หลังจากที่ “ทรูวิชั่นส์” ก็ยืนยันออกมาชัดเจน กับ สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ จะถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยลีกในจำนวนคู่ที่เหลือ ตามที่สมาคมวางโปรแกรมเอาไว้จนถึงวันที่ 25 ต.ค. 2563 อันเป็นวันสิ้นสุดสัญญาตามเดิมที่ทำกันเอาไว้
ก่อนหน้านี้ เสี่ยฮั่น มิตติ ติยะไพรัช ประธานที่ปรึกษา สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด สุดผิดหวังการตัดสินใจของทรูวิชั่นส์ ที่ยืนยันจะถ่ายทอดสดฟุตบอลลีกไทยถึงเพียงวันที่ 25 ต.ค.
นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง อย่าโลกสวย แล้วโยนผิดให้ “โควิด-19” เป็นเหตุของทุกสิ่ง นี่มันเป็นเรื่องของธุรกิจและสิทธิประโยชน์ เป็นเรื่องการบริหารจัดการแก้ไขปัญหา ที่มีการเซ็นสัญญาทำธุรกิจซึ่งกันและกัน ไม่ใช่เรื่องการกุศล หรือมูลนิธิ จะฟูมฟายเรียกร้องหาน้ำจิตน้ำใจกันก็ดูจะไม่ใช่เรื่อง
เพราะฟุตบอลอาชีพที่เรียกร้องโหยหาอยากให้มีกันนั้น มันเป็นอาชีพ เป็นการหารายได้ และเป็นการทำธุรกิจ!!!
ในเมื่อไม่คุยกันให้เคลียร์ตั้งแต่ตอนแรก ไม่ว่าขั้นตอนที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไร สโมสรสมาชิกยกมือสนับสนุนให้ปรับเปลี่ยนกฎกติกา ไม่ว่าจะคิดถึงผลอะไรที่จะตามมาหรือไม่ หรือเป็นการตัดสินใจอะไรจากใคร เพื่ออะไร ถึงตอนนี้ไม่มีความหมายทั้งสิ้น เมื่อเปลี่ยนมาโดยไม่มีการยินยอมพร้อมใจตามกฎหมาย คิดว่าเขายอม คิดว่ายังไงๆเขาก็เอาด้วย เป็นเด็กเล่นของเล่นร่วมกัน มันไม่ใช่เวลามาร่ำร้อง ขอความเห็นใจอะไรกันแล้ว
ทำไมไม่ลองคิดในมุมกลับว่า เงินค่าลิขสิทธิ์ปี 2563 ก้อนแรกที่ทางทรูฯจ่ายให้กับสมาคมกีฬาฟุตบอลฯไปตั้งนานแล้ว ซึ่งคาดว่าตัวเลขจะอยู่ราวๆ 400 ล้านบาทนั้น และบอลลีกไทยเพิ่งเล่นไปไม่กี่นัดนั้น เอาแค่เงินส่วนนี้กับจำนวนแมตช์ที่เกิดขึ้น และรวมไปถึงจำนวนแมตช์ที่กำลังจะเกิดไปจนถึงวันที่ 25 ต.ค.นั้น หักลบกลบหนี้กัน จะหักล้างกับยอด 400 ล้านก้อนแรกดังกล่าวกันได้หรือไม่
ถ้าไม่คุ้มกัน จะต้องมีการจ่ายคืนด้วยหรือไม่ นี่ยังเป็นเรื่องที่ต้องบวกลบคูณหารกันต่อไป ยังไม่ต้องไปคิดถึงยอดลิขสิทธิ์ที่เหลือ หรืองวด 2 ที่ขอไป ซึ่งตามสัญญาคือทั้งหมด 1,200 ล้านบาทด้วยซ้ำ!
ซึ่งสมาคมกีฬาฟุตบอลฯเองก็ออกข่าวมาตลอดถึงสัญญาลิขสิทธิ์ในวงรอบใหม่ที่จะเซ็นกันยาว 8 ปี และได้เงินมหาศาลมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ถ้าหากมีจริง ต้องรีบเซ็นสัญญาและเปิดตัวออกมา ก็น่าจะมีงวดเงินบางส่วนออกมาหมุนได้บ้าง แล้วเกลี่ยกันไปกับสัญญาในเวลาที่เหลือที่ยาวถึง 8 ปี ทำได้แน่ ใช้การบริหารจัดการเอาก็น่าจะบรรเทาเบาบางลงไปได้บ้าง
หรือจะร้องขอภาครัฐให้เยียวยาในส่วนนี้ ดูจะเป็นเรื่องถนัดในยุคนี้ หวังแนวทางเดิม แต่เหตุผลนั้นมันใช่ที่จะต้องขอเอาเงินภาษี หรือเงินกู้จากภาครัฐ หรือแม้กระทั่งเงินกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ผ่านทางกองทุนฯ และการกีฬาแห่งประเทศไทย มาอุดกัน สังคมจะว่าอย่างไร
ถ้ากล้าแบมือขอ และจะกล้าให้กันจริงๆหรือ
หรือของมันเคย วนๆเวียนๆเข้าสูตรเดิมจากลิขสิทธิ์ โอลิมปิก โมโตจีพี แล้วจะวกมาไทยลีกกันอีกหรือไง...
ไทยลีก กับ "ฟุตบอลอาชีพ" ที่โหยหา
ก่อนหน้านี้ เสี่ยฮั่น มิตติ ติยะไพรัช ประธานที่ปรึกษา สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด สุดผิดหวังการตัดสินใจของทรูวิชั่นส์ ที่ยืนยันจะถ่ายทอดสดฟุตบอลลีกไทยถึงเพียงวันที่ 25 ต.ค.
นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง อย่าโลกสวย แล้วโยนผิดให้ “โควิด-19” เป็นเหตุของทุกสิ่ง นี่มันเป็นเรื่องของธุรกิจและสิทธิประโยชน์ เป็นเรื่องการบริหารจัดการแก้ไขปัญหา ที่มีการเซ็นสัญญาทำธุรกิจซึ่งกันและกัน ไม่ใช่เรื่องการกุศล หรือมูลนิธิ จะฟูมฟายเรียกร้องหาน้ำจิตน้ำใจกันก็ดูจะไม่ใช่เรื่อง
เพราะฟุตบอลอาชีพที่เรียกร้องโหยหาอยากให้มีกันนั้น มันเป็นอาชีพ เป็นการหารายได้ และเป็นการทำธุรกิจ!!!
ในเมื่อไม่คุยกันให้เคลียร์ตั้งแต่ตอนแรก ไม่ว่าขั้นตอนที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไร สโมสรสมาชิกยกมือสนับสนุนให้ปรับเปลี่ยนกฎกติกา ไม่ว่าจะคิดถึงผลอะไรที่จะตามมาหรือไม่ หรือเป็นการตัดสินใจอะไรจากใคร เพื่ออะไร ถึงตอนนี้ไม่มีความหมายทั้งสิ้น เมื่อเปลี่ยนมาโดยไม่มีการยินยอมพร้อมใจตามกฎหมาย คิดว่าเขายอม คิดว่ายังไงๆเขาก็เอาด้วย เป็นเด็กเล่นของเล่นร่วมกัน มันไม่ใช่เวลามาร่ำร้อง ขอความเห็นใจอะไรกันแล้ว
ทำไมไม่ลองคิดในมุมกลับว่า เงินค่าลิขสิทธิ์ปี 2563 ก้อนแรกที่ทางทรูฯจ่ายให้กับสมาคมกีฬาฟุตบอลฯไปตั้งนานแล้ว ซึ่งคาดว่าตัวเลขจะอยู่ราวๆ 400 ล้านบาทนั้น และบอลลีกไทยเพิ่งเล่นไปไม่กี่นัดนั้น เอาแค่เงินส่วนนี้กับจำนวนแมตช์ที่เกิดขึ้น และรวมไปถึงจำนวนแมตช์ที่กำลังจะเกิดไปจนถึงวันที่ 25 ต.ค.นั้น หักลบกลบหนี้กัน จะหักล้างกับยอด 400 ล้านก้อนแรกดังกล่าวกันได้หรือไม่
ถ้าไม่คุ้มกัน จะต้องมีการจ่ายคืนด้วยหรือไม่ นี่ยังเป็นเรื่องที่ต้องบวกลบคูณหารกันต่อไป ยังไม่ต้องไปคิดถึงยอดลิขสิทธิ์ที่เหลือ หรืองวด 2 ที่ขอไป ซึ่งตามสัญญาคือทั้งหมด 1,200 ล้านบาทด้วยซ้ำ!
ซึ่งสมาคมกีฬาฟุตบอลฯเองก็ออกข่าวมาตลอดถึงสัญญาลิขสิทธิ์ในวงรอบใหม่ที่จะเซ็นกันยาว 8 ปี และได้เงินมหาศาลมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ถ้าหากมีจริง ต้องรีบเซ็นสัญญาและเปิดตัวออกมา ก็น่าจะมีงวดเงินบางส่วนออกมาหมุนได้บ้าง แล้วเกลี่ยกันไปกับสัญญาในเวลาที่เหลือที่ยาวถึง 8 ปี ทำได้แน่ ใช้การบริหารจัดการเอาก็น่าจะบรรเทาเบาบางลงไปได้บ้าง
หรือจะร้องขอภาครัฐให้เยียวยาในส่วนนี้ ดูจะเป็นเรื่องถนัดในยุคนี้ หวังแนวทางเดิม แต่เหตุผลนั้นมันใช่ที่จะต้องขอเอาเงินภาษี หรือเงินกู้จากภาครัฐ หรือแม้กระทั่งเงินกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ผ่านทางกองทุนฯ และการกีฬาแห่งประเทศไทย มาอุดกัน สังคมจะว่าอย่างไร