สวัสดีครับทุกๆท่านที่เข้ามาในกระทู้นี้นะครับ (ทั้งคนที่ตั้งใจและคนที่เผลอกดเข้ามา 555)
อันที่จริงแล้วผมเคยตั้งกระทู้ที่มีเนื้อหาแบบเดียวกันนี้ไว้เมื่อ 1 ปีที่แล้ว และคิดว่าบางคนก็อาจจะเคยเห็นกระทู้ที่ผมเคยเขียนเอาไว้ผ่านตากันมาบ้างแล้ว วันนี้ก็เลยขอถือโอกาสมาอัพเดทเรื่องราวต่อจากเดิม เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อใครๆอีกหลายคนนะครับ
ซึ่งในกระทู้นี้ผมก็จะเขียนเล่าเรื่องราวตั้งแต่แรกใหม่อีกรอบครับ ซึ่งจะเล่าเรื่องเพิ่มเติมและละเอียดกว่าของกระทู้เก่าด้วย ซึ่งหากว่าใครที่ยังไม่เคยอ่านกระทู้เก่า ก็สามารถข้ามมาอ่านแค่ในกระทู้นี้อย่างเดียวก็ได้ครับ เรื่องราวค่อนข้างยาว อดทนอ่านหน่อยนะครับ คิดซะว่าอ่านนิยายแล้วกัน 555
กระทู้ที่เคยเขียนเอาไว้
https://ppantip.com/topic/39081692
ก่อนอื่น ผมต้องขอเกริ่นก่อนครับ ว่า...
สเตียรอยด์คืออะไร มีหน้าที่อะไร อันตรายอย่างไร ?
สเตียรอยด์ (Steroid) เป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ร่างกายของคนเราสร้างขึ้นมาจากต่อมหมวกไตชั้นนอก โดยมีหน้าที่ในการควบคุมระบบการทำงานต่างๆของร่างกาย ช่วยให้อวัยวะ เซลล์ และ เนื้อเยื่อต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และสำหรับสเตียรอยด์ทางการแพทย์ที่ใช้ในการรักษาโรคผิวหนังจะเป็นสเตียรอยด์ที่สังเคราะห์ขึ้นมา ซึ่งชนิดที่ใช้สำหรับภายนอกนั้นจะเรียกว่า Topical Steroids เป็นยาในกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและกดภูมิคุ้มกันในร่างกาย ยาสเตียรอยด์ชนิดที่ใช้ภายนอกสำหรับรักษาโรคผิวหนังที่ว่านี้ จะมีให้เลือกใช้หลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบครีม ขี้ผึ้ง โลชั่น ซึ่งส่วนมากจะไม่มีการระบุในข้อมูลของยาลงไปตรงๆว่ามีสเตียรอยด์ แต่มักจะใช้เป็นชื่ออื่นพร้อมค่าความเข้มข้นที่เป็นส่วนผสมแทน เช่น Triamcinolone Acetonide 0.1% เป็นต้น
ซึ่งสรรพคุณของสเตียรอยด์เนี่ยเรียกว่าครอบจักรวาล ไม่ใช่แค่รักษาได้แค่โรคผิวหนังเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้รักษาโรคอื่นๆได้อีกด้วย ซึ่งการใช้สเตียรอยด์จะให้ผลลัพธ์หลังจากการใช้ แบบว่าทำให้ประทับใจสุดๆ โดยใช้เวลารักษาไม่นานนัก อาการที่เป็นอยู่ก็จะดีขึ้นแบบรวดเร็ว เช่น โรคผิวหนังจะหายดีได้ในเวลาไม่กี่วัน ผิวหนังจะเปล่งปลั่งกระจ่างใสในเวลาอันสั้น เป็นต้น และเนื่องจากสเตียรอยด์มีผลทำให้ผิวดูดี(แบบชั่วคราว)ได้ในเวลาอันสั้น จึงมีผู้ที่มักง่ายชอบแอบเอามาผสมกับพวกครีมบำรุงผิว ซึ่งหากเผลอใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน แทนที่ผลที่ได้จะดี จะกลับกลายเป็นส่งผลที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม อาการที่เป็นอยู่ก็จะกลับมา แถมทวีความรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่าตัว !!!
ก็แนะนำว่าอย่าเพิ่งกลัวสเตียรอยด์จนเกินไปนะครับ คุณสามารถใช้สเตียรอยด์ได้ครับ แต่ต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น ส่วนในกรณีของผมนั้นใช้มานานเกินไปครับ เดี๋ยวผมจะค่อยๆเล่าไปนะครับ…
การกดภูมิคุ้มกัน เป็นยังไง ?
การกดภูมิคุ้มกัน คือ การลดการกระตุ้นของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายลงไป หรือก็คือการลดประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน โดยระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายบางคนอาจจะทำงานมากจนเกินไป ส่งผลให้มีความไวต่อสิ่งที่แพ้มากขึ้นและแพ้ต่อสิ่งต่างๆง่ายขึ้น หากทำการกดภูมิคุ้มกันลงไป ผลก็คือจะทำให้ปฎิกิริยาการแพ้ของร่างกายต่อสารที่มากระตุ้นให้แพ้ลดลงไปได้ อาการแพ้ที่เกิดขึ้นก็จะลดลงไปด้วยเช่นกัน
ซึ่งไม่ควรใช้ยากดภูมิในระยะเวลาที่นานจนเกินไป เพราะผลข้างเคียงค่อนข้างรุนแรง เพราะจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายมีปัญหาในภายหลังได้ ยากดภูมิก็จะมีให้เลือกใช้หลากหลายรูปแบบ เช่น ขี้ผึ้ง แบบเม็ด แบบน้ำ แบบฉีด เป็นต้น
เรื่องราวของผมส่วนหนึ่งมาจากความผิดพลาดของตัวผมเองที่ตอนนั้นขาดความรู้ ความเข้าใจ และไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับผลข้างเคียงและวิธีใช้สเตียรอยด์ที่ถูกต้องมาก่อน รู้เพียงแค่ว่ามันมีเอาไว้เพื่อรักษาโรคผิวหนังได้แค่นั้นเอง เรื่องราวที่ผมจะเล่าต่อจากนี้อาจจะไม่ใช่แนวทางการรักษาที่ถูกต้องทั้งหมด แต่ก็อาจจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้สำหรับผู้ที่มีอาการเดียวกันครับ และต้องขอแจ้งไว้ก่อนด้วยครับว่า ผมไม่มีเจตนาออกมาโน้มน้าวให้คนอื่นรู้สึกรังเกลียด หรือ ต่อต้าน ยาสเตียรอยด์นะครับ แต่เรื่องราวทั้งหมดต่อไปนี้คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวผมครับ
ผมขอเรียกสิ่งที่ผมเป็นว่า ”อาการติดสเตียรอยด์” นะครับ ซึ่งผมก็ไม่เคยได้ยินว่ามันมีอาการที่ว่านี้ในโลกนี้ด้วย ขนาดหมอผิวหนังหลายๆคนที่ผมเคยไปหามา บางคนยังบอกกับผมว่า “มันมีด้วยหรอ? ติดสเตียรอยด์เนี่ยนะ” แต่เชื่อเถอะครับว่าอาการนี้มันมีอยู่จริงๆ และจากการที่ผมได้ลองค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ พบว่ามีคนที่เป็นโรคนี้เยอะพอสมควรครับ มีหลายคนที่เคยเป็นก็มาตั้งกระทู้แชร์ประสบการณ์เหมือนกับผม อาการก็มีความแตกต่างกันไปแล้วแต่บุคคล และคนส่วนใหญ่ก็เป็นอาการนี้แบบไม่รู้ตัวด้วยนะครับ เพราะอาการของโรคจะไม่ค่อยต่างอะไรจากโรคผิวหนังธรรมดาเลยครับ คนส่วนใหญ่ก็จะจบด้วยการเอายาสเตียรอยด์มารักษา แล้วอาการก็จะหายไปชั่วคราว แต่ก็จะกลับมาอีกเมื่อหยุดหรือเลิกยา และทุกครั้งที่ผื่นกลับมา ก็จะกลับมาแบบหนักขึ้นไปเรื่อยๆครับ พูดง่ายๆก็คือเหมือนกลายเป็นคนติดยา ขาดยา ขาดของ แล้วจะมีอาการลงแดง และหากใช้สเตียรอยด์ไปนานๆเข้า ผิวหนังในบริเวณที่ทายา ก็จะบางลงและอาจจะหลุดลอกออกไปเรื่อยๆครับ และภูมิคุ้มกันตรงบริเวณนั้นก็จะต่ำลง ทำให้เกิดอาการแพ้ง่ายขึ้นมากๆ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นอาจจะไม่เคยแพ้อะไรมาก่อนเลยด้วยซ้ำ เพราะสเตียรอยด์มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันลง เพื่อลดอาการแพ้หรืออักเสบของผิวหนังครับ
และแน่นอนว่าเป็นได้ ก็ต้องหายได้เช่นกันครับ แต่การรักษาเนี่ย ต้องขอบอกว่า นรกกว่าชื่อน้ำพริกอีกครับ โดยการรักษาอาการนี้จะเรียกว่า “การถอนสเตียรอยด์” นะครับ...
ตอนเด็กๆผมมักจะเป็นผื่น(ไม่ใช่หื่น) ขึ้นตามข้อศอก ข้อพับบ่อยๆ แล้วบ่อยครั้งก็มักจะเป็นตอนที่ผมเผลอไปกินอาหารทะเลเข้า(แต่อาหารทะเลก็อร่อยจริงๆแหละ) จนทำให้ผมเข้าใจมาโดยตลอดว่า ผมเป็นคนที่แพ้อาหารทะเล หลังจากนั้นก็พยายามหลีกเลี่ยงการกินอาหารทะเลมาโดยตลอด ถึงกินก็จะเลือกกินแต่น้อย เพื่อไม่ให้ผื่นแพ้กลับมาอีก ก็มีผื่นขึ้นมาบ้างเล็กน้อยเป็นครั้งคราว แต่ถือว่าอยู่ในระดับที่น้อย ซึ่งก็ไม่ชัดเจนว่าผื่นเกิดจากอาหารทะเลจริงๆหรือไม่
ย้อนไปเมื่อประมาณ 5-6 ปีก่อน (ก่อนหน้านั้นผมไม่เคยไปหาหมอผิวหนังมาก่อนนะ) ซึ่งตอนนั้นผมก็มีผื่นขึ้นบริเวณแถวข้อศอกกับคอเพียงเล็กน้อยเท่านั้น (แต่ก็คันไม่เบา) และด้วยความที่อยากให้ผื่นหายไปสักที จึงได้ลองไปหาหมอที่คลินิคแห่งหนึ่งแถวบ้าน โดยเหตุผลที่เลือกคลินิคแห่งนี้ ก็เพราะว่าเห็นลูกค้าเข้าไปใช้บริการเป็นประจำค่อนข้างมากเชียวล่ะ ก็เลยเชื่อใจฝีมือของหมอที่คลินิคที่ว่าระดับนึงเลย คุณหมอท่านนั้นก็ได้ให้ยาเม็ดมาทาน และ ยาทาแบบกระปุก ที่ไม่มีการลงรายละเอียดบ่งบอกว่าเป็นยาอะไร บอกมาแค่ว่าให้ใช้ทา พอผื่นหายแล้วก็ให้หยุดใช้ทันที โดยไม่มีการเอ่ยถึงคำว่า "สเตียรอยด์" ให้ได้ยินแม้แต่คำเดียว โดยตอนนั้นผมเองก็ไม่เคยศึกษาเรื่องของสเตียรอยด์มาก่อน ก็เลยไม่ได้เอะใจว่ามันคือยาสเตียรอยด์หรือไม่ จากนั้นผมก็ใช้ยาตามที่หมอสั่งทุกอย่าง ผลก็คือ...ผื่นมันหายไปจริงๆแหละครับท่านผู้ชม ผื่นยุบหายไปเร็วสุดๆ น่าประทับใจ เวรี่กู๊ดมากๆๆ และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของความ Shipหาย ในชีวิตของผมครับ…
หลังจากที่ผื่นหายไปแล้ว ผมก็หยุดยาทันที ตามที่หมอสั่งเป๊ะๆ จากนั้นผ่านไปแค่ 2 สัปดาห์ ผื่นเจ้ากรรมในที่เดิมๆก็ค่อยๆกลับขึ้นมาทักทายผมอีกรอบครับ ผมก็กลับไปหาหมอที่คลินิคเดิมอีกครั้ง จากนั้นก็วนลูปแบบเดิมไปอีก 3 รอบ ถ้วนครับ ผื่นก็เป็นๆหายๆ สลับกันไปไม่จบสิ้น
หลังจากนั้นผมก็ตัดสินใจไปหาหมอผิวหนังที่โรงพยาบาลอื่นดูบ้างครับ สรุปแต่ละครั้งที่ไปเนี่ย ผมมีโอกาสอ้าปากคุยกับคุณหมอได้ไม่เคยเกิน 3 นาที เลยครับ (ต้มมาม่ายังไม่ทันเสร็จเลย) คุณหมอก็บอกเป็นแค่ผิวหนังอักเสบ และรีบปิดจ็อบโดยการจ่ายยามาให้ผม พร้อมกับยาชนิดเม็ด และ ยาทาสเตียรอยด์แบบครบชุดมาให้ผม และบอกมาสั้นๆแค่ว่า ให้กลับไปกินและทายา เมื่อผื่นยุบให้หยุดใช้ยาทันที โดยไม่มีการเอ่ยถึงคำว่า "สเตียรอยด์" เช่นเดิมครับ แถมไม่มีการเตือนข้อควรระวังในการใช้ยาใดๆทั้งสิ้น ผลก็ออกมาแบบเดิมๆ ผื่นเป็นๆหายๆ และทุกครั้งเวลาที่ผื่นกลับมา มันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็เริ่มลามไปยังส่วนอื่นๆอีกด้วย จากที่ผมเป็นแค่ตามข้อศอก ก็เริ่มลามไปยังหลัง ใบหน้า ใบหู มือ เท้า ผิวที่เคยดูดีกลับแห้งเหี่ยวเหมือนผิวคนแก่เลยครับ…
หลังจากนั้นภายในระยะเวลา 1-2 ปี ผมก็ได้ลองเปลี่ยนไปหาคุณหมอตามโรงพยาบาลแห่งอื่นอีกครับ รวมแล้วก็อีกเกือบ 10 ที่ โดยแต่ละที่ที่ผมไปมาเนี่ย ไม่ได้ไปแค่ครั้งเดียวนะครับ ผมไปอย่างต่ำ 3 ครั้งครับ พอเวลาผ่านไปหลายเดือนแล้วเห็นว่าเริ่มไม่เวิร์ค ก็เลยลองย้ายที่ดูครับ และก็เช่นเดิมครับ ก็ได้รับการรักษาแบบเดิมๆ โดยการได้ยาสเตียรอยด์มาใช้โดยไร้คำอธิบายวิธีการใช้ยาใดๆทั้งสิ้น ถึงแม้จะถามแล้วก็ได้คำตอบเดิมๆว่า "ผื่นยุบ ให้หยุดใช้ยา"
ซึ่งคุณหมอที่เคยไปหามาเกือบทั้งหมด วินิจฉัยว่าผมเป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง (Eczema) ครับ เพราะดูจากอาการก็คือจะเหมือนกับโรคที่ว่าจริงๆแหละครับ เค้าก็เลยจ่ายยาพวก Prednisolone และ Steroid มาให้ทุกครั้งครับ แถมครั้งไหนที่มีอาการหนักๆ ยากิน ยาทา เริ่มเอาไม่ค่อยอยู่ คุณหมอก็จะให้ผมฉีดยาด้วยครับ ซึ่งมารู้ทีหลังเลยว่ายาที่ฉีดก็คือยากดภูมิคุ้มกันครับ
ณ จุดนี้ ผมเริ่มเอาชื่อยาที่ผมเคยใช้ มาลองหาข้อมูลในเว็บอากู๋ แล้วก็เริ่มเข้าใจว่า ยาที่ผมใช้กินและใช้ทาที่ผ่านมาเนี่ยมันคือ สเตียรอยด์นั่นเอง ซึ่งหากใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน มันจะส่งผลเสียต่อร่างกายพอสมควร แต่ช่วงนั้นคือผื่นยังไม่ได้ลุกลามทั่วทั้งตัว เป็นเพียงแค่บางส่วนในร่างกายเท่านั้น ผมก็เลยคิดว่าคงยังไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ เพราะยังไม่ได้ใช้ยาเยอะแบบทาทั่วทั้งตัวครับ แล้วตอนที่ผื่นยุบ แล้วหยุดใช้ยาไป ก็ยังพอมีช่วงเว้นระยะหลายสัปดาห์ก่อนใช้ใหม่อยู่ด้วยครับ
และต้องขอบอกก่อนนะครับว่าหลังจากนั้นทุกครั้งที่ผมเข้าพบคุณหมอ ผมจะบอกเสมอว่าผมได้รับการรักษาโดยการใช้ยาสเตียรอยด์มาเยอะแล้ว ไม่อยากใช้สเตียรอยด์มากกว่านี้แล้ว แต่คุณหมอเกือบทุกท่านก็บอกกับผมว่า "ถ้าไม่ใช้ ผื่นก็ไม่หาย" ผมก็ต้องจำใจใช้ต่อมาอีกเรื่อยๆครับ โดยที่ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าผลข้างเคียงมันจะออกมาเป็นยังไงบ้าง แถมคุณหมอบางท่านที่ไปหามายังเนียนบอกว่ายาที่ให้ผมใช้นั้นไม่มีสเตียรอยด์ แต่ใครเห็นใครก็รู้ครับว่ามันมีสเตียรอยด์ เอาชื่อยาไปค้นหาในเน็ตได้เลยครับ แต่ตอนนั้นผมไม่อยากเถียงกับหมอครับ ก็เออๆ ออๆ กันไป ส่วนอาการช่วงนั้นก็ยังไม่ได้หนักหน่วงครับ ยังพอเอาอยู่ ใช้ชีวิตได้ปกติครับ…
อุทาหรณ์... สเตียรอยด์ ใช้ผิด ชีวิตเปลี่ยน…
อันที่จริงแล้วผมเคยตั้งกระทู้ที่มีเนื้อหาแบบเดียวกันนี้ไว้เมื่อ 1 ปีที่แล้ว และคิดว่าบางคนก็อาจจะเคยเห็นกระทู้ที่ผมเคยเขียนเอาไว้ผ่านตากันมาบ้างแล้ว วันนี้ก็เลยขอถือโอกาสมาอัพเดทเรื่องราวต่อจากเดิม เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อใครๆอีกหลายคนนะครับ
ซึ่งในกระทู้นี้ผมก็จะเขียนเล่าเรื่องราวตั้งแต่แรกใหม่อีกรอบครับ ซึ่งจะเล่าเรื่องเพิ่มเติมและละเอียดกว่าของกระทู้เก่าด้วย ซึ่งหากว่าใครที่ยังไม่เคยอ่านกระทู้เก่า ก็สามารถข้ามมาอ่านแค่ในกระทู้นี้อย่างเดียวก็ได้ครับ เรื่องราวค่อนข้างยาว อดทนอ่านหน่อยนะครับ คิดซะว่าอ่านนิยายแล้วกัน 555
กระทู้ที่เคยเขียนเอาไว้
https://ppantip.com/topic/39081692
ก่อนอื่น ผมต้องขอเกริ่นก่อนครับ ว่า...
สเตียรอยด์คืออะไร มีหน้าที่อะไร อันตรายอย่างไร ?
สเตียรอยด์ (Steroid) เป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ร่างกายของคนเราสร้างขึ้นมาจากต่อมหมวกไตชั้นนอก โดยมีหน้าที่ในการควบคุมระบบการทำงานต่างๆของร่างกาย ช่วยให้อวัยวะ เซลล์ และ เนื้อเยื่อต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และสำหรับสเตียรอยด์ทางการแพทย์ที่ใช้ในการรักษาโรคผิวหนังจะเป็นสเตียรอยด์ที่สังเคราะห์ขึ้นมา ซึ่งชนิดที่ใช้สำหรับภายนอกนั้นจะเรียกว่า Topical Steroids เป็นยาในกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและกดภูมิคุ้มกันในร่างกาย ยาสเตียรอยด์ชนิดที่ใช้ภายนอกสำหรับรักษาโรคผิวหนังที่ว่านี้ จะมีให้เลือกใช้หลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบครีม ขี้ผึ้ง โลชั่น ซึ่งส่วนมากจะไม่มีการระบุในข้อมูลของยาลงไปตรงๆว่ามีสเตียรอยด์ แต่มักจะใช้เป็นชื่ออื่นพร้อมค่าความเข้มข้นที่เป็นส่วนผสมแทน เช่น Triamcinolone Acetonide 0.1% เป็นต้น
ซึ่งสรรพคุณของสเตียรอยด์เนี่ยเรียกว่าครอบจักรวาล ไม่ใช่แค่รักษาได้แค่โรคผิวหนังเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้รักษาโรคอื่นๆได้อีกด้วย ซึ่งการใช้สเตียรอยด์จะให้ผลลัพธ์หลังจากการใช้ แบบว่าทำให้ประทับใจสุดๆ โดยใช้เวลารักษาไม่นานนัก อาการที่เป็นอยู่ก็จะดีขึ้นแบบรวดเร็ว เช่น โรคผิวหนังจะหายดีได้ในเวลาไม่กี่วัน ผิวหนังจะเปล่งปลั่งกระจ่างใสในเวลาอันสั้น เป็นต้น และเนื่องจากสเตียรอยด์มีผลทำให้ผิวดูดี(แบบชั่วคราว)ได้ในเวลาอันสั้น จึงมีผู้ที่มักง่ายชอบแอบเอามาผสมกับพวกครีมบำรุงผิว ซึ่งหากเผลอใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน แทนที่ผลที่ได้จะดี จะกลับกลายเป็นส่งผลที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม อาการที่เป็นอยู่ก็จะกลับมา แถมทวีความรุนแรงขึ้นอีกหลายเท่าตัว !!!
ก็แนะนำว่าอย่าเพิ่งกลัวสเตียรอยด์จนเกินไปนะครับ คุณสามารถใช้สเตียรอยด์ได้ครับ แต่ต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น ส่วนในกรณีของผมนั้นใช้มานานเกินไปครับ เดี๋ยวผมจะค่อยๆเล่าไปนะครับ…
การกดภูมิคุ้มกัน เป็นยังไง ?
การกดภูมิคุ้มกัน คือ การลดการกระตุ้นของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายลงไป หรือก็คือการลดประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน โดยระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายบางคนอาจจะทำงานมากจนเกินไป ส่งผลให้มีความไวต่อสิ่งที่แพ้มากขึ้นและแพ้ต่อสิ่งต่างๆง่ายขึ้น หากทำการกดภูมิคุ้มกันลงไป ผลก็คือจะทำให้ปฎิกิริยาการแพ้ของร่างกายต่อสารที่มากระตุ้นให้แพ้ลดลงไปได้ อาการแพ้ที่เกิดขึ้นก็จะลดลงไปด้วยเช่นกัน
ซึ่งไม่ควรใช้ยากดภูมิในระยะเวลาที่นานจนเกินไป เพราะผลข้างเคียงค่อนข้างรุนแรง เพราะจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายมีปัญหาในภายหลังได้ ยากดภูมิก็จะมีให้เลือกใช้หลากหลายรูปแบบ เช่น ขี้ผึ้ง แบบเม็ด แบบน้ำ แบบฉีด เป็นต้น
เรื่องราวของผมส่วนหนึ่งมาจากความผิดพลาดของตัวผมเองที่ตอนนั้นขาดความรู้ ความเข้าใจ และไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับผลข้างเคียงและวิธีใช้สเตียรอยด์ที่ถูกต้องมาก่อน รู้เพียงแค่ว่ามันมีเอาไว้เพื่อรักษาโรคผิวหนังได้แค่นั้นเอง เรื่องราวที่ผมจะเล่าต่อจากนี้อาจจะไม่ใช่แนวทางการรักษาที่ถูกต้องทั้งหมด แต่ก็อาจจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้สำหรับผู้ที่มีอาการเดียวกันครับ และต้องขอแจ้งไว้ก่อนด้วยครับว่า ผมไม่มีเจตนาออกมาโน้มน้าวให้คนอื่นรู้สึกรังเกลียด หรือ ต่อต้าน ยาสเตียรอยด์นะครับ แต่เรื่องราวทั้งหมดต่อไปนี้คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวผมครับ
ผมขอเรียกสิ่งที่ผมเป็นว่า ”อาการติดสเตียรอยด์” นะครับ ซึ่งผมก็ไม่เคยได้ยินว่ามันมีอาการที่ว่านี้ในโลกนี้ด้วย ขนาดหมอผิวหนังหลายๆคนที่ผมเคยไปหามา บางคนยังบอกกับผมว่า “มันมีด้วยหรอ? ติดสเตียรอยด์เนี่ยนะ” แต่เชื่อเถอะครับว่าอาการนี้มันมีอยู่จริงๆ และจากการที่ผมได้ลองค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ พบว่ามีคนที่เป็นโรคนี้เยอะพอสมควรครับ มีหลายคนที่เคยเป็นก็มาตั้งกระทู้แชร์ประสบการณ์เหมือนกับผม อาการก็มีความแตกต่างกันไปแล้วแต่บุคคล และคนส่วนใหญ่ก็เป็นอาการนี้แบบไม่รู้ตัวด้วยนะครับ เพราะอาการของโรคจะไม่ค่อยต่างอะไรจากโรคผิวหนังธรรมดาเลยครับ คนส่วนใหญ่ก็จะจบด้วยการเอายาสเตียรอยด์มารักษา แล้วอาการก็จะหายไปชั่วคราว แต่ก็จะกลับมาอีกเมื่อหยุดหรือเลิกยา และทุกครั้งที่ผื่นกลับมา ก็จะกลับมาแบบหนักขึ้นไปเรื่อยๆครับ พูดง่ายๆก็คือเหมือนกลายเป็นคนติดยา ขาดยา ขาดของ แล้วจะมีอาการลงแดง และหากใช้สเตียรอยด์ไปนานๆเข้า ผิวหนังในบริเวณที่ทายา ก็จะบางลงและอาจจะหลุดลอกออกไปเรื่อยๆครับ และภูมิคุ้มกันตรงบริเวณนั้นก็จะต่ำลง ทำให้เกิดอาการแพ้ง่ายขึ้นมากๆ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นอาจจะไม่เคยแพ้อะไรมาก่อนเลยด้วยซ้ำ เพราะสเตียรอยด์มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันลง เพื่อลดอาการแพ้หรืออักเสบของผิวหนังครับ
และแน่นอนว่าเป็นได้ ก็ต้องหายได้เช่นกันครับ แต่การรักษาเนี่ย ต้องขอบอกว่า นรกกว่าชื่อน้ำพริกอีกครับ โดยการรักษาอาการนี้จะเรียกว่า “การถอนสเตียรอยด์” นะครับ...
ตอนเด็กๆผมมักจะเป็นผื่น(ไม่ใช่หื่น) ขึ้นตามข้อศอก ข้อพับบ่อยๆ แล้วบ่อยครั้งก็มักจะเป็นตอนที่ผมเผลอไปกินอาหารทะเลเข้า(แต่อาหารทะเลก็อร่อยจริงๆแหละ) จนทำให้ผมเข้าใจมาโดยตลอดว่า ผมเป็นคนที่แพ้อาหารทะเล หลังจากนั้นก็พยายามหลีกเลี่ยงการกินอาหารทะเลมาโดยตลอด ถึงกินก็จะเลือกกินแต่น้อย เพื่อไม่ให้ผื่นแพ้กลับมาอีก ก็มีผื่นขึ้นมาบ้างเล็กน้อยเป็นครั้งคราว แต่ถือว่าอยู่ในระดับที่น้อย ซึ่งก็ไม่ชัดเจนว่าผื่นเกิดจากอาหารทะเลจริงๆหรือไม่
ย้อนไปเมื่อประมาณ 5-6 ปีก่อน (ก่อนหน้านั้นผมไม่เคยไปหาหมอผิวหนังมาก่อนนะ) ซึ่งตอนนั้นผมก็มีผื่นขึ้นบริเวณแถวข้อศอกกับคอเพียงเล็กน้อยเท่านั้น (แต่ก็คันไม่เบา) และด้วยความที่อยากให้ผื่นหายไปสักที จึงได้ลองไปหาหมอที่คลินิคแห่งหนึ่งแถวบ้าน โดยเหตุผลที่เลือกคลินิคแห่งนี้ ก็เพราะว่าเห็นลูกค้าเข้าไปใช้บริการเป็นประจำค่อนข้างมากเชียวล่ะ ก็เลยเชื่อใจฝีมือของหมอที่คลินิคที่ว่าระดับนึงเลย คุณหมอท่านนั้นก็ได้ให้ยาเม็ดมาทาน และ ยาทาแบบกระปุก ที่ไม่มีการลงรายละเอียดบ่งบอกว่าเป็นยาอะไร บอกมาแค่ว่าให้ใช้ทา พอผื่นหายแล้วก็ให้หยุดใช้ทันที โดยไม่มีการเอ่ยถึงคำว่า "สเตียรอยด์" ให้ได้ยินแม้แต่คำเดียว โดยตอนนั้นผมเองก็ไม่เคยศึกษาเรื่องของสเตียรอยด์มาก่อน ก็เลยไม่ได้เอะใจว่ามันคือยาสเตียรอยด์หรือไม่ จากนั้นผมก็ใช้ยาตามที่หมอสั่งทุกอย่าง ผลก็คือ...ผื่นมันหายไปจริงๆแหละครับท่านผู้ชม ผื่นยุบหายไปเร็วสุดๆ น่าประทับใจ เวรี่กู๊ดมากๆๆ และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของความ Shipหาย ในชีวิตของผมครับ…
หลังจากที่ผื่นหายไปแล้ว ผมก็หยุดยาทันที ตามที่หมอสั่งเป๊ะๆ จากนั้นผ่านไปแค่ 2 สัปดาห์ ผื่นเจ้ากรรมในที่เดิมๆก็ค่อยๆกลับขึ้นมาทักทายผมอีกรอบครับ ผมก็กลับไปหาหมอที่คลินิคเดิมอีกครั้ง จากนั้นก็วนลูปแบบเดิมไปอีก 3 รอบ ถ้วนครับ ผื่นก็เป็นๆหายๆ สลับกันไปไม่จบสิ้น
หลังจากนั้นผมก็ตัดสินใจไปหาหมอผิวหนังที่โรงพยาบาลอื่นดูบ้างครับ สรุปแต่ละครั้งที่ไปเนี่ย ผมมีโอกาสอ้าปากคุยกับคุณหมอได้ไม่เคยเกิน 3 นาที เลยครับ (ต้มมาม่ายังไม่ทันเสร็จเลย) คุณหมอก็บอกเป็นแค่ผิวหนังอักเสบ และรีบปิดจ็อบโดยการจ่ายยามาให้ผม พร้อมกับยาชนิดเม็ด และ ยาทาสเตียรอยด์แบบครบชุดมาให้ผม และบอกมาสั้นๆแค่ว่า ให้กลับไปกินและทายา เมื่อผื่นยุบให้หยุดใช้ยาทันที โดยไม่มีการเอ่ยถึงคำว่า "สเตียรอยด์" เช่นเดิมครับ แถมไม่มีการเตือนข้อควรระวังในการใช้ยาใดๆทั้งสิ้น ผลก็ออกมาแบบเดิมๆ ผื่นเป็นๆหายๆ และทุกครั้งเวลาที่ผื่นกลับมา มันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็เริ่มลามไปยังส่วนอื่นๆอีกด้วย จากที่ผมเป็นแค่ตามข้อศอก ก็เริ่มลามไปยังหลัง ใบหน้า ใบหู มือ เท้า ผิวที่เคยดูดีกลับแห้งเหี่ยวเหมือนผิวคนแก่เลยครับ…
หลังจากนั้นภายในระยะเวลา 1-2 ปี ผมก็ได้ลองเปลี่ยนไปหาคุณหมอตามโรงพยาบาลแห่งอื่นอีกครับ รวมแล้วก็อีกเกือบ 10 ที่ โดยแต่ละที่ที่ผมไปมาเนี่ย ไม่ได้ไปแค่ครั้งเดียวนะครับ ผมไปอย่างต่ำ 3 ครั้งครับ พอเวลาผ่านไปหลายเดือนแล้วเห็นว่าเริ่มไม่เวิร์ค ก็เลยลองย้ายที่ดูครับ และก็เช่นเดิมครับ ก็ได้รับการรักษาแบบเดิมๆ โดยการได้ยาสเตียรอยด์มาใช้โดยไร้คำอธิบายวิธีการใช้ยาใดๆทั้งสิ้น ถึงแม้จะถามแล้วก็ได้คำตอบเดิมๆว่า "ผื่นยุบ ให้หยุดใช้ยา"
ซึ่งคุณหมอที่เคยไปหามาเกือบทั้งหมด วินิจฉัยว่าผมเป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง (Eczema) ครับ เพราะดูจากอาการก็คือจะเหมือนกับโรคที่ว่าจริงๆแหละครับ เค้าก็เลยจ่ายยาพวก Prednisolone และ Steroid มาให้ทุกครั้งครับ แถมครั้งไหนที่มีอาการหนักๆ ยากิน ยาทา เริ่มเอาไม่ค่อยอยู่ คุณหมอก็จะให้ผมฉีดยาด้วยครับ ซึ่งมารู้ทีหลังเลยว่ายาที่ฉีดก็คือยากดภูมิคุ้มกันครับ
ณ จุดนี้ ผมเริ่มเอาชื่อยาที่ผมเคยใช้ มาลองหาข้อมูลในเว็บอากู๋ แล้วก็เริ่มเข้าใจว่า ยาที่ผมใช้กินและใช้ทาที่ผ่านมาเนี่ยมันคือ สเตียรอยด์นั่นเอง ซึ่งหากใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน มันจะส่งผลเสียต่อร่างกายพอสมควร แต่ช่วงนั้นคือผื่นยังไม่ได้ลุกลามทั่วทั้งตัว เป็นเพียงแค่บางส่วนในร่างกายเท่านั้น ผมก็เลยคิดว่าคงยังไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ เพราะยังไม่ได้ใช้ยาเยอะแบบทาทั่วทั้งตัวครับ แล้วตอนที่ผื่นยุบ แล้วหยุดใช้ยาไป ก็ยังพอมีช่วงเว้นระยะหลายสัปดาห์ก่อนใช้ใหม่อยู่ด้วยครับ
และต้องขอบอกก่อนนะครับว่าหลังจากนั้นทุกครั้งที่ผมเข้าพบคุณหมอ ผมจะบอกเสมอว่าผมได้รับการรักษาโดยการใช้ยาสเตียรอยด์มาเยอะแล้ว ไม่อยากใช้สเตียรอยด์มากกว่านี้แล้ว แต่คุณหมอเกือบทุกท่านก็บอกกับผมว่า "ถ้าไม่ใช้ ผื่นก็ไม่หาย" ผมก็ต้องจำใจใช้ต่อมาอีกเรื่อยๆครับ โดยที่ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าผลข้างเคียงมันจะออกมาเป็นยังไงบ้าง แถมคุณหมอบางท่านที่ไปหามายังเนียนบอกว่ายาที่ให้ผมใช้นั้นไม่มีสเตียรอยด์ แต่ใครเห็นใครก็รู้ครับว่ามันมีสเตียรอยด์ เอาชื่อยาไปค้นหาในเน็ตได้เลยครับ แต่ตอนนั้นผมไม่อยากเถียงกับหมอครับ ก็เออๆ ออๆ กันไป ส่วนอาการช่วงนั้นก็ยังไม่ได้หนักหน่วงครับ ยังพอเอาอยู่ ใช้ชีวิตได้ปกติครับ…