หรือจะไม่ใช่เสียงกริ่งจักรยาน อย่างที่เข้าใจมาตลอด

เรื่องมันเกิดตอนที่เราเรียนอยู่ป.5 ช่วงปิดเทอม พ่อเเม่มารับเรากับน้องชายไปอยู่ที่กรุงเทพฯด้วย

ที่พัก คือออฟฟิตร้างในโรงงานที่พ่อทำงาน โรงงานที่พ่ออยู่มีเนื้อที่กว้างเกือบ10ไร่ เป็นโรงงานทอผ้า ในโรงงานมีทั้ง โรงทอ โรงปั่น โรงพิมพ์ โรงเหล็ก โรงย้อม โรงกลึง ฯลฯซึ่งเเต่ละโรง ก็ใช้เนื้อที่ เเละ ระยะห่าง จากกันพอสมควร พ่อมีหน้าที่เป็นช่างดูเเลเครื่องจักรของโรงงาน ที่พักของพ่อตั้งอยู่ในส่วนท้ายของโรงงานติดกับโรงกลึง โดยมีประตูเหล็กขนาดใหญ่กั้นเเยกระหว่างห้องพักกับโรงกลึงไว้ ส่วนด้านหน้าตัวห้อง เป็นกำเเพงกั้นเว้นระยะว่างไว้เป็นทางเดิน เว้นระยะห่างจากหน้าประตูห้องประมาณ3เมตร หลังกำเเพงเป็นท่อทิ้งน้ำเสีย เเละ พวกถังซีเมนต์ขนาดสูงใหญ่เกี่ยวกับพวกระบบบำบัดน้ำ ส่วนประตูห้องด้านหลังพอเปิดออกไปจะเจอโรงพิมพ์ ซึ่งนานๆจะถูกใช้เสียที สภาพจึงไม่ต่างกับโรงพิมพ์ร้าง มีเครื่องพิมพ์ผ้าระบบโบราณ เเละ จักรเย็บผ้ารวมถึงเครื่องทอที่ปลดระวางเเล้วมาเก็บไว้ เรียกว่า คล้ายโกดังเก็บของไม่ใช้เเล้วมากกว่า พื้นที่มันกว้างเกือบๆไร่เลย 

ในส่วนที่พวกเราต้องมาพักอยู่จึงห่างจากผู้คนพอสมควร ระยะทางเดินกว่าจะถึงตัวห้อง ต้องผ่านทางเเคบๆเพราะสองข้างทาง เต็มไปด้วยเครื่องจักรเก่าขนาดใหญ่ขึ้นสนิมจอดวางทิ้งกันเรียงราย บนเครื่องจักรถูกทับซ้อนด้วยกองฝ้าย,เศษเหล็กเเละม้วนผ้าดิบขนาดใหญ่ซึ่งเเกนของมันเป็นเเกนเหล็กคล้ายที่ยกน้ำหนัก เขาวางถมๆซ้อนๆกันจนสูงเกือบชิดหลังคา น้องชายเคยทำของเล่นตกหายเเละจะมุดเข้าไปเก็บ เเม่เตือนว่า ห้ามมุดเข้าไปเด็ดขาด เคยมีคนงานพบงูเหลือม และเป็นที่ซ่องสุมของสัตว์มีพิษ เเละ รังค้างคาว

***เข้าเรื่อง มีอยู่คืนหนึ่งเรากับน้องชายตื่นขึ้นมาพร้อมกัน ช่วงตี1กว่าๆ เราบอกน้องว่า มีเสียงคนกดกริ่งจักรยานอยู่ข้างนอก เสียงเหมือนกดกริ่งจักรยานค้างไว้ น้องชายก็ได้ยินเหมือนเรา ซึ่งที่กลัวเพราะในระยะหลายกิโลนี้ไม่มีใครพักอาศัยอยู่เลยนอกจากพวกเรา เสียงกริ่งมันดังจนเหมือนคนทำตั้งใจยั่วยุหลอกหลอน ในขณะที่พ่อกับเเม่นอนหลับสนิท เรานอนบนเตียงกันสองคนกับน้อง พ่อกับเเม่กางมุ้งนอนด้านล่าง ใกล้ๆกัน
เสียงกริ่งนั้นดังอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง เรากับน้องนอนไม่หลับเพราะกลัว เรามองฝ่าความมืดออกไป เหมือนมีเเสงสีเขียวๆเข้าตาเราเเละเเสงมันสูงขึ้น( เหมือนตอนเราหลับตามันจะมีเเสงเขียวๆส้มๆเรืองๆแต่ถ้าปรกติมันจะเป็นเเค่ด่างดวงเล็กๆ เเต่นี้ มันพุ่งสูงเกือบเท่าจอมปลวก) เรากับน้องเลย เเหกปากตะโกนร้อง จนพ่อกับเเม่ตื่น เมื่อเล่าให้พ่อเเม่ฟัง พ่อเเม่ว่า เรากลัวเเละหลอกกันเอง แต่พ่อเอาพระมาคล้องเเละยอมเปิดไฟให้นอน

เรื่องนี้เกิดมาร่วม10ปีเเล้ว ทุกวันนี้เรากับน้องยังพูดเล่นกันว่า" จำผีกริ่งจักรยานได้ไหม" น้องบอก "โคตรก๊องเเก๊ง เเค่มาหลอกเเบบกดกริ่งจักรยาน ไม่รู้กลัวไปได้ไง "
เเต่พอผู้ใหญ่ได้ฟัง ป้าเราบอกว่า
**อาจจะเป็นเสียง เปรต!!!! ** ซึ่งตอนนั้น พวกเราเด็กเกินไปที่จะนึกถึง ในความเข้าใจเเบบเด็กๆจึงคิดว่าเป็นเสียงกริ่งจักรยาน เเละก็คงความคิดเเบบนั้นมาจนกระทั่งโต  จนป้ามาพูดนี่เเหละถึงได้เริ่มฉุกคิด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่