[CR] เที่ยวไปกินไป by laser @ เรือนนพเก้า

วันพฤหัสฯ ที่ 2-7-20 มีนัดกินข้าวข้าวคุยธุรกิจ โจทย์คืออาหารไทยแท้สี่ภาคเดินทางด้วยรถไฟฟ้าได้
ร้านแรกที่นึกถึง คือ ร้านบุษราคัม ถนนประมวญ ฝั่งถนนสาทรเหนือ ซึ่งเคยไปกินข้าวแช่ชาววัง
"เที่ยวไปกินไป by laser @ ห้องอาหารไทยชาววัง บุษราคัม" https://ppantip.com/topic/36484107
แต่อีกฝ่ายแนะนำร้านนพเก้า ในซอยสาทร 6 ซึ่งเพิ่งเปิดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ 



ดูจากพิกัดที่ให้มา เข้าได้หลายทาง ทั้งจากสถานีศาลาแดงเข้าถนนคอนแวนต์ต้ดเข้าซอยพิพัฒน์
แต่พิจารณาแล้วลงสถานีช่องนนทรีเดินสบายที่สุด สามารถเข้าได้ทั่งทางซอยนราธิวาช 3 และสาทรซอย 8 และ 6
นัดกันสี่โมงเย็น ฟ้าครึ้มเมฆดำมีฝนแน่ รีบออกจากบ้านตั้งแต่บ่ายสองโมงครึ่ง
เดินทางด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส เปลี่ยนจากสายสีเขียวเป็นสายสีเขียวเข้ม ที่สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ
15.30 น.ถึงสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสช่องนนทรี ออกทางด้านทางออกที่ 3 และ 4 ต่อด้วยทางออกที่ 5
ไปที่สะพานงวงช้างคร่อมถนนสาทร เก็บภาพนานไม่ได้นาน เพราะฝนเริ่มลงเม็ด





เลี้ยวซ้ายลงถนนสาทรเหนือ



จะเข้าทางด้านสาทรซอย 8 ก็ได้ แต่ถนนแคบต้องระวังรถ



จึงเดินไปตามทางเท้าถนนใหญ่ไปอีกประมาณ 140 เมตร
ไปเข้าที่สาทรซอย 6 หรือซอยพิพัฒน์ (สีลมซอย 3)
ซึ่งหัวถนน คือ ร้าน Tenyuu Grand 
"เที่ยวไปกินไป by laser @ Tenyuu Grand"
https://ppantip.com/topic/39955422



เดินเข้าซอย 100 เมตรถึงสามแยกเลี้ยวซ้าย
ร้านเรือนนพเก้า (Ruen Noppagao) อยู่ตรงสามแยกฝั่งตรงข้ามพอดี
พื้นที่ 900 ตารางวา มูลค่าพันแปดร้อยล้าน เดิมปล่อยเช่าเป็นที่จอดรถ 
ให้ผู้ปกครองโรงเรียนเซ็นต์โยเซฟคอนแวนต์มาจอดรถ



ฝั่งซ้ายของทางเข้า เป็นอาคารเก่าแก่ตั้งแต่สมัย ร.4
เดิมเปิดเป็นร้าน The Anna Restaurant & Art Gallery
ก่อนเปลี่ยนเป็น Anna & Son Cuisine ปัจจุบันเปิดเป็นร้านอาหารฝรั่งเศส Brasseri 9
โดยที่ชั้นสองยังคงเป็นแกลเลอรี่



ชื่อร้าน "เรือนนพเก้า" ทำให้นึกว่าคงเป็นบ้านทรงไทย
แต่กลายเป็นร้านแบบสถาปัตยกรรมทันสมัย ล้อมสองด้านด้วยกระจก









ตามมาตรฐานวิถีชีวิตใหม่ 
เรียกง่าย ๆ จำง่าย ๆ ภาษาชาวบ้าน 
ไม่พิสดารแบบราชบัณฑิตฯ “ความปกติใหม่”
ต้องวัดอุณหภูมิและเช็คอินก่อนเข้าร้าน
ประตูไม้เข้าร้านเป็นแบบบานสวิงสูงสองเมตร
พนักงานหญิงแต่งชุดไทยสไบเฉียง 
แต่พนักงานชายไม่ใส่ขุดราชปะแคน (Pattern)



เข้ามาในร้านจะพบกับชั้นไวน์



มุมทำค็อกเทลและเตรียมชาหน้าห้องครัว



มีชาให้เลือกหลายชนิด เพราะที่นี่มี Tea Time เวลาน้ำชาด้วย
ชาทั้งหมดเป็นชาทำมือ จากวิสาหกิจชุมชนของเชียงราย



สุดเคาน์เตอร์เลี้ยวซ้ายเป็นห้องน้ำ เลี้ยวขวาเป็นบันไดขึ้นชั้นสอง



เป็นลูกค้ากลุ่มเดียวจึงเดินขึ้นไปชมสถานที่
ชั้นสองเป็นเหมือนชั้นลอย มีห้องน้ำต่างหาก
เหมาะกับการมาเป็นกลุ่มใหญ่ หรือจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ
ทางร้านเปิดเพลงบรรเลงไทยเดิมรื่นหู จากเครื่องดนตรีขิมและจะเข้









กลับลงมาเลือกโต๊ะนั่งชั้นล่าง เพดานสูงโปร่งนั่งสบายกว่า









มองเห็นดาดฟ้าอาคารมหานคร



มุมพิเศษติดสวน ดูเป็นส่วนตัวดี



ดูหรูด้วยช้อนส้อมทองเหลือง



ทางออกไปส่วนสูบบุหรี่ในสวนไม้หอม



สุดท้ายเลือกนั่งมุมนี้ 
เพราะชอบนั่งเบาะยาววางของสะดวก
อีกทั้งสั่งอาหารมากวางได้ไม่แน่นเกินไป
ร้านแบ่งเวลาทำการเป็นสามรอบ คือ มื้อกลางวัน 11.30-14.30 น. 
15.00-18.00 น. ขายน้ำชายามบ่ายสำหรับสองคน ด้วยเครื่องว่างไทย 9 คำ 
ขนมหวานไทยอีก 9 คำ และชาสัญขาติไทย 18.30-22.30 น. เป็นมื้อเย็น 
แม้ว่าจะมาถึงสี่โมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาชุดน้ำชา ถ้ากินชุดน้ำชา ซึ่งดูจากรูปแล้วอลังการมาก
คงกินมื้อเย็นไม่ไหว แต่ถ้าจะให้รอถึงรอบอาหารเย็นก็คงรอไม่ไหว ดีที่ทางร้านยินดีทำอาหารเย็นให้



เปิดรายการอาหารมาหน้าแรก เป็นการกล่าวถึงแรงบันดาลใจของชื่อร้าน
คำว่า "นพเก้า" (นพ-พะ-เก้า) แปลว่า เก้า ทั้งนพและเก้ามีความหมายอย่างเดียวกัน 
คนไทยถือว่าเป็นเลขมงคลสูงสุด นอกจากนี้ยังหมายถึงเก้าอัญมณี (นพรัตน์) แห่งแหวนนพเก้า
คือ แก้วมณีหรือหินมีค่า 9 อย่าง ได้แก่ เพชร ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน นิล มุกดา เพทาย และไพฑูรย์  
ทำเป็นเรือนยอดก็มี ฝังรอบวงแหวนก็มี สำหรับสวมในงานมงคล หินมีค่าเหล่านี้อยู่ในเครื่องราชอิสริยาภรณ์
ซึ่งเป็นระเบียบสูงสุดของราชอาณาจักรซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยรัชกาลที่ 4 เมื่อกว่าศตวรรษครึ่งที่แล้ว
ประราชทานแก่เชื้อพระวงศ์ ข้าราชการชั้นสูง และชนผู้สูงศักดิ์ ซึ่งได้ถวายงานด้วยความจงรักภักดี
งานตั้งศาลพระภูมิบางพิธี นอกจากการตอกไม้มงคลเก้าอย่าง ผ้าสี และข้าวตอกดอกไม้แล้ว ยังใส่แหวนนพเก้าด้วย
เรือนนพเก้ามีความภูมิใจ ในการรักษามรดกทางวัฒนธรรม โดยผ่านศิลปะการทำอาหารสูตรดั้งเดิม
ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นอาหารพิเศษสำหรับครอบครัวผู้สูงศักดิ์เท่านั้น เช่นเดียวกับอาหารจานเด่นจากสี่ภูมิภาคหลัก
ของราชอาณาจักร มีการใช้ส่วนผสมดั้งเดิมเท่านั้น โดยผลิตผลที่ปลูกเองภายในบ้าน พร้อมกับผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก
จากฟาร์มของทางร้านในสุโขทัย และผู้ป้อนวัตถุดิบจากวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่นอื่น ๆ



รายการอาหารบางส่วน





เล็งของหวานไว้ห้ารายการ





ลองม็อกเทลอัสดง 190 บาท++
ส่วนผสมประกอบไปด้วยน้ำกระเจี๊ยบ ลูกหม่อน น้ำขิง 
และน้ำองุ่น Shiraz จากไร่องุ่นกราน-มอนเต้ เขาใหญ่ ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น



ประดับด้วยลูกหม่อนหวานอมเปรี้ยว



ตอนที่เชฟ หรือหัวหน้าพ่อครัวออกมาแนะนำอาหาร รู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ
เพราะคิดว่าร้านที่ทำอาหารไทยต้นตำรับทั้งสี่ภาค พ่อครัวแม่ครัวน่าจะมีอายุมากในการเก็บเกี่ยวประสบการณ์
แต่หัวหน้าพ่อครัวของร้านนี้อายุแค่ 33 ปี คือ คุณปิ๊ก-คณิน สินพันธ์ เจ้าของรางวัลเหรียญทอง TICC 
2 ปีซ้อนจาก TICC, Thailand International Culinary Classic Thai Cuisine: Individual (professional)
ผู้หลงไหลในอาหารไทยแท้ต้นตำรับ ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ และเข้าครัวช่วยคุณยายทำอาหารไทยขาย
เชฟปิ๊กได้การคัดเลือก จาก BAC Group ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบางกอกแอร์เวย์ และเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของร้านนี้
ให้มาเป็นผู้ดูแลตั้งแต่การก่อสร้าง ตกแต่งภายใน ของใช้ รายการอาหารและวัตถุดิบ เชฟบอกว่า
คอนเซ็ปต์ของร้าน คือ รวบรวมสุดยอดวัตถุดิบ ในการทำอาหารที่ดีที่สุดในประเทศไทย มาไว้ที่ร้านเรือนนพเก้า
และรวบรวมเชฟรุ่นใหม่หัวใจโบราณ อายุไม่เกิน 35 ปี นอกจากนี้ยังมีเก้าสิ่งมหัศจรรย์ของเรือนนพเก้า
เป็นชุดเก้าอาหารเด่นของเรือนนพเก้า อาหารทุกจานทุกชาม ขนมทุกอย่างล้วนแต่มีเรื่องราว
แม้แต่ข้าวและน้ำข้าวแช่ ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของชุดข้าวแช่ น้ำต้องใช้น้ำจากหมู่บ้านดอยงาม 
อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย เป็นตาน้ำแร่ธรรมชาติของชนเผ่าอาข่า ที่สูงจากน้ำทะเลประมาณ 2,500 ฟุต
ต้มเดือดร้อยองศาเป็นเวลา 15 นาที ทิ้งให้เย็นในตุ่มดินเผา 3 คืน ก่อนลอยด้วยมะลิ 
กุหลาบมอญ ขมนาดและกระดังงา แล้วอบด้วยเทียนอบอีกหนึ่งคืน เสียดายที่หมดหน้าข้าวแช่แล้ว
ความจริงอยากเลือกรายการอาหารเอง ซึ่งมีถึง 22 อย่างที่อยากลองทั้งคาวหวาน
แต่ไหน ๆ ทางร้านอุตส่าห์ยอมเปิดมื้อเย็นนอกรอบให้เป็นกรณีพิเศษ อีกทั้งในเก้าอย่างนั้น
มีหลายหลายการที่ตั้งใจจะสั่ง จึงยอมตามที่เชฟภูมิใจเสนอ
ชุด "ความภูมิใจแห่งเรือนนพเก้า" (Ruen Noppgao Signature Dishes) รวมอาหารไทยสี่ภาค
เป็นอาหารคาว 7 อย่าง และของหวานสองอย่าง แต่ไม่ได้สอดคล้องกับเก้านพรัตน์อัญมณี



เริ่มด้วย 1 "ขนมเบื้องสุโขทัย" 220 บาท++
ทางร้านได้สูตรการทำจากตำรับบ้านนายแพทย์ปราเสิรฐ ปราสาททองโอสถ
ตัวแป้งหอมกรอบบางสม่ำเสมอ แสดงถึงความชำนาญในการร่อนน้ำแป้งในกระทะ



ไส้กระฉีกกุ้ง ใดยใช้เนื้อกุ้งแม่น้ำสับละเอียด ผัดกับสามเกลอปรุงรสด้วยเกลือและน้ำตาลจนกุ้งสุก
เติมเนื้อมะพร้าวขูดเป็นเส้นฝอยสับละเอียด เติมสีแดง ผัดต่อจนคลุกเคล้าเป็นเนื้อเดียวกัน
ใส่ถั่วงอกดิบตัดหัวท้าย ไช้โป๊วหวานและเต้าหู้เหลืองวางบนแป้งกรอบ 
โรยทับด้วยกระฉีกกุ้ง แต่งหน้าด้วยต้นหอมซอย ต่างกับขนมเบื้องเวียดนาม ที่เพิ่มเห็ดหูหนูดำสับ
และใส่เนื้อหมูสับปรุงรสแทนกระฉีกกุ้ง


กินกับอาจาดเคี่ยวน้ำส้มสายชูกับน้ำตาล 
ใส่แตงกวา หอมแดงและพริกขี้หนูหั่นชิ้นเล็ก ๆ



หั่นชิ้นเล็ก ๆ มาชิม มองเห็นมันกุ้งสีแดงเข้มแทรกอยู่ในเนื้อกระฉีกกุ้ง
เนื้อกระฉีกกุ้งหอมเข้มข้น รสชาติเหมือนกับขนมเบื้องแม่สุอาภา ปากซอยเทอดไท 18 ตลาดพลู



ตักอาจาดราดลงไปเล็กน้อย รสชาติลงตัวมาก ๆ

ชื่อสินค้า:   อาหารไทยต้นตำรับ
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่