ทอท.ชี้แจงประเด็นช่วยเหลือ คิง เพาเวอร์ ยืนยันช่วยทั้งรายย่อยและรายใหญ่ในสนามบิน

จากข่าวที่ บริษัท หลักทรัพย์กสิกรไทย วิเคราะห์มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเพิ่มเติมจากวิกฤติ Covid19 กรณีที่ AOT อุ้ม บริษัท คิง เพาเวอร์ จำกัดนั้น
ล่าสุดทาง ทอท. ได้ออกมาแจ้งละเอียดยิบแล้วว่า....
"ยืนยันว่าช่วยเหลือทั้ง คิง เพาเวอร์และผู้ประกอบการรายย่อยในสนามบิน ไม่ได้เอื้อประโยชน์แค่ คิง เพาเวอร์เจ้าเดียว และ ไม่เกี่ยวกับภาษีประชาชน!!! เพราะปัจจุบันผู้โดยสารต่างชาติหายไปกว่า99% ทางผู้ประกอบการมีสิทธิ์บอกเลิกสัญญา"


1.หลักการดำเนินนโยบายของ ทอท. คือ ทอท. และผู้ประกอบการทุกรายต้องผ่านวิกฤตโควิด-19 นี้ไปด้วยกัน โดยคำนึงถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยเฉพาะอันอาจเกิดจากการเลิกจ้างงานควบคู่ด้วยเป็นสำคัญ เป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจนว่า ปัญหาวิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและแผ่เป็นวงกว้าง ทั้งในด้านทางเศรษฐกิจและสังคม
"การบรรเทาผลกระทบฯ นี้ อาจทำให้รายได้ของ ทอท. ลดลง แต่มิใช่รายจ่ายที่ ทอท. ต้องจ่ายออกไปหรือการนำภาษีจากประชาชนมาจ่ายให้ผู้ประกอบการแต่อย่างใด" 

2.การช่วยเหลือผู้ประกอบการสายการบินและผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์ได้ดำเนินการเป็นการทั่วไป โดยมุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการฯ สามารถประคับประคองกิจการให้คงอยู่ต่อไปได้ตามความเหมาะสมของโครงสร้างต้นทุน (Cost Structure) ของแต่ละกลุ่มผู้ประกอบการ
"มติบอร์ด ทอท. ที่ออกไปก่อนหน้า (วันที่ 19 ก.พ. 63 และวันที่ 22 เม.ย. 63) เป็นการเยียวยาช่วยเหลือผู้ประกอบการทั้งผู้ประกอบการสายการบินและผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์เป็นการทั่วไป เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถยังคงสามารถดำเนินกิจการอยู่ต่อไปได้ และไม่เกิดการเลิกจ้างงาน อันจะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่ออุตสาหกรรมการบินและประเทศชาติโดยรวม และจะกลับมากระทบต่อมูลค่าหลักทรัพย์ของ ทอท. มากกว่าการปรับตัวลดลงของ ราคาหลักทรัพย์ในระยะสั้น เป็นอย่างมาก"

3.กรณีสัมปทานของบริษัท คิง เพาเวอร์ นั้น ได้รับมาตรการช่วยเหลือดังเช่นผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์รายย่อยทั่วไปกว่า 1,000 สัญญา โดยมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างตามสถานะของสัญญา 2 ประการ ด้วยเหตุผลดังนี้ 
* ขยายระยะเวลาเตรียมการเพิ่มอีก 1 ปี ให้สอดคล้องกับการเปิดใช้งานอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) 
เดิมสัญญาได้กำหนดไว้ให้ คิง เพาเวอร์ มีระยะเวลาเตรียมการตกแต่งพื้นที่ 6 เดือน โดยในช่วงเตรียมการนี้ ทอท. จะเรียกเก็บอัตราค่าตอบแทนตามสัญญาโดยแปรผันตามจำนวนพื้นที่ที่เปิดให้บริการ และหลังจากนั้น จะเรียกเก็บค่าตอบแทนตามพื้นที่เต็มจำนวนตามสัญญาเป็นระยะเวลา 10 ปี

แต่เนื่องจากสถานการณ์ โควิด-19 ทำให้ทาง ทอท. ไม่สามารถเปิดดำเนินการในอาคาร SAT-1 ได้ตามเป้าหมายที่ปรากฏในสัญญา โดยคาดว่าจะเลื่อนการเปิดให้บริการจากเดิม 1 เมษายน 2564 เป็นวันที่ 1 เมษายน 2565 บอร์ด ทอท. จึงจำเป็นต้องมีมติให้มีการขยายระยะเวลาเตรียมการจากเดิม 6 เดือน ออกไปอีก 1 ปี เป็น 1 ปี 6 เดือน อันเป็นผลให้มีการปรับอายุสัญญา เพื่อให้สอดคล้องกับการเปิดใช้งานอาคาร SAT-1 

* ปรับจำนวนผู้โดยสารในการคำนวณค่าตอบแทนขั้นต่ำให้สอดคล้องกับความเป็นจริง เนื่องจากผลกระทบจากวิกฤต โควิด-19 ส่งผลให้รัฐบาลต้องมีมาตรการจำกัดการเปิดน่านฟ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้การเดินทางทางอากาศมีปริมาณน้อยลง ทอท. จึงเห็นชอบที่จะใช้จำนวนผู้โดยสารจริงในการคำนวณอัตราค่าตอบแทนขั้นต่ำ โดยยังคงอัตราค่าตอบแทนขั้นต่ำ และอัตราส่วนแบ่งรายได้เดิมตามสัญญาไว้ทุกประการ

โดยค่าตอบแทนขั้นต่ำนี้ถูกปรับขึ้นทันทีในปีถัดไปตามอัตราการขยายตัวของผู้โดยสารและเงินเฟ้อ โดยไม่ต้องรอให้ผู้โดยสารกลับมาในระดับก่อนวิกฤตดังเช่นผู้ประกอบการรายอื่นแต่อย่างใด

คำนึงถึง “ผู้ถือหุ้น-ประเทศ” 
 มาตรการนี้ได้ถูกออกแบบโดยยึดถือผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นและผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ กล่าวคือ ในส่วนของผลประโยชน์ผู้ถือหุ้น
1. เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการงดเว้นการเรียกค่าตอบแทนขั้นต่ำในวันที่ 31 มีนาคม 2565 แล้ว หาก คิง เพาเวอร์ จะต้องจ่ายค่าตอบแทนขั้นต่ำให้ ทอท. ตามสัญญาเดิมในปี 2562 ดังเช่นมาตรการที่ผู้ประกอบการรายอื่นได้รับ ก็จะทำให้ ทอท. ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนน้อยกว่าทางเลือกที่ให้ปรับจำนวนผู้โดยสารให้เป็นไปตามจริงนี้อยู่ราว 50% หากจำนวนผู้โดยสารฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ก็จะทำให้ ทอท. ได้รับค่าตอบแทนกลับสู่ภาวะเดิมหรือมากกว่าโดยอัตโนมัติ
2. มาตรการปิดน่านฟ้าเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ โควิด-19 ของรัฐบาล อันส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารต่างประเทศลดลงกว่า 99% นั้น เป็นเหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ คิง เพาเวอร์ สามารถใช้สิทธิขอยกเลิกสัญญาได้โดยไม่มีค่าปรับ ซึ่ง ทอท. คาดว่าหากมีการเปิดประมูลใหม่ในภาวะการณ์เช่นนี้

ทอท. จะต้องยอมรับแล้วว่าผู้โดยสารลดลงอย่างมีนัยยะตามตัวเลขที่ปรากฏอยู่จริง ทอท. ยังมีความสุ่มเสี่ยงอย่างมากที่จะไม่มีผู้ประกอบการรายใดเสนอผลตอบแทนต่อหัวอยู่ในอัตราที่สูงดังผลการประมูลครั้งก่อน อันจะทำให้เกิดความเสียหายต่อผลตอบแทนที่ ทอท. คาดว่าจะได้รับอย่างมหาศาล ในส่วนของผลประโยชน์ของประเทศ
1. หากไม่มีการปิดน่านฟ้าเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดฯ อันเป็นผลให้จำนวนผู้โดยสารฯ ลดลงแล้ว จะเกิดความเสียหายกับประเทศโดยรวมอย่างตีมูลค่ามิได้ 
2. หาก ทอท. ปล่อยให้มีการยกเลิกสัญญา ไม่ว่าจะเป็นสัญญาของผู้ประกอบการขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ จะกระทบต่อการจ้างงานจำนวนมาก

"ทอท. ขอยืนยันว่า บทความ วิเคราะห์-วิจารณ์ ที่มีเผยแพร่อยู่ในปัจจุบันหลายบทความ ได้ทำการวิเคราะห์ -วิจารณ์อยู่บนพื้นฐานข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะในประเด็นการวิเคราะห์-วิจารณ์ในด้านการสูญเสียรายได้ของ ทอท. ให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่แต่เพียงด้านเดียว โดยไม่ได้ครอบคลุมถึงมาตรการฯ ที่ทาง ทอท. ให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อยด้วยอย่างเท่าเทียมกัน และยังไม่ได้คำนึงถึงโอกาส ทางเลือกที่ผู้ประกอบการสามารถบอกเลิกสัญญา หรือผลกระทบต่อรายได้ ทอท. จากการถูกบอกเลิกสัญญา และผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศ โดยเฉพาะสภาวการณ์จ้างงานดังที่ได้กล่าวข้างต้น"

เรียบเรียงจากข่าว https://www.thebangkokinsight.com/408877/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่