอีก ประโยคหนึ่งว่า
Every new day is another change your life.
ทุกๆวันใหม่ คือโอกาส ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณ
.......ฉันไม่ได้ต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเอง ฉันต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตของฝูงลิงในบ้านต่างหาก ฉันนึกในใจ เพราะคิดว่าตัวเองทำดีที่สุดแล้ว ทุกคนในบ้านต่างหาก ควรจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดี พวกจัดรายการจะมีดีขนาดไหนกัน ถึงมาสั่งสอนคนอื่น ออกรายการวิทยุ
อดแปลกใจตัวเองไม่ได้ว่า ทำไมต้องมาสนใจรายการวิทยุมากขนาดนี้
แต่ก็นะ......จู่ๆ ฉันก็เกิดความคิดที่ว่า ทำไมเราไม่ลองเปลี่ยนแปลงตัวเองดูสักที
เผื่อว่าอะไรๆ จะดีขึ้น ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย แต่ลองดูบ้างคงไม่เป็นไร ทำไมฉันถึงกลายเป็นแม่มดจอมบ่นประจำบ้านไปได้ ทำไมฉันไม่ลองทำตัวดีๆ พูดจาไพเราะแบบนางเอกในละครทีวีดูบ้าง
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พอฟังรายการนั่นไปเท่าไร ดูเหมือนจิตใจจะเริ่มโอนอ่อนผ่อนตามไปทีละน้อย ด้วยน้ำเสียงฟังดูอบอุ่นมีมนต์ขลังอย่างประหลาด ตามแบบของนักจัดรายการ ที่มักมีพรสวรรค์ในการทำให้คล้อยตาม คงเป็นรายการพิเศษ เพราะวันนี้เป็นวันแม่นั่นเอง
หลังจากซักผ้าเสร็จ ฉันตกลงใจว่าจะทำตามความคิดของตัวเองสักครั้ง
ลองทำตัว เป็น ‘แม่ที่ดี แม่ในฝัน’ ของลูก ดูบ้าง จะเป็นไรไป........
......................
หลังจากวุ่นวายกับการทำอาหารเย็น เป็นที่เรียบร้อย เมื่อฉันเดินเข้าไปยังห้องนั่งเล่น พบว่าสมาชิกครอบครัวอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ที่ผิดสังเกต คือ บรรยากาศ ที่ดูเคร่งเครียด กดดัน อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกคนสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ พากันจ้องมองยังฉันเป็นตาเดียว
"มีอะไรหรือคะ” ฉันยิ้มหวานทักทาย ‘การยิ้ม’ เป็นสิ่งหนึ่งที่เคยมีคนบอกว่า จะละลายความตึงเครียด และความกดดันได้ ทุกคนในห้องพากันนั่งตัวตรง จ้องมองไม่วางตา
“เห็นไหม แม่เปลี่ยนไป” ลูกชายคนโตพูดขึ้น ก่อนหันหน้าไปยังสมาชิกคนอื่นๆ เพื่อให้เห็นฟ้องต้องกัน “บอกแล้วว่าแม่ไม่เหมือนเดิม ตอนเที่ยงผมกับน้องแย่งดูทีวี แม่ไม่เห็นทำอะไร ยิ้มอย่างเดียว ทั้งที่แม่ควรดุว่าเรา เสียงดังคับบ้านแล้ว”
“คุณแม่มา หอมแก้ม หนูด้วย” ลูกสาวคนรองหันไปฟ้องคุณพ่อ “หนูกำลังเล่นไลน์อยู่ แต่แม่ว่าอะไรอะไรสักคำ แถมมาหอมแก้ม มันทำให้หนูกลัว”
“หนูทำจานตกแตก แม่เก็บไปยิ้มไป ไม่ว่าอะไรสักคำ” ลูกชายอีกคนพูดขึ้นมาบ้าง ทำให้ฉันเริ่มสลายรอยยิ้ม
“คุณแม่พูดจาหวาน ๆ กับหนูด้วยค่ะ หนูขนลุกเลย”
“ใช่แม่ของเราจริงๆ หรือเปล่าคะ” ลูกๆ เริ่ม พากัน ส่งเสียงดัง มองมาด้วยสายตาไม่ไว้ใจ
“คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่า” สามีของฉันพูดขึ้นบ้าง สายตามีแววไม่ไว้ใจเหมือนคนอื่น “จู่ๆ ก็เอาผลไม้อาหารเครื่องดื่ม ไปส่งให้ผมถึงห้องนอน คุณไม่เคยทำแบบนี้เลยนะ”
“ผีเข้าแม่เหรอเปล่า.....” บางคนถึงกับตั้งข้อสงสัย ไปไกลลิบ
จากนั้นทุกคนก็พากันเอาเรื่อง ‘ความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี’ ของฉัน มา สาธยายแบบไม่ไว้หน้า มันทำให้ฉันตัวชา ฉันพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไปในทางที่ดี สุดความสามารถแล้ว ไม่ดุด่าว่ากล่าว พูดจาไพเราะกับทุกคน เอาใจทุกคนในบ้าน ทำไมกลายเป็นแบบนี้ ทุกคนพากันเป็นอะไรไปหมด ฉันหลับตากัดฟันกรอด พยายามระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านมากขึ้นทุกที สมาชิกภายในบ้านเห็นฉันเป็นตัวประหลาดน่ากลัวไปเสียแล้ว
ในที่สุด ความอดทนก็ขาดผึง ฉันพยักหน้า เข้าใจชีวิต มือเท้าเอวและเริ่มแยกเขี้ยวขึ้นเสียงบ้าง อย่างหมดความอดทน
“.....วันแม่ แม่ก็พยายามปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น อยากให้พวกแก มีแม่ที่ดีๆ ในแบบที่พวกแกต้องการบ้าง แล้วเป็นไง..... พวกแกไม่ได้เห็นความดีที่แม่ทำเลย เสียแรงที่แม่อุตส่าห์ลงทุนลงแรง ปรับสภาพจิตใจ... ทำตัวเป็นแม่ที่พูดจาดีๆ เอาใจตามใจพวกแก แล้วตกลงเป็นไง ทุกคนมองแม่ เหมือนเป็นตัวประหลาด จะบอกให้นะ พวกแกมันแย่ เหมาะสมกับแม่ชนิดที่ต้องคอยดุด่าว่ากล่าว ไม่ควรมีสิทธิ์จะได้มีแม่ดีๆ แบบคนอื่นหรอก เพราะ....”
พูดระบายยังไม่ทันจบ ฉันก็รู้สึกว่า บรรยากาศที่แสนหนักอึ้งกดดันเปลี่ยนไป ลูกแต่ละคนหันไปพยักหน้าให้กัน ยิ้มอย่างสบายใจ โล่งใจ บางคนถึงกับล้มตัวลงไปนอนบนโซฟา อย่างผ่อนคลาย ท่าทางมีความสุข ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด และเปลี่ยนไปในทางที่ดี ในขณะที่สามีลุกขึ้นมา ยิ้มกว้าง เดินตรงมา กางแขนโอบกอดฉันไว้ บอกข้างหูว่า
“ที่รัก...พวกเราได้คุณกลับคืนมาแล้ว”
ฉันนิ่งอึ้ง และในที่สุดก็เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง การเปลี่ยนปลงบางครั้ง ก็คือการทำให้ยอมรับและเข้าใจถึงการไม่เปลี่ยนแปลง เรื่องในครอบครัว เป็นสิ่งละเอียดอ่อน เกินกว่าจะจะมีหลักการหรือทฤษฏีอะไรมากำหนด
หลังจากวันนั้น เหตุการณ์ในบ้านก็ยังคงวุ่นวายเหมือนเดิม ฉันก็ยังคงเป็น ‘แม่มดจอมบ่น’ ต่อไป แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือมุมมองของฉันเอง
(ต่ออีกนิดครับ) ^^