----------------------------------------------------
ขอบคุณที่แวะมาอ่านกันนะคะ
แวะมาทักทายพูดคุยกันได้ค้า
www.facebook.com/glassmablez
หรือ
www.facebook.com/the.samanthachiew
ลิ้งตอน1-ตอน8 ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตอนที่ 1 : https://ppantip.com/topic/40034819
ตอนที่ 2 : https://ppantip.com/topic/40037206
ตอนที่ 3 : https://ppantip.com/topic/40041819
ตอนที่ 4 : https://ppantip.com/topic/40045504
ตอนที่ 5 : https://ppantip.com/topic/40050024
ตอนที่ 6 : https://ppantip.com/topic/40051550
ตอนที่ 7 : https://ppantip.com/topic/40053266
ตอนที่ 8 : https://ppantip.com/topic/40055184
------------------------------------------------------
5
เอวาค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย
“คุณบอกคนอื่นถึงสิ่งที่คุณฝันเห็นในแต่ละคืนไปแล้วใช่ไหม” เมิฟถาม “คุณสารภาพเรื่องที่คุณเห็นเหตุร้ายกับโจนาห์ -- นักบุญที่คุณไว้วางใจว่าเขาจะปกป้องคุณคนนั้น”
เอวาไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่นั่นก็มากพอสำหรับเมิฟ “ทำไมถึงต้องเป็นโจนาห์” เขาถาม
เพราะฉันทนความกลัวที่ครอบงำตัวเองไม่ได้! -- เอวาตะโกนลั่นภายในใจ -- เธอทนเก็บภาพที่เห็นไว้กับตัวเองเพียงลำพังไม่ได้ มันแทบจะทำให้หัวเธอระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ!
เธอต้องการเขา เธอต้องการโจนาห์ --
“เพราะเขาช่วยให้ฉันรอดมาได้ ถ้าไม่มีเขา -- ฉันคงตายไปนานแล้ว” เธอกลับพูดออกมาแบบนั้น “โจนาห์ให้ที่หลบซ่อนแก่ฉัน เขาพาฉันมาที่นี่ -- ในบ้านที่ปลอดภัยจากบรรดาผู้คนที่สาปแช่งฉัน --” เอวายกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาตรงหน้า ปรากฏให้เห็นรอยแผลเป็นที่ลากยาวจากข้อมือมาจนถึงข้อศอก -- จากนั้นจึงขยับผ้าคลุมไหล่ เผยให้เห็นรอยแผลไหม้ขนาดใหญ่บนหัวไหล่อันเปลือยเปล่า “ปลอดภัยจากบรรดาผู้คนที่อยากจะฆ่าฉันทิ้ง”
เมิฟจ้องมองรอยแผลอันน่ากลัวเหล่านั้น วูบหนึ่งดวงตาสีเขียวคล้ายจะรื้นไปด้วยน้ำตา หากแต่เขาก็เบือนหน้าหนีเธออย่างรวดเร็ว
“ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณ” เมิฟค่อยๆยกมือขึ้น เสยเรือนผมสีแดงไปให้พ้นใบหน้าตน -- ค่อยๆหันหน้าไปทางด้านข้างให้เธอมองเต็มตา เผยให้เห็นรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ คล้ายรอยจากของมีคม ที่ลากยาวตั้งแต่หางคิ้วไปจนถึงสันกราม “มันเจ็บปวดกว่าที่ตาเห็นหลายเท่า จริงไหม”
เอวาเผลอมองไปตามแผลเป็นนั่นอย่างลืมตัว นึกเจ็บปวดแทนเขา เมื่อเห็นว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นแผลฉกรรจ์มาก่อน
“ผมเคยโดนทำร้าย -- เมื่อสิบปีก่อน” เมิฟตอบ เมื่อชำเลืองเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามของเธอ “พวกเขาหวาดกลัวในสิ่งที่ตนเองไม่เข้าใจ นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาพยายามขับไล่ และกำจัดทิ้ง -- มนุษย์มักทำแบบนั้นอยู่เสมอ” เมิฟเสยผมไปอีกทาง “เหมือนกับที่ครั้งหนึ่ง ผู้คนในเมืองเคยหวาดกลัวว่าพายุฝนจะพัดพาทุกอย่างกลับลงขุมนรก พวกเขาจึงสวดมนต์ภาวนากันทั้งน้ำตา ร้องขอให้ไม่มีวิญญาณของผู้เป็นที่รักของตนถูกพรากไปในคืนนั้น”
คราวนี้เอวาจ้องมองเขาอย่างตื่นตะลึง “โจนาห์พูดแบบนั้นเช่นเดียวกัน” เธอกระซิบ
เขาบอกเธอแบบนั้น ในตอนที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ แล้วพาเธอมาที่นี่ครั้งแรก
เมิฟยังคงตอบด้วยน้ำเสียงอันนิ่งสงบดั่งเดิมว่า “ผมรู้” เขาจ้องมองเธอนิ่ง “และผมก็ยังรู้อีกด้วยว่าคุณยังคงโกหกอยู่ เอวา”
คราวนี้เอวาไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้ มือที่กำชายเสื้อคลุมไว้เริ่มเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
“คุณอาจจะไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ นอกจากมองว่าตัวเองเป็นคนต้องคำสาป -- แต่คุณไม่ได้โง่เขลา -- ผมรู้ว่าคุณรู้ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับชายคนนั้น -- มีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้องระหว่างโจนาห์และคุณ”
“คุณหมายความว่าอะไรกัน”
“นักบุญโจนาห์ของคุณ พาคุณมาที่นี่เมื่อไหร่” เมิฟถาม “หลังจากเกิดเรื่องที่ชายทะเลนั่นไปไม่กี่สัปดาห์ใช่ไหม”
เอวานึกย้อนถึงคืนวันนั้น ที่เขาช่วยเธอไว้จากพิษบาดแผลจากการถูกประชาทัณฑ์
คืนที่เธอแทบเอาชีวิตไม่รอดจากการถูกวางเพลิง และกรวดหินที่ปาเข้ามา จนบาดผิวเธอไปทั่วทั่งร่าง
“เขาไม่ได้เข้ามาช่วยคุณในตอนที่คุณอยู่ในเปลวเพลิง หรือในตอนที่คุณอยู่ใจกลางกลุ่มคนที่ปาหินใส่” เมิฟว่าต่อไป “เขาไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าคุณในตอนที่คุณต้องการความช่วยเหลือ หากแต่เขาเข้ามาในชีวิตคุณ ในตอนที่คุณอยากจะหนีหายไปจากเมืองนี้ต่างหาก -- เขาพาคุณมาที่นี่ และไม่เคยปล่อยให้คุณคลาดสายตา หนีจากไปที่ไหนได้อีกเลย ใช่ไหม”
ใช่ -- เอวานึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ไหลผ่านเข้ามาในความคิดตน
“คุณคิดว่าอะไรทำให้เขาช่วยคุณไว้ -- คุณคิดว่าอะไรทำให้เขาแอบซ่อนคุณไว้ที่นี่”
“เพราะเขาเชื่อฉัน --” เอวาตอบออกมาก่อนจะทันได้คิดถึงสิ่งอื่นใด “เพราะเขาเชื่อในสิ่งที่ฉันเห็น --”
เมิฟพยักหน้า “ใช่” เขาเอ่ยช้าๆ “เพราะเขาเชื่อคุณ เอวา เขาถึงช่วยชีวิตคุณไว้ในคืนนั้น -- เพราะเขารู้ว่าสิ่งที่คุณฝันเห็นและพูดออกมานั้น มันล้ำค่ายิ่งกว่าเพชรพลอยใดๆ มันคือคำทำนายสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจริง ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดโกหก หรือคำสาปอย่างที่หลายคนนึก เขาถึงรู้ว่าต้องทำอย่างไรกับคุณต่อไป --”
ใบหน้าของเมิฟคล้ายจะเคลื่อนเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น จนเธอแทบจะเห็นม่านตาสีเขียวที่เบิกโพลงนั่นได้อย่างชัดเจน
“คุณคิดว่าอะไรทำให้โจนาห์ ชายผู้เป็นคนธรรมดาเดินดิน กลับกลายเป็นนักบุญโจนาห์ผู้เป็นที่รักไปได้” เมิฟถามต่อไป “อะไรทำให้เขากลายเป็นนักบุญโจนาห์ผู้ได้รับความรัก ความเคารพ และการบูชาสรรเสริญไปทั่วทั้งเมืองเล็กๆแห่งนี้ ทั้งที่เขายังหนุ่มแน่น และยังคงท่องบทสวดไม่ได้สักครึ่งหนึ่งของนักบวชผู้อาวุโสคนอื่น -- คุณคิดว่าอะไรทำให้คนอย่างเขาได้รับทุกอย่าง ในขณะที่คุณกลับถูกขับไล่มาอยู่ในบ้านร้างหลังนี้”
เอวามองเขานิ่ง ภาพของโจนาห์ที่ขยับทุกท่วงท่าอย่างสง่างาม เชิดรั้นใบหน้าขึ้นเล็กน้อยในทุกครั้งที่เหลือบมองเธอมา ปรากฏขึ้นในหัวของเธอ “คุณกำลังหมายความว่าอะไร --” เธอกระซิบ
“ผมหมายความว่า --” เมิฟเปล่งเสียงออกมาช้าๆ หากแต่เสียงดังฟังชัดในทุกคำ “โจนาห์อาจจะไม่ใช่คนแบบที่คุณเห็น และไม่ใช่คนแบบที่ทุกคนเชื่อว่าเขาเป็น”
EXONERATED คืนล้างบาป (5)
“คุณบอกคนอื่นถึงสิ่งที่คุณฝันเห็นในแต่ละคืนไปแล้วใช่ไหม” เมิฟถาม “คุณสารภาพเรื่องที่คุณเห็นเหตุร้ายกับโจนาห์ -- นักบุญที่คุณไว้วางใจว่าเขาจะปกป้องคุณคนนั้น”
เอวาไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่นั่นก็มากพอสำหรับเมิฟ “ทำไมถึงต้องเป็นโจนาห์” เขาถาม
เพราะฉันทนความกลัวที่ครอบงำตัวเองไม่ได้! -- เอวาตะโกนลั่นภายในใจ -- เธอทนเก็บภาพที่เห็นไว้กับตัวเองเพียงลำพังไม่ได้ มันแทบจะทำให้หัวเธอระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ!
เธอต้องการเขา เธอต้องการโจนาห์ --
“เพราะเขาช่วยให้ฉันรอดมาได้ ถ้าไม่มีเขา -- ฉันคงตายไปนานแล้ว” เธอกลับพูดออกมาแบบนั้น “โจนาห์ให้ที่หลบซ่อนแก่ฉัน เขาพาฉันมาที่นี่ -- ในบ้านที่ปลอดภัยจากบรรดาผู้คนที่สาปแช่งฉัน --” เอวายกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาตรงหน้า ปรากฏให้เห็นรอยแผลเป็นที่ลากยาวจากข้อมือมาจนถึงข้อศอก -- จากนั้นจึงขยับผ้าคลุมไหล่ เผยให้เห็นรอยแผลไหม้ขนาดใหญ่บนหัวไหล่อันเปลือยเปล่า “ปลอดภัยจากบรรดาผู้คนที่อยากจะฆ่าฉันทิ้ง”
เมิฟจ้องมองรอยแผลอันน่ากลัวเหล่านั้น วูบหนึ่งดวงตาสีเขียวคล้ายจะรื้นไปด้วยน้ำตา หากแต่เขาก็เบือนหน้าหนีเธออย่างรวดเร็ว
“ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณ” เมิฟค่อยๆยกมือขึ้น เสยเรือนผมสีแดงไปให้พ้นใบหน้าตน -- ค่อยๆหันหน้าไปทางด้านข้างให้เธอมองเต็มตา เผยให้เห็นรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ คล้ายรอยจากของมีคม ที่ลากยาวตั้งแต่หางคิ้วไปจนถึงสันกราม “มันเจ็บปวดกว่าที่ตาเห็นหลายเท่า จริงไหม”
เอวาเผลอมองไปตามแผลเป็นนั่นอย่างลืมตัว นึกเจ็บปวดแทนเขา เมื่อเห็นว่าครั้งหนึ่งมันเคยเป็นแผลฉกรรจ์มาก่อน
“ผมเคยโดนทำร้าย -- เมื่อสิบปีก่อน” เมิฟตอบ เมื่อชำเลืองเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามของเธอ “พวกเขาหวาดกลัวในสิ่งที่ตนเองไม่เข้าใจ นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาพยายามขับไล่ และกำจัดทิ้ง -- มนุษย์มักทำแบบนั้นอยู่เสมอ” เมิฟเสยผมไปอีกทาง “เหมือนกับที่ครั้งหนึ่ง ผู้คนในเมืองเคยหวาดกลัวว่าพายุฝนจะพัดพาทุกอย่างกลับลงขุมนรก พวกเขาจึงสวดมนต์ภาวนากันทั้งน้ำตา ร้องขอให้ไม่มีวิญญาณของผู้เป็นที่รักของตนถูกพรากไปในคืนนั้น”
คราวนี้เอวาจ้องมองเขาอย่างตื่นตะลึง “โจนาห์พูดแบบนั้นเช่นเดียวกัน” เธอกระซิบ
เขาบอกเธอแบบนั้น ในตอนที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ แล้วพาเธอมาที่นี่ครั้งแรก
เมิฟยังคงตอบด้วยน้ำเสียงอันนิ่งสงบดั่งเดิมว่า “ผมรู้” เขาจ้องมองเธอนิ่ง “และผมก็ยังรู้อีกด้วยว่าคุณยังคงโกหกอยู่ เอวา”
คราวนี้เอวาไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้ มือที่กำชายเสื้อคลุมไว้เริ่มเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
“คุณอาจจะไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ นอกจากมองว่าตัวเองเป็นคนต้องคำสาป -- แต่คุณไม่ได้โง่เขลา -- ผมรู้ว่าคุณรู้ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับชายคนนั้น -- มีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้องระหว่างโจนาห์และคุณ”
“คุณหมายความว่าอะไรกัน”
“นักบุญโจนาห์ของคุณ พาคุณมาที่นี่เมื่อไหร่” เมิฟถาม “หลังจากเกิดเรื่องที่ชายทะเลนั่นไปไม่กี่สัปดาห์ใช่ไหม”
เอวานึกย้อนถึงคืนวันนั้น ที่เขาช่วยเธอไว้จากพิษบาดแผลจากการถูกประชาทัณฑ์
คืนที่เธอแทบเอาชีวิตไม่รอดจากการถูกวางเพลิง และกรวดหินที่ปาเข้ามา จนบาดผิวเธอไปทั่วทั่งร่าง
“เขาไม่ได้เข้ามาช่วยคุณในตอนที่คุณอยู่ในเปลวเพลิง หรือในตอนที่คุณอยู่ใจกลางกลุ่มคนที่ปาหินใส่” เมิฟว่าต่อไป “เขาไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าคุณในตอนที่คุณต้องการความช่วยเหลือ หากแต่เขาเข้ามาในชีวิตคุณ ในตอนที่คุณอยากจะหนีหายไปจากเมืองนี้ต่างหาก -- เขาพาคุณมาที่นี่ และไม่เคยปล่อยให้คุณคลาดสายตา หนีจากไปที่ไหนได้อีกเลย ใช่ไหม”
ใช่ -- เอวานึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ไหลผ่านเข้ามาในความคิดตน
“คุณคิดว่าอะไรทำให้เขาช่วยคุณไว้ -- คุณคิดว่าอะไรทำให้เขาแอบซ่อนคุณไว้ที่นี่”
“เพราะเขาเชื่อฉัน --” เอวาตอบออกมาก่อนจะทันได้คิดถึงสิ่งอื่นใด “เพราะเขาเชื่อในสิ่งที่ฉันเห็น --”
เมิฟพยักหน้า “ใช่” เขาเอ่ยช้าๆ “เพราะเขาเชื่อคุณ เอวา เขาถึงช่วยชีวิตคุณไว้ในคืนนั้น -- เพราะเขารู้ว่าสิ่งที่คุณฝันเห็นและพูดออกมานั้น มันล้ำค่ายิ่งกว่าเพชรพลอยใดๆ มันคือคำทำนายสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจริง ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดโกหก หรือคำสาปอย่างที่หลายคนนึก เขาถึงรู้ว่าต้องทำอย่างไรกับคุณต่อไป --”
ใบหน้าของเมิฟคล้ายจะเคลื่อนเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น จนเธอแทบจะเห็นม่านตาสีเขียวที่เบิกโพลงนั่นได้อย่างชัดเจน
“คุณคิดว่าอะไรทำให้โจนาห์ ชายผู้เป็นคนธรรมดาเดินดิน กลับกลายเป็นนักบุญโจนาห์ผู้เป็นที่รักไปได้” เมิฟถามต่อไป “อะไรทำให้เขากลายเป็นนักบุญโจนาห์ผู้ได้รับความรัก ความเคารพ และการบูชาสรรเสริญไปทั่วทั้งเมืองเล็กๆแห่งนี้ ทั้งที่เขายังหนุ่มแน่น และยังคงท่องบทสวดไม่ได้สักครึ่งหนึ่งของนักบวชผู้อาวุโสคนอื่น -- คุณคิดว่าอะไรทำให้คนอย่างเขาได้รับทุกอย่าง ในขณะที่คุณกลับถูกขับไล่มาอยู่ในบ้านร้างหลังนี้”
เอวามองเขานิ่ง ภาพของโจนาห์ที่ขยับทุกท่วงท่าอย่างสง่างาม เชิดรั้นใบหน้าขึ้นเล็กน้อยในทุกครั้งที่เหลือบมองเธอมา ปรากฏขึ้นในหัวของเธอ “คุณกำลังหมายความว่าอะไร --” เธอกระซิบ
“ผมหมายความว่า --” เมิฟเปล่งเสียงออกมาช้าๆ หากแต่เสียงดังฟังชัดในทุกคำ “โจนาห์อาจจะไม่ใช่คนแบบที่คุณเห็น และไม่ใช่คนแบบที่ทุกคนเชื่อว่าเขาเป็น”