เล่าประสบการณ์ปฏิบัติธรรม ณ ณ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยฯ เพชรเกษม 54 กรุงเทพฯ 3 วัน 2 คืน เผื่อใครสนใจ

อันนี้เป็นกระทู้แรกที่มาแชร์ประสบการณ์นะครับผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ล่วงหน้าครับ
 

ช่วงนี้ทุกสิ่งทุกอย่างดูอึมๆครึมๆไปหมด ทั้งเรื่อง เศรษฐกิจ งาน รัฐบาล ไวรัส ฯลฯ จึงอยากเป็นกำลังใจให้ทุกคนสู้ไปพร้อมกัน อย่างวลี classic ว่า “it shall be passed” ทุกอย่างแล้วมันก็จะผ่านไป
เพื่อเพิ่มวัคซีนให้กับทุกท่าน มาร่วมพักใจให้สติ เพิ่มสิ่งดีงามให้ชีวิต กับหลักสูตรวิปัสสนากรรมฐาน
ส่วนหนึ่งที่คิดว่าน่าจะพอช่วยได้คือ การไปปฏิบัติธรรมมาเลยจะมารีวิวสวนกระแสเพื่อให้เพื่อนๆผ่อนคลายกับปัญหาต่างๆรอบตัวแล้วกลับมาดูตัวเอง ดูใจตัวเองมากขึ้น
 
เริ่มจากผมไปที่ได้ไปปฏิบัติธรรมเลย เลยจะมาเล่าให้เป็นแนวทางประกอบการตัดสินใจกัน
เผื่อว่าใครมีศรัทธา อยากพักกาย พักใจ จะได้เอาข้อมูลไปประกอบการพิจารณานะครับแต่ช่วงนี้อาจจะยังไม่ได้เพราะมีเรื่องของ โควิทอยู่
 
 
หลังจากมีความคิดที่หาที่สงบไว้ปฏิบัติสมาธิภาวนา ก็เล็งหามาลงตัวที่ ยุวพุทธิกสมาคม โดยเลือกคอร์สที่กลางๆ ไม่ได้เริ่มต้นเกินไปหรือ advanced มาก สถานที่ก็ไม่ไกลมีที่จอดรถสะดวกสบาย เลยเลือกมานี่ดีกว่า เพราะไม่เคยมาด้วย พยายามหาข้อมูลรีวิวก็ไม่ค่อยเจอ  เลยมาลุยเองเลยแล้วกัน
รายละเอียดก็ตามนี้เลยครับ

หลักสูตรจิตตภาวนา โดย พระมหาบุญช่วย ปัญญาวชิโร ระหว่างวันที่ 14-16 กุมภาพันธ์ 2563
ณ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยฯ เพชรเกษม 54 กรุงเทพฯ

วันแรกของการปฏิบัติ
08.30-09.00 น. -  ลงทะเบียนเข้าที่พัก
09.00-10.00 น. -  ปฐมนิเทศทั่วไป
10.00-11.00 น. -  พิธีขอขมา สมาทานศีล สมาทานกรรมฐาน
    -  พระวิปัสสนาจารย์ / วิปัสสนาจารย์ เปิดอบรมกรรมฐานกล่าว“สัมโมทนียกถา” 
11.00-12.00 น. -  อาหารกลางวัน / สรีระกิจ
12.00-13.00 น. -  ปฏิบัติธรรมตามอัธยาศัย
13.00-14.30 น. -  ปฏิบัติธรรม / บรรยายธรรม 
14.30-16.00 น. -  ปฏิบัติธรรม 
16.00-18.00 น. -  น้ำปานะ / สรีระกิจ / ปฏิบัติธรรม
18.00-19.00 น. -  ทำวัตรเย็น / จิตตภาวนา 
19.00-21.00 น. -  ปฏิบัติธรรม / บรรยายธรรม / ตอบปัญหาธรรม 
21.00 น.           -  พักผ่อนด้วยสติ
 
 
 
 
 
วันที่ 1 ลิงโดนล่ามโซ่
ไม่เคยมาที่นี่แอบตื่นเต้น อารมณ์เหมือนไปออกค่ายลูกเสือนิดๆ ออกจากบ้านแต่เช้าจอดรถเรียบร้อยทะเบียน ทางศูนย์จัดระเบียบได้ดีแต่เช้าเข้าลงทะเบียนเสร็จก็มีเซอร์ไพรส์เลยแบบไม่ได้เตรียมใจคือ เก็บมือถือ อ้าว... ตอนแรกเล็งๆไว้ว่าเย็นๆ ดึกๆ มาอ่านไลน์ อ่านเมล์ เผื่อมีงานต้องตามจะได้ยังทัน ดันโดนยึดซะงั้น ห้ามเล่นระหว่างปฏิบัติอีก ทำไงดีหว่า คิดแป็บนึงก็เอาหล่ะ โทรบอกทีมงาน กับ forward call เอาแล้วกัน ที่เหลือก็ “ช่างมัน”ไปก่อน จังหวะนี้แล้วทำไรไม่ได้หล่ะ ก็อึดอัดนิดนึงแต่ก็คิดว่ามาแล้วเนอะ ถอยคงไม่ได้หล่ะ (ใครจะมาก็เตรียมตัวไว้นะครับ โดนยึดมือถือแต่จริงๆแล้วมีประโยชน์ต่อการปฏิบัติมาก)
 
เก็บมือถือสุดที่รักไปแล้วก็เก็บกระเป๋าขึ้นชั้น2 ซึ่งเป็นห้องนอนรวม ในตึกที่อบรม ตึกอันสะอาดสะอ้าน กว้างใหญ่ ดูแล้วดี ดูแล้วสงบ ชั้นหนึ่งเป็นที่จอดรถ ชั้น 2 เป็นโรงอาหารโล่งๆ มีโต๊ะกับเก้าอี้ไว้ทาน แล้วติดกันก็เป็นห้องนอนเลย แบ่งหญิงชาย ห้องนึงนอนได้ 40 คน เป็นเตียงสองชั้นเรียงๆกันติดๆ มีผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนและผ้าห่มให้ใส่เอง อืมสะอาดใช้ได้ กลางวันเปิดพัดลมเอา กลางคืนมีแอร์ให้ครับพอวางกระเป๋าเสร็จก็ขึ้นชั้น 4 ซึ่งเป็นห้องกว้างมากๆ 
 
เริ่มปฏิบัติวันแรก
 
วางกระเป๋าเสร็จก็ไปนั่งรวมกันชั้น 4
ชั้น4 นี้เป็นห้องปฏิบัติธรรม กว้างมาก แบบจุได้ 200 คนสบายๆ ด้านหน้าเป็นพระพุทธรูปสวยมาก ด้านข้างๆเป็นรูปพระอรหันต์ในสมัยพระพุทธการ หลายสิบรูป ดูแล้วขลังมากๆ (ฟีลเหมือนมีพระอาจารย์คอยดูเราอยู่)
 
เริ่มแรกก็บรรยาย บลาๆ โน่นนี่แล้วก็เริ่มเลย พระอาจารย์ท่านมากล่าวเปิดคอร์ส ให้ แล้วบรรยาย
ส่วนบรรยายท่านบรรยายได้ดีมาก
 
ย่อๆ ประมาณนี้ 
ให้เรา”รู้ตัว” มีสติ แต่ก่อนเราก็ปฏิบัติมาบ้างไรบ้าง เราไม่มีเหรอ(วะ) มาฟังท่านบอกว่าขณะนั่งเนี่ยเป็นกรรมฐาน ส่วนที่เรา “รู้” เนี่ยเป็นวิปัสสนา (เมื่อก่อนเข้าใจว่าวิปัสสนา คืออะไรที่มันลึกแบบได้ฌาน) แต่ท่านบอกว่าแค่รู้ว่าทำอะไรอยู่ถือว่าวิปัสสนาแล้ว เพราะการมีสติ เป็นการป้องกันการคิดกับกรรมที่ทำให้เกิดเหตุ พอหยุดรู้ตัวปั้บ ทุกอย่างสงบ นิ่ง (เป็นเวลาแค่นิดเดียวเท่านั้น) ที่เหลือก็ฟุ้งต่อ
 
เรื่องฟุ้งซ่านนี่ท่านบอกว่าเป็นเรื่องปกติของ “จิต” หน้าที่มันคือคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อย บ้าน เงิน แฟน ลูก บลาๆ อดีต อนาคต ความหวัง ความผิดหวัง ความโกรธ ... สรุปว่าคิดไปเรื่อยๆ แต่ที่ไม่อยู่จริงๆ คือ “ปัจจุบัน” 
ไอ้ตรง ปัจจุบันนี่หล่ะที่เป็นปัญหา คือไร ก็คือ เราอยู่ที่นี่ ยุวพุทธ ชั้น 4 กำลังนั่ง และ หายใจอยู่ ลึกไปหน่อยก็ หายใจเข้า... หายใจออก... และกำหนดรู้ได้ ระหว่างหายใจ เช่นทั่วไปก็ พองหนอ ยุบหนอ หรือพุธโธนั่นหล่ะ 
แต่จังหวะที่เรารู้ เราตามนั้น เข้า ออก เข้า ออก เข้า...แว้บ งาน XXX เปนไงเนี่ย,จะมีใครโทรมาเรื่องานไหม, กลางวันอาหารจะเป็นยังไง บลาๆๆ อ้าวเฮ้ย กลับๆ เอ้าเอาใหม่ เข้า...ออก...เข้า...ออก...เข้า....)(*&*&&%#$$!! จิตไปโน่นอีกแล้ว วิ่งไปวิ่งมา มาๆๆๆ กำหนดใหม่ ตั้งตัว “รู้”กันใหม่อีกที ทำวนไปวนมา จนหมดชั่วโมง เหนื่อยทะเลาะกับ (จิต)ตัวเอง จนเริ่มหิวได้เวลาอาหารกลางวัน
 
กลางวัน ให้ลงไปชั้น 2 นั่ง ห่างๆกัน ทุกคนปิดวาจากัน ได้แต่มองหน้ากันแล้วนั่งนิ่งๆ อาหารมีตั้งไว้อยู่แล้ว ที่นี่ทานมังสวิรัตินะครับ ก่อนทานก็สมาทานก่อน คำสมาทานที่นี่ค่อนข้างดีมาก ประมาณว่า อาหารนี้ขอถวายแด่พระพุทธ และให้ระลึกว่าอาหารนี้แค่เป็นปัจจัยให้ร่างการ (ขันธ์ 5 ) ดำรงอยู่เท่านั้น ไม่ได้เพื่อความเพลินเพลินทางการกินแต่อย่างใด และแผ่บุญให้กับผู้ร่วมบุญที่บริจาคปัจจัยมาร่วมค่าอาหารด้วย
 
ระหว่างนั่งทานก็ตั้งสติไปเรื่อยๆ ด้วยความที่ไม่ได้พูดกับใครและคนอื่นเขาก็ไม่ได้อยากจะพูดด้วยเลยเป็นอารมณ์เหมือนนิ่งๆ รู้ตัวเป็นระยะๆไป เพราะไม่ได้พูดไม่ได้ดู จิตเลยไม่ค่อยได้ไปไหน ทานจนพออิ่มก็เก็บจาน ที่นี่ไม่ต้องล้างเองมีคนล้างให้ ส่วนนมกาแฟ ต่างๆก็มีบริการให้โดยบริจาคเอาตามศรัทธา แต่ด้วยถือศีล 8 หลังเที่ยงก็ไม่ได้ทานอะไรแล้ว บางท่านก็ต้องทานข้าวเยอะหน่อยเพื่อเตรียมเผื่อไว้จนถึงกลางดึก
 
ช่วงบ่าย
หลังทานข้าวแล้วพออิ่ม ก็จะมีเวลาให้พักซักหน่อย ส่วนใหญ่ ด้วยการที่ “ไม่มีอะไรทำ” ก็ได้แต่ เดินไปเดินมา ไปนอนที่เตียงบ้าง (งีบ) หรือไปนั่งรอที่ห้องปฏิบัติชั้น 4 เลย ตรงจุดนี้จะเริ่มรู้สึกอึดอัดแล้ว เพราะปกติจะมีอะไรวุ่นๆทำทั้งวัน ทั้งดูมือถือ อ่านดราม่า เล่นเกม ทำงาน chat line ฯลฯ ทั้งหมด พอรู้ว่าทำไม่ได้และ ไม่มีอะไรให้ทำเลยจะงงๆอยู่นิดหน่อย
 
ช่วงบ่ายก็เน้นเดินจงกลม นั่งสมาธิ วันไปเรื่อยๆ อาการบ่ายนี้ก็จะจิตดิ้นๆ เหมือนลิงเพิ่งโดนล่ามโซ่ วิ่งไปวิ่งมา อยากโน่นอยากนี่ แต่ทำไม่ได้ จะกลับก็ไม่ทัน จะถอยก็ไม่ออก ครั้นจะให้นั่งสมาธิยาวๆ หรือเดินจงกลม ก็เบื๊อเบื่อ แต่ก็ต้องทำวนไปจนครบเวลา
 
ตอนนอนด้วยความที่ห้องนึงมี ร่วม 20-30 คน(เตียงสองชั้น) ฝั่งผู้ชายก็มาน้อยหน่อยเลยนอนแต่ด้านล่างกันส่วนใหญ่ ด้วยความที่จิตเป็นลิงต่อสู้กับความคิด (โซ่) ที่ล่ามไว้ทั้งวันเลยรู้สึกเพลีย ปน หิวนิดๆ นอนได้ซักพักก็หลับไป...
 
 
 
วันที่ 2 เลิกทะเลาะกับโซ่
 
วันที่สองของการปฏิบัติ
04.30-05.00 น. - ตื่นนอน / สรีระกิจ
05.00-05.30 น. - ทำวัตรเช้า
05.30-07.00 น. - ปฏิบัติธรรม / บรรยายธรรม
07.00-08.30 น. - อาหารเช้า / สรีระกิจ
08.30-11.00 น. - ปฏิบัติธรรม / บรรยายธรรม
11.00-12.00 น. - อาหารกลางวัน / สรีระกิจ
12.00-13.00 น. -  ปฏิบัติธรรมตามอัธยาศัย
13.00-16.00 น. -  ปฏิบัติธรรม / บรรยายธรรม  
16.00-18.00 น. -  น้ำปานะ / สรีระกิจ / ปฏิบัติธรรม
18.00-19.00 น. -  ทำวัตรเย็น / จิตตภาวนา 
19.00-21.00 น. -  ปฏิบัติธรรม / บรรยายธรรม / ตอบปัญหาธรรม 
21.00 น.           -  พักผ่อนด้วยสติ
 
 
ตื่นมาตี 4:30 จะมีกริ่งดังพร้อมกันและจะให้เวลาอาบน้ำเตรียมตัวกันซักพัก ผมเองก็เดินโงเงไปล้างหน้าอาบน้ำ แต่ด้วยว่านอนเร็วเมื่อวานเลยไม่ค่อยเพลียเท่าไหร่
พอเสร็จกิจก็ขึ้นไปรวมกันที่ห้องชั้น 4 ทุกคนพร้อมเพรียงกันอย่างดีมากแทบไม่เจอใครอู้เลย (อาจเป็นเพราะเป็นขั้นกลางและส่วนใหญ่เคยมากันแล้ว) พอเราจะโอ้เอ้บ้างเลยรู้สึกเกรงใจโดยบริยาย
หลังจากสวดมนต์ช่วงเช้าแล้วก็ถึงเวลาอาหารเช้า ซึ่งนี่เป็นมื้อเช้าแรกของวัน อาหารก็ง่ายๆ แบบข้าวต้ม ผักผัด ฯลฯ (มังสวิรัช)  แต่ที่ชอบก็ตอนกำหนดจิตก่อนทานอาหาร และแผ่ส่วนกุศลให้คนที่ร่วมบุญนี้ด้วย หลังจากทานเสร็จก็พักผ่อนก่อนปฏิบัติอีกรอบ
 
ด้วยความที่พระอาจารย์ติดกิจธุระเลยแทนที่ช่วงเช้าจะได้ฟังธรรมะเลยกลายเป็นว่ามีพี่เลี้ยง(ฆราวาส) มาบรรยายธรรมแทนและนำปฏิบัติแทนซึ่งอาจจะไม่ค่อยตรงกับสิ่งที่คาดหวังซักเท่าไหร่ (หรืออาจจะเป็นจริตแต่ละคน) เพราะฟังแล้วรู้สึกไม่ชอบในการบรรยาย รู้สึกอึดอัด แต่ซักพักก็คิดได้ว่าเอ๊ะ เรามาปฏิบัตินี่นา เราควร “กำหนดรู้” ไหมว่า ไม่ชอบหนอ ไม่ชอบหนอ เพื่อรู้ พอทำแล้วก็คลายความอึดอัดไปได้บ้าง
 
ยิ่งวันที่สองรู้สึกอาการอึดอัดจะหนักกว่าวันแรกเยอะ เพราะ เดินจงกลม กับนั่งสมาธิทั้งวัน ตั้งแต่เช้า และทำอย่างอื่นไม่ได้เลย ช่วงพักจะหาหนังสือมานั่งอ่าน (หนังสือธรรมะก็ยังดี) แต่ไม่มีเลย ได้แต่เดินไปเดินมา ปฏิบัติ พัก ปฏิบัติ พัก เดินไปเดินมา รู้สึกเหมือนโดนขังยังไงไม่รู้ เพราะทางศูนย์เองจะไม่ให้ผู้ปฏิบัติออกจากตึกเลย ได้แต่วน ชั้น 2-3-4, 2-3-4 ตลอดวันที่สองกับตารางที่กำหนด
 
วันนี้นั่งดูความคิดของตัวเองช่วงบ่ายก็รู้สึกว่าอึดอัดมากกกกกกกก ผมว่าเป็นจุดพีคของการปฏิบัติเลย ยิ่งช่วงประมาณ บ่าย 3-4 ซึ่งการปฏิบัติตั้งแต่ บ่าย 1 มาถึงจุดนี้นั้นเป็นอะไรที่อยากหนีกลับบ้านมาก เดินแต่ละก้าวของการเดินจงกลมนั้นเหมือนการก้าวแต่ละครั้งนานนนนนนนนนมาก จิตก็เริ่มฟุ้งว่าทำไมเราต้องมาอยู่ที่นี่ นอนอยู่บ้านสบายๆ งานจะเป็นอย่างไร ลูกๆเป็นไงบ้าง อยากทานบุฟเฟ่ อยากกินซูชิ อยากอ่านหนังสือ เล่น fb สารพัด ระหว่างนั้นก็มีเพียงผู้บรรยายทำเสียงแหบๆ โทนต่ำๆ บอกว่า ซ้ายย่างหนอออออออออ ขวาย่างหนอออออออออ 
ซ้ายย่างหนอออออออออ ขวาย่างหนอออออออออ เรื่อยๆ และบอกว่าให้กำหนดจิตที่เท้าที่สัมผัสพื้น อย่าให้จิตออกนอก แต่ๆๆๆ เป็นอะไรที่พีคมากที่จิตจะดิ้นได้ จิตอยู่ที่เท้าซ้ายปุ๊บ วิ่งไปงานอีกแล้ว ขวายกปั้บ วิ่งไปของกินอีกครั้ง วนไปวนมาเรื่อยๆ จนกว่าจะทะเลาะตัวเองจบก็ถึงเวลาน้ำปานะ ช่วงเย็นพอดี
 
เป็นการทะเลาะที่เหนื่อยมากใครคิดไม่ออกว่าเป็นอย่างไร (ให้ลองกำหนดจิตนั่งนิ่งๆ 10 นาทีดูจะรู้ว่าฟุ้งขนาดไหน) จนช่วงปฏิบัติช่วงดึกรู้สึกเบาขึ้นกว่าเดิม เหมือนว่าจิตดิ้นจนเหนื่อยเราก็ตามจนเหนื่อย เลยล้าทั้งคู่จะออกว่านิ่งๆเฉื่อยๆก็ว่าได้ พอถึงช่วงนี้จะรู้สึกเบามากขึ้น สบายขึ้น ไม่อึดอัดเหมือนช่วงบ่ายๆ พอเจอตัวจิตเราแล้ว จิตเองก็ฟังมากขึ้นแว้บไปแว้บมาน้อยลง จนได้เวลานอนซึ่งหลับสบายมากคงเพราะเหนื่อย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่