**ก่อนอื่นขอบบอกทุกคนก่อนนะคะ นี้เป็นการเขียนกระทู้ในนี้เป็นครั้งแรก ผิดพลาดหรืออ่านไม่ค่อยเข้าใจก็ต้องขอโทษมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ**
เรื่องที่เราจะมาพูดในวันนี้เป็นเรื่องเพื่อนของเราเองค่ะ เรากับเพื่อนคนนี้คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนช่วง ม.ต้น เป็นเพื่อนที่อยูในกลุ่มเดียวกันแต่ก็ไม่ได้สนิทมาก ขนาดคุยได้ทุกเรื่อง ช่วงเรียนมหาลัยเราไม่ได้เรียนด้วยกันแต่ก็ยังติดต่อกันในกลุ่มบ้างไม่ได้ห่างหายกันไปเลย ความสัมผัสของเรากับเพื่อนดูเหมือนจะไม่มีอะไรมาก จนกระทั้งเมื่อปี 58 เป็นช่วงที่เราอกหักจึงได้มีเวลาคุยกับเพื่อนมากขึ้น โดยในกลุ่มของเราจะมีกันอยู่ 4 คน โดยเราจะแทนชื่อเพื่อนทั้ง 4 เป็น A B C นะคะ
ช่วงปี 58 เราได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนในกลุ่มมากขึ้น ได้มีโอกาสนัดกันไปกินข้าวและไปเที่ยวต่างจังหวัดกันบ้างแล้วแต่ว่าจะว่างตรงกันไหม โดยส่วนใหญ่จะ A ที่เป็นคนชอบเปิดประเด็นการนัดเจอเพื่อนหลังเลิกงาน ช่วงนั้นบอกเลยว่าเราไปแถบทุกครั้งที่เพื่อนนัด ไม่เคยที่จะไม่ไป ส่วนBกับC ก็ไปบ้างไม่ไปบ้างแล้วแต่โอกาสที่เพื่อนว่าง ทำให้เรากับ A สนิทกันมากในช่วงนั้น ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติเราแฮปปี้ดีกับการอยู่กับเพื่อนคนนี้มาก ๆ
ผ่านไป 1 ปีหลังจากนั้นเราได้ออกรถมาเพื่อใช้ขับรถไปทำงาน เนื่องจากบ้านของเราอยู่แถว ๆ บางใหญ่แต่ที่ทำงานอยู่ในเมือง เวลากลับบ้านดึก ๆ จึงไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ หลังจากนั้นจึงทำให้เราต้องประหยัดมากกว่าเมื่อก่อนเพราะตอนนี้เรามีภาระคือการผ่อนรถ ทำให้เราไม่สามารถไปหาเพื่อนได้บ่อย ๆ อย่างเมื่อก่อนได้ หลังจากนั้นเราก็จะโดน A พูดเหน็บแนมมาตลอด
เช่น ถ้าออกรถมาแล้วไม่มีเวลาให้เพื่อนก็ไม่สมควรออกไหม? , กูไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี ควายยังดูฉลาดกว่าอีก
มีตังค์ออกรถแต่ไม่มีตังค์ไปเที่ยวกับเพื่อนแบบนี้เก็บตังค์ไว้แ_กข้าวดีกว่าไหม?
เป็นกูไม่ออกหรอกรถรุ่นนี้ เพราะ
ไม่สวยมีแต่คนโง่เท่านั้นที่ซื้อกัน เป็นต้น
จริง ๆ มันมีเยอะมากระหว่างนั้นที่เราโดนมาตลอด ส่วนใหญ่เราเลือกที่จะเงียบ แต่บางทีรู้สึกว่ามันมากไปก็มีเถียงกลับไปบ้าง แต่ก็เท่านั้นแหละค่ะเพราะว่าA ก็จะว่าเรากลับมาอีก เลยไม่รู้จะพูดไปเพื่ออะไร ซึ่งบางทีเราก็รู้สึกไม่ค่อยโอเคกับคำพูดบางคำของAมาก ๆ แต่ก็พยายามคิดว่าเพราะเราสนิทกันเพื่อนอาจจะพูดแหย่เล่นก็ได้
และบางทีก็รูสึกเหมือนโดนเอาเปรียบ นัดไปกินข้าวหารเท่ากันแต่ของที่สั่งมาก็จะเป็นของที่เรากินไม่ได้เช่น เนื้อวัว หรือ เหล้าและเบียร์ (เป็นคนไม่ดื่มแอลกอฮอล์) ซึ่งราคาร้านนอาหารก็แพงอยู่แล้ว จ่ายมาทีก็ตกคนละเกือบพัน แต่ที่กินไปคือ ปีกไก่ 2 ชิ้น ตักปลากระพงทอดน้ำปลาได้2ครั้ง ข้าวอีก 1 ทัพพี ซึ่งเป็นแบบนี้มาตลอด ไม่ไปก็โดนว่า พอบอกว่าจ่ายใครจ่ายมันก็ไม่ได้อีก บอกกินด้วยกันอย่าทำตัวเรื่องเยอะ เหมือนเราไม่มีสิทธิ์ในการออกความคิดเห็นอะไรเลย วันเกิดเพื่อนในกลุ่มผลัดกันเลี้ยงแต่พอถึงวันเกิดเรากลับไม่มีใครสนใจ จริง ๆ ไม่ได้อยากกินของฟรีนะคะ แค่รู้สึกไม่แฟร์กับเราเลย แต่น้อยใจไปก็เท่านั้นเพราะเป็นไปเพื่อนก็ไม่ได้สนใจเราอยู่ดี สุดท้ายเราก็ต้องหายน้อยใจเพื่อนเองและก็ต้องกลับมาทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ่งเวลาไหนที่เราความคิดเห็นไม่ตรงกับ A แล้วเราเริ่มมีการถกเถียงกัน A มักจะพูดประโยคนี้ขึ้นมาเสมอว่า "ถ้ากูไม่คบ ก็ไม่มีเพื่อนละนะ หัดสำนึกบ้าง"
และล่าสุดเรามีนัดไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันในเดือน พย ซึ่งในทริปนี้เราไปด้วยกัน 4 คน ประกอบด้วย เราและ A B C เป็นทริปสาว ๆ จะไปเที่ยวทะเลสวย ๆที่สมุยค่ะ แต่ๆๆๆๆ BและC ตอนนี้บอกว่าติดงานในช่วงที่เราจะไปกันไม่สามารถเลื่อนได้ เรากับ A ก็คุยกันว่าจะไปกัน2คนก็ได้เพราะไหน ๆ ก็จองตั๋วเครื่องบินไปแล้ว แล้ววันนี้ A ก็มาพูดกับเราว่าจริง ๆ แล้ว A อยากไปสิ้นเดือนนี้เลยหรือไม่ก็เป็นเดือน สค แทน ไม่อยากรอไปเดือน พย เราก็เลยบอก A ไปว่า เราคงไปไม่ได้เพราะวันหยุดยาววันที่ 25-28 เราจะพาครอบครัวเราไปเที่ยวที่เขาค้อแล้ว ถ้าจะให้กลับมาเที่ยวกับ A ต่อช่วงเดือน สค เงินเราหมุนไม่ทันแน่ ๆ ถ้าไป พย เรายังมีเวลาเก็บเงินไปเที่ยวได้ เพราะไปครั้งนี้กับครอบครัวเราก็จ่ายเองทั้งหมดอาจจะหมดเยอะเลยไม่อยากรัดตัวเองมากเกินไป ซึ่งเราก็บอกเหตุผลในส่วนของเราให้ A ฟังหวังว่าเขาจะเข้าใจเราบ้าง แต่ปรากฏว่า A กลับไม่พอใจเราที่เราไม่ยอมเลื่อนนัด แถมยังพูดว่าเราอีก ว่าจะไปทำไมเขาค้อ แวะอะไรเยอะแยะ ว่าเราเหมือนเราทำผิดมากมาย เราเลยคิดว่าเราจะไม่ไปสมุยกับ A แล้ว คือใจเราไม่อยากไปกับAแล้ว ไปก็คงไม่สนุก ทุกคนคิดว่าเราทำแบบนี้โอเคไหม?
ถ้าอ่านแล้วงงๆต้องขออภัยด้วยนะคะ มือใหม่หัดเขียนจริง ๆ ค่ะ
เราควรจะคบเพื่อนแบบนี้ต่อไปหรือพอแค่นี้ดี?
เรื่องที่เราจะมาพูดในวันนี้เป็นเรื่องเพื่อนของเราเองค่ะ เรากับเพื่อนคนนี้คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนช่วง ม.ต้น เป็นเพื่อนที่อยูในกลุ่มเดียวกันแต่ก็ไม่ได้สนิทมาก ขนาดคุยได้ทุกเรื่อง ช่วงเรียนมหาลัยเราไม่ได้เรียนด้วยกันแต่ก็ยังติดต่อกันในกลุ่มบ้างไม่ได้ห่างหายกันไปเลย ความสัมผัสของเรากับเพื่อนดูเหมือนจะไม่มีอะไรมาก จนกระทั้งเมื่อปี 58 เป็นช่วงที่เราอกหักจึงได้มีเวลาคุยกับเพื่อนมากขึ้น โดยในกลุ่มของเราจะมีกันอยู่ 4 คน โดยเราจะแทนชื่อเพื่อนทั้ง 4 เป็น A B C นะคะ
ช่วงปี 58 เราได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนในกลุ่มมากขึ้น ได้มีโอกาสนัดกันไปกินข้าวและไปเที่ยวต่างจังหวัดกันบ้างแล้วแต่ว่าจะว่างตรงกันไหม โดยส่วนใหญ่จะ A ที่เป็นคนชอบเปิดประเด็นการนัดเจอเพื่อนหลังเลิกงาน ช่วงนั้นบอกเลยว่าเราไปแถบทุกครั้งที่เพื่อนนัด ไม่เคยที่จะไม่ไป ส่วนBกับC ก็ไปบ้างไม่ไปบ้างแล้วแต่โอกาสที่เพื่อนว่าง ทำให้เรากับ A สนิทกันมากในช่วงนั้น ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปกติเราแฮปปี้ดีกับการอยู่กับเพื่อนคนนี้มาก ๆ
ผ่านไป 1 ปีหลังจากนั้นเราได้ออกรถมาเพื่อใช้ขับรถไปทำงาน เนื่องจากบ้านของเราอยู่แถว ๆ บางใหญ่แต่ที่ทำงานอยู่ในเมือง เวลากลับบ้านดึก ๆ จึงไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ หลังจากนั้นจึงทำให้เราต้องประหยัดมากกว่าเมื่อก่อนเพราะตอนนี้เรามีภาระคือการผ่อนรถ ทำให้เราไม่สามารถไปหาเพื่อนได้บ่อย ๆ อย่างเมื่อก่อนได้ หลังจากนั้นเราก็จะโดน A พูดเหน็บแนมมาตลอด
เช่น ถ้าออกรถมาแล้วไม่มีเวลาให้เพื่อนก็ไม่สมควรออกไหม? , กูไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี ควายยังดูฉลาดกว่าอีก
มีตังค์ออกรถแต่ไม่มีตังค์ไปเที่ยวกับเพื่อนแบบนี้เก็บตังค์ไว้แ_กข้าวดีกว่าไหม?
เป็นกูไม่ออกหรอกรถรุ่นนี้ เพราะไม่สวยมีแต่คนโง่เท่านั้นที่ซื้อกัน เป็นต้น
จริง ๆ มันมีเยอะมากระหว่างนั้นที่เราโดนมาตลอด ส่วนใหญ่เราเลือกที่จะเงียบ แต่บางทีรู้สึกว่ามันมากไปก็มีเถียงกลับไปบ้าง แต่ก็เท่านั้นแหละค่ะเพราะว่าA ก็จะว่าเรากลับมาอีก เลยไม่รู้จะพูดไปเพื่ออะไร ซึ่งบางทีเราก็รู้สึกไม่ค่อยโอเคกับคำพูดบางคำของAมาก ๆ แต่ก็พยายามคิดว่าเพราะเราสนิทกันเพื่อนอาจจะพูดแหย่เล่นก็ได้
และบางทีก็รูสึกเหมือนโดนเอาเปรียบ นัดไปกินข้าวหารเท่ากันแต่ของที่สั่งมาก็จะเป็นของที่เรากินไม่ได้เช่น เนื้อวัว หรือ เหล้าและเบียร์ (เป็นคนไม่ดื่มแอลกอฮอล์) ซึ่งราคาร้านนอาหารก็แพงอยู่แล้ว จ่ายมาทีก็ตกคนละเกือบพัน แต่ที่กินไปคือ ปีกไก่ 2 ชิ้น ตักปลากระพงทอดน้ำปลาได้2ครั้ง ข้าวอีก 1 ทัพพี ซึ่งเป็นแบบนี้มาตลอด ไม่ไปก็โดนว่า พอบอกว่าจ่ายใครจ่ายมันก็ไม่ได้อีก บอกกินด้วยกันอย่าทำตัวเรื่องเยอะ เหมือนเราไม่มีสิทธิ์ในการออกความคิดเห็นอะไรเลย วันเกิดเพื่อนในกลุ่มผลัดกันเลี้ยงแต่พอถึงวันเกิดเรากลับไม่มีใครสนใจ จริง ๆ ไม่ได้อยากกินของฟรีนะคะ แค่รู้สึกไม่แฟร์กับเราเลย แต่น้อยใจไปก็เท่านั้นเพราะเป็นไปเพื่อนก็ไม่ได้สนใจเราอยู่ดี สุดท้ายเราก็ต้องหายน้อยใจเพื่อนเองและก็ต้องกลับมาทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ่งเวลาไหนที่เราความคิดเห็นไม่ตรงกับ A แล้วเราเริ่มมีการถกเถียงกัน A มักจะพูดประโยคนี้ขึ้นมาเสมอว่า "ถ้ากูไม่คบ ก็ไม่มีเพื่อนละนะ หัดสำนึกบ้าง"
และล่าสุดเรามีนัดไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันในเดือน พย ซึ่งในทริปนี้เราไปด้วยกัน 4 คน ประกอบด้วย เราและ A B C เป็นทริปสาว ๆ จะไปเที่ยวทะเลสวย ๆที่สมุยค่ะ แต่ๆๆๆๆ BและC ตอนนี้บอกว่าติดงานในช่วงที่เราจะไปกันไม่สามารถเลื่อนได้ เรากับ A ก็คุยกันว่าจะไปกัน2คนก็ได้เพราะไหน ๆ ก็จองตั๋วเครื่องบินไปแล้ว แล้ววันนี้ A ก็มาพูดกับเราว่าจริง ๆ แล้ว A อยากไปสิ้นเดือนนี้เลยหรือไม่ก็เป็นเดือน สค แทน ไม่อยากรอไปเดือน พย เราก็เลยบอก A ไปว่า เราคงไปไม่ได้เพราะวันหยุดยาววันที่ 25-28 เราจะพาครอบครัวเราไปเที่ยวที่เขาค้อแล้ว ถ้าจะให้กลับมาเที่ยวกับ A ต่อช่วงเดือน สค เงินเราหมุนไม่ทันแน่ ๆ ถ้าไป พย เรายังมีเวลาเก็บเงินไปเที่ยวได้ เพราะไปครั้งนี้กับครอบครัวเราก็จ่ายเองทั้งหมดอาจจะหมดเยอะเลยไม่อยากรัดตัวเองมากเกินไป ซึ่งเราก็บอกเหตุผลในส่วนของเราให้ A ฟังหวังว่าเขาจะเข้าใจเราบ้าง แต่ปรากฏว่า A กลับไม่พอใจเราที่เราไม่ยอมเลื่อนนัด แถมยังพูดว่าเราอีก ว่าจะไปทำไมเขาค้อ แวะอะไรเยอะแยะ ว่าเราเหมือนเราทำผิดมากมาย เราเลยคิดว่าเราจะไม่ไปสมุยกับ A แล้ว คือใจเราไม่อยากไปกับAแล้ว ไปก็คงไม่สนุก ทุกคนคิดว่าเราทำแบบนี้โอเคไหม?
ถ้าอ่านแล้วงงๆต้องขออภัยด้วยนะคะ มือใหม่หัดเขียนจริง ๆ ค่ะ