คนไทยที่ถูกกวาดต้อนสมัยเสียกรุงครั้งที่ 2 ส่วนมากถูกกวาดต้อนไปอยู่เมืองไหนคับ

เมืองไหน ชุมชนไหนคับ และปัจจุบันคนไทยกลุ่มนั้นยังรักษาอัตลักษณ์ความเป็นไทยได้มากน้อยแค่ไหนคับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
ส่วนใหญ่ถูกกวาดต้อนไปอยู่ที่กรุงอังวะครับ พงศาวดารพม่าระบุว่าพระราชวงศ์ฝ่ายในของพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยาโปรดให้สร้างวังไว้ในพระราชวังหลวงกรุงอังวะเป็นที่ประทับ ส่วนพระราชวงศ์ฝ่านหน้าข้าราชการและพลเมืองให้อยู่นอกพระราชวัง   โดยพระราชพงศาวดารของไทยระบุว่ามีเชื้อพระวงศ์อยุทธยาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองจักไก หรือ สะกาย (Sagaing) ที่อยู่คนละฝั่งแม่น้ำกับกรุงอังวะด้วย

นอกจากนี้ยังมีชาวอยุทธยาไปตกค้างอยู่ตามเมืองอื่นด้วย เช่น มหาโค เดิมเป็นฆราวาส เมื่อเสียกรุงมีอายุ ๒๗ ปีถูกกวาดต้อนตามพระเจ้าอุทุมพรไปแต่ไปพลัดหลงกันที่เมืองเปร (แปร) บวชเป็นพระอยู่ ๑๔ พรรษาจึงสึกออกมาแต่งงาน มีบุตรชื่อมหากฤช  มหากฤชอาศัยอยู่ในสำนักของมารดาพระเจ้าจิงกูโอรสพระเจ้ามังระ   มหาโคมหากฤชหนีพม่ากลับมาเมืองไทยใน พ.ศ. ๒๓๕๓ ต้นรัชกาลที่ ๒ จึงได้ให้การเกี่ยวกับเหตุการณ์ในเมืองพม่าไว้ เรียกว่า "คำให้การมหาโค มหากฤช เรื่อง เมืองพะม่า"


ที่เมืองทวายก็มีคนไทยไปตกค้างอยู่ เช่น กรมขุนรามินทรสุดา หรือที่เรียกกันว่า "พระองค์เจ้าชี"  พระธิดาของพระเจ้าขุนรามณรงค์ พระเชษฐาของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์  เดิมอยู่ที่อังวะแต่หลบหลีกลงมาอยู่เมืองทวาย  เมื่อพระยาทวายคิดสวามิภักดิ์ต่อไทยในรัชกาลที่ ๑ จึงส่งพระองค์เจ้าชีกับเชลยกรุงศรีอยุทธยาไปถวาย ภายหลังจึงพาเสด็จกลับไปกรุงเทพฯ ตั้งเป็นเจ้าฟ้าฝ่ายใน     อีกคนคือตามาซึ่งรู้จักคุ้นเคยกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ มาตั้งแต่กรุงยังไม่เสีย ไปตกอยู่เมืองทวายเช่นเดียวกัน

และน่าจะยังมีคนไทยอยู่อีกหลายเมือง ปรากฏในพระาชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๑ ว่า ในสงครามตีเมืองทวาย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ทรงหวังจะใช้เมืองทวายเป็นฐานในการขยายอำนาจไปพม่าเพื่อกวาดต้อนเชลยอยุทธยากลับมา แต่กรมพระราชวังบวรฯ ทรงเห็นว่ารักษาเมืองทวายไว้ได้ยาก จะขอรื้อกำแพงเมืองแล้วกวาดครัวอพยพกลับ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงพระพิโรธ ทรงมีหนังสือไปตำหนิกรมพระราชวังบวรฯว่า

       "อ้ายพม่ายกมาตีกรุงได้ชาวกรุงแลพี่น้องขึ้นไปไว้ แต่ที่เมืองทวายเมืองเดียวดอกฤา เมืองอังวะแลเมืองอื่น ๆ ไทยชาวกรุงไม่มีฤา ไม่ช่วยเจ็บแค้นขึ้งโกรธบ้างเลย"


เมื่อพระเจ้าปดุงทรงย้ายราชธานีจากอังวะไปอมรปุระ (ซึ่งใกล้อังวะมาก) เชลยชาวกรุงศรีอยุทธยาก็ถูกกวาดต้อนไปด้วย  พระราชวงศ์ที่ประทับในพระราชวังหลวงก็ย้ายไปประทับที่พระราชวังหลวงแห่งใหม่  พระเจ้าอุทุมพรทรงจำพรรษาที่ "ปองเลไต๊" (ตึกปองเล) ปัจจุบันคือวัดปองเล ในย่านตลาดระแหง เมืองอมรปุระ หลักฐานพม่าออกพระนามพระองค์ว่า "เจ้าฟ้าทอกมหาเถระ" สันนิษฐานว่าเป็นวัดแห่งแรกของชุมชนชาวอยุทธยาในพม่า พระเจ้าอุทุมพรสวรรคตในเมืองอมรปุระเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๙ ได้พระราชทานเพลิงพระบรมศพที่ลินซินกง คือ สุสานล้านช้าง ซึ่งเป็นบริเวณที่พระเจ้ามังระพระราชทานให้เชลยชาวยวนและชาวอยุทธยอยู่อาศัยด้วย  ต่อมาหลังถวายพระเพลิงจึงได้สร้างสถูปบรรจุพระอัฐิไว้ที่นั้น

เชลยชาวอยุทธยาได้ตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณริมคลองชเวตชองในเมืองอมรปุระ - มัณฑเลย์ สืบต่อมาจนปัจจุบัน

ในเมืองอมรปุระมีย่านระแหง (ระแหงอะยะ) และย่ายเมงตาสุ (เมงตาสุอะยะ) เป็นยานที่อยู่ของเชลยชาวอยุทธยาในสงครามเสียกรุงตั้งแต่ก่อนการสถาปนาเมืองอมรปุระเป็นราชธานี  เมื่อต่อมาย้ายราชธานีไปเมืองมัณฑเลย์ในรัชกาลพระเจ้ามินดง  ย่านทั้งสองก็เป็นส่วนหนึ่งของปริมณฑลเมืองมัณฑเลย์  มีหลักฐานว่าราชสำนักพม่าได้ปลูกสร้างบ้านเรือนและตลาดไว้ในย่านนี้ เกิดเป็น "ตลาดโยเดีย" (โยเดียเซ) และปรากฏศาล "รามเทพ" หรือ "ศาลยามะ" ซึ่งเป็นศาลที่ชาวอยุทธยาสร้างขึ้นเพื่อเก็บรักษาหัวโขนสำหรับไว้ครู   

จากการสำรวจภาคสนาม พบว่าในบริเวณริมคลองชเวตชองยังมีวัดที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับเชลยชาวอยุทธยาหลายวัด และมีชุมชน รวมทั้งชาวพม่าที่ยังจดจำได้ว่าบรรพบุรุษเป็นชาวอยุทธยา เช่น หมู่บ้านสุขขะ ตอนเหนือของเมืองมัณฑเลย์ ฯลฯ แม้ว่าในปัจจุบันจะไม่พบร่องรอยทางวัฒนธรรมอยุทธยาที่เห็นได้อย่างชัดเจนเนื่องจากส่วนใหญ่ได้กลมกลืนเป็นชาวพม่าไปแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่