ในเช้าวันเสาร์ของเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผมต้องรีบตื่นนอนแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัวใส่ชุดดำ เพราะว่าในวันนี้มีงานที่ผมจะต้องไปร่วมส่งอาม่าผู้วายชนม์ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ที่ผมนับถือ ณ.สุสาน ในจังหวัดหนึ่งซึ่งห่างจาก กทม.ประมาณหนึ่งร้อยกว่ากิโลเมตร สุสานนี้ก็ตั้งอยู่ในตัวเมืองของจังหวัดนั้น วันนี้มีฝนตกปรอยๆมาตลอดทาง การเดินทางสะดวกมาก รถราที่สัณจรในวันนี้ก็ไม่มาก เพราะอยู่ในช่วงการระบาดของเชื้อหวัดมรณะ
เมื่อมาถึงสุสานที่จะต้องฝังร่างอาม่าไว้ ณ.ที่แห่งนี้ไว้ชั่วนิรันด์ เท่าที่เห็นมีผู้ที่เดินทางมาร่วมไว้อาลัยกับอาม่าผู้วายชนม์เป็นจำนวนมาก อาม่าท่านนี้ตอนที่มีชีวิตอยู่เป็นผู้ที่มีเมตตาต่อบุคคลอื่นๆเสมอมา จึงมีผู้มาร่วมงานในวันนี้มาก รวมทั้งในช่วงที่มีพิธีสวดศพเจ็ดวันก่อนจะทำพิธีฝัง ก็มีคนมาร่วมงานอย่างมากมายตลอดทุกค่ำคืน
ผมมาถึงที่สุสาน เหล่าลูกหลานอาม่าก็เริ่มทำพิธีกันที่หน้าหลุมศพกันแล้ว รวมทั้งผู้ที่นับถืออาม่าที่มาส่งผู้วายชนม์เป็นครั้งสุดท้ายก็เนืองแน่นเต็มพื้นที่ตามรอบๆบริเวณแห่งนี้ ฝนที่โปรยปรายมาแต่เช้าก็หยุดตก เหมือนว่าขอเทวดาฟ้าดินไว้ให้งานพิธีได้ดำเนินไปได้ ผมก็รีบเดินเข้ามาใกล้ๆหลุมศพนี้ เพื่อจะเข้ามาคารวะส่งดวงวิญญาณของอาม่าไปสู่สวงสวรรค์ ตามความนึกคิดด้วยความละลึกถึงอาม่าผู้ที่เคยมีเมตตาต่อผมในช่วงที่ท่านมีชีวิตอยู่ และลูกหลานของอาม่าก็จุดธูปให้ผู้ที่มาร่วมงานที่สุสานแห่งนี้คนละหนึ่งดอก เพื่อบอกกล่าวขอขมาแกผู้ที่ล่วงลับไปแล้วในบริเวณนี้ เพราะมาเดินเหยียบย่ำไปมาบนหลุมศพของผู้ที่ล่วงลับในบริเวณนี้โดยไม่เจตนาก็ขออโหสิกรรมกันไป แต่ธูปมาไม่ถึงผมเพราะธูปหมดเสียก่อนที่จะมาถึงผม ผมก็ไม่กระไรถือว่าหมดก็หมดไปคงไม่เป็นไรมั้ง แต่ผมก็สังหรณ์ใจอยู่เหมือนกันว่าผมเดินไปเดินมาข้างหลุมศพบริเวณนี้จะไปกระทบสิ่งใดๆบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้
ช่วงทำพิธีที่สุสานแห่งนี้ อากาศเป็นใจมากฝนที่โปรยปรายมาแต่เช้าก็หยุดตก อาการครื้มฟ้าครี้มฝนแต่ไม่มีเม็ดฝนตกลงมาสักเม็ด ผมก็เตรียมร่มไว้ตั้งแต่ออกจากบ้าน คิดว่าฝนคงจะตกหนักอย่างแน่นอน เพราะตลอดทางฝนตกตลอดทาง และในวันนี้สุขภาพร่างกายผมก็ปรกติดีทุกอย่าง
หลังจากเสร็จพิธี ณ.หลุมศพที่สุสาน ลูกหลานยกธูปรูปอาม่าเดินขึ้นรถ แจกจ่ายผลไม้กันพอขึ้นรถปุ๊บ ฝนเริ่มลงเม็ดและตกหนักเป็นพายุเลย ผมก็ขับรถกลับบ้านเปิดที่ปัดน้ำในเบอร์สามเต็มที่ตลอดทางจนถึงบ้าน กทม.
ช่วงนี้ผมก็รู้สึกว่าจะเป็นไข้ ร้อนๆหนาวๆ ผมคิดว่าคงจะเกิดจากอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน
มาถึงบ้านก็มืดค่ำพอดี ค่ำคืนนั้นผมก็นอนได้ปรกติดี แต่พอตื่นเช้ามาก่อนลุกจากเตียง ผมรู้สึกเจ็บข้อเท้าซ้าย แต่เจ็บไม่มากคิดว่าคงเป็นกล้ามเนื้อกดทับเท่านั้น พอมาถึงเที่ยงเริ่มจะมีอาการบวมที่ข้อเท้า เอามือแตะสัมผัสแล้วเจ็บมาก เจ็บแบบทนไม่ได้เลยไม่เคยเจ็บอะไรแบบนี้มาก่อน นึกๆดูว่าเราเอาเท้าไปกระแทกอะไรมาหรือเปล่า ก็ไม่มีอุบัติเหตุกับข้อเท่าผมสักอย่าง ขับรถเท้าซ้ายก็ไม่ได้ใช้งานใช้แต่เท้าขวาเท้าเดียว ผมเรื่มนึกในใจแล้วว่าคงจะโดนลมเพลมพัด ที่สุสานมาแน่ๆ
เมื่อคิดว่าคงจะโดนลมเพลมพัด ผมก็มโนเดาเอาล้วนๆ ว่ามาจากสาเหตุนี้ ผมก็ตั้งจิตอธิฐานไปว่าผมขอโทษถ้าไปลบหลู่เหยียบย่ำโดยไม่รู้ก็ขออโหสิกรรมกัน แล้วผมจะไปทำบุญให้ ขอให้เท้าผมหายเจ็บโดยเร็วพลัน แล้วผมจะเชื่อว่าเรื่องนี้มีจริง (ใจจริงก็อยากจะพิสูจน์อยู่ด้วย) แต่ในช่วงเวลานี้ผมก็ไปหาหมอและได้ทำการ X-ray ดู หมอบอกว่าเอ็นข้อเท้าอักเสบรุนแรงน่าจะเกิดจากการกระแทกอย่างแรง ก็จัดการใส่เฝือกข้อเท้า ช่วงที่หมอตรวจจับดูนี่เจ็บมากๆเลยขอบอกและให้ยาแก้ปวดมากิน ต้องรอกินอาหารก่อน แล้วค่อยกินยา ผมต้องทนขับรถมาหาหมอและขับรถกลับบ้านแบบทุลักทุเลมาก
กลับจากโรงพยาบาลมาถึงบ้านก็นอนพักเท้าไว้ ยาแก้ปวดก็ยังไม่แกะจากถุง นอนไปนอนมาก็หลับไปพักใหญ่ พอตื่นมาลองขยับขาดูแปลกมาก อาการเจ็บแบบที่สัมผัสถูกยังไม่ได้ ตอนนี้รู้สึกว่าการเจ็บที่เจ็บสุดๆได้หายเจ็บอย่างปลิดทิ้งเลย ยาแก้ปวดก็ยังไม่ได้กิน ผมก็ถอดเฝือกทิ้งถังขยะไปเลย ได้ใส่เฝือกข้อเท้ามาสามชั่วโมง และลองเดินก็เดินได้ปรกติดี
เรื่องนี้ก็เอามาเล่าให้ฟังกัน อย่างที่โบราณว่าฟังหูไว้หู แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมจริงๆคนที่อยู่ใกล้ๆผมก็แปลกใจมาก เพื่อนๆบอกเมื่อวานยังส่งไลน์มาให้ดูว่าอยู่โรงพยาบาลเดินไม่ได้น่าจะอาการหนัก วันนี้เดินตัวปลิวเลย........
อาถรรพ์ ณ.สุสานแห่งหนึ่งที่ผมเจอมา
เมื่อมาถึงสุสานที่จะต้องฝังร่างอาม่าไว้ ณ.ที่แห่งนี้ไว้ชั่วนิรันด์ เท่าที่เห็นมีผู้ที่เดินทางมาร่วมไว้อาลัยกับอาม่าผู้วายชนม์เป็นจำนวนมาก อาม่าท่านนี้ตอนที่มีชีวิตอยู่เป็นผู้ที่มีเมตตาต่อบุคคลอื่นๆเสมอมา จึงมีผู้มาร่วมงานในวันนี้มาก รวมทั้งในช่วงที่มีพิธีสวดศพเจ็ดวันก่อนจะทำพิธีฝัง ก็มีคนมาร่วมงานอย่างมากมายตลอดทุกค่ำคืน
ผมมาถึงที่สุสาน เหล่าลูกหลานอาม่าก็เริ่มทำพิธีกันที่หน้าหลุมศพกันแล้ว รวมทั้งผู้ที่นับถืออาม่าที่มาส่งผู้วายชนม์เป็นครั้งสุดท้ายก็เนืองแน่นเต็มพื้นที่ตามรอบๆบริเวณแห่งนี้ ฝนที่โปรยปรายมาแต่เช้าก็หยุดตก เหมือนว่าขอเทวดาฟ้าดินไว้ให้งานพิธีได้ดำเนินไปได้ ผมก็รีบเดินเข้ามาใกล้ๆหลุมศพนี้ เพื่อจะเข้ามาคารวะส่งดวงวิญญาณของอาม่าไปสู่สวงสวรรค์ ตามความนึกคิดด้วยความละลึกถึงอาม่าผู้ที่เคยมีเมตตาต่อผมในช่วงที่ท่านมีชีวิตอยู่ และลูกหลานของอาม่าก็จุดธูปให้ผู้ที่มาร่วมงานที่สุสานแห่งนี้คนละหนึ่งดอก เพื่อบอกกล่าวขอขมาแกผู้ที่ล่วงลับไปแล้วในบริเวณนี้ เพราะมาเดินเหยียบย่ำไปมาบนหลุมศพของผู้ที่ล่วงลับในบริเวณนี้โดยไม่เจตนาก็ขออโหสิกรรมกันไป แต่ธูปมาไม่ถึงผมเพราะธูปหมดเสียก่อนที่จะมาถึงผม ผมก็ไม่กระไรถือว่าหมดก็หมดไปคงไม่เป็นไรมั้ง แต่ผมก็สังหรณ์ใจอยู่เหมือนกันว่าผมเดินไปเดินมาข้างหลุมศพบริเวณนี้จะไปกระทบสิ่งใดๆบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้
ช่วงทำพิธีที่สุสานแห่งนี้ อากาศเป็นใจมากฝนที่โปรยปรายมาแต่เช้าก็หยุดตก อาการครื้มฟ้าครี้มฝนแต่ไม่มีเม็ดฝนตกลงมาสักเม็ด ผมก็เตรียมร่มไว้ตั้งแต่ออกจากบ้าน คิดว่าฝนคงจะตกหนักอย่างแน่นอน เพราะตลอดทางฝนตกตลอดทาง และในวันนี้สุขภาพร่างกายผมก็ปรกติดีทุกอย่าง
หลังจากเสร็จพิธี ณ.หลุมศพที่สุสาน ลูกหลานยกธูปรูปอาม่าเดินขึ้นรถ แจกจ่ายผลไม้กันพอขึ้นรถปุ๊บ ฝนเริ่มลงเม็ดและตกหนักเป็นพายุเลย ผมก็ขับรถกลับบ้านเปิดที่ปัดน้ำในเบอร์สามเต็มที่ตลอดทางจนถึงบ้าน กทม.
ช่วงนี้ผมก็รู้สึกว่าจะเป็นไข้ ร้อนๆหนาวๆ ผมคิดว่าคงจะเกิดจากอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน
มาถึงบ้านก็มืดค่ำพอดี ค่ำคืนนั้นผมก็นอนได้ปรกติดี แต่พอตื่นเช้ามาก่อนลุกจากเตียง ผมรู้สึกเจ็บข้อเท้าซ้าย แต่เจ็บไม่มากคิดว่าคงเป็นกล้ามเนื้อกดทับเท่านั้น พอมาถึงเที่ยงเริ่มจะมีอาการบวมที่ข้อเท้า เอามือแตะสัมผัสแล้วเจ็บมาก เจ็บแบบทนไม่ได้เลยไม่เคยเจ็บอะไรแบบนี้มาก่อน นึกๆดูว่าเราเอาเท้าไปกระแทกอะไรมาหรือเปล่า ก็ไม่มีอุบัติเหตุกับข้อเท่าผมสักอย่าง ขับรถเท้าซ้ายก็ไม่ได้ใช้งานใช้แต่เท้าขวาเท้าเดียว ผมเรื่มนึกในใจแล้วว่าคงจะโดนลมเพลมพัด ที่สุสานมาแน่ๆ
เมื่อคิดว่าคงจะโดนลมเพลมพัด ผมก็มโนเดาเอาล้วนๆ ว่ามาจากสาเหตุนี้ ผมก็ตั้งจิตอธิฐานไปว่าผมขอโทษถ้าไปลบหลู่เหยียบย่ำโดยไม่รู้ก็ขออโหสิกรรมกัน แล้วผมจะไปทำบุญให้ ขอให้เท้าผมหายเจ็บโดยเร็วพลัน แล้วผมจะเชื่อว่าเรื่องนี้มีจริง (ใจจริงก็อยากจะพิสูจน์อยู่ด้วย) แต่ในช่วงเวลานี้ผมก็ไปหาหมอและได้ทำการ X-ray ดู หมอบอกว่าเอ็นข้อเท้าอักเสบรุนแรงน่าจะเกิดจากการกระแทกอย่างแรง ก็จัดการใส่เฝือกข้อเท้า ช่วงที่หมอตรวจจับดูนี่เจ็บมากๆเลยขอบอกและให้ยาแก้ปวดมากิน ต้องรอกินอาหารก่อน แล้วค่อยกินยา ผมต้องทนขับรถมาหาหมอและขับรถกลับบ้านแบบทุลักทุเลมาก
กลับจากโรงพยาบาลมาถึงบ้านก็นอนพักเท้าไว้ ยาแก้ปวดก็ยังไม่แกะจากถุง นอนไปนอนมาก็หลับไปพักใหญ่ พอตื่นมาลองขยับขาดูแปลกมาก อาการเจ็บแบบที่สัมผัสถูกยังไม่ได้ ตอนนี้รู้สึกว่าการเจ็บที่เจ็บสุดๆได้หายเจ็บอย่างปลิดทิ้งเลย ยาแก้ปวดก็ยังไม่ได้กิน ผมก็ถอดเฝือกทิ้งถังขยะไปเลย ได้ใส่เฝือกข้อเท้ามาสามชั่วโมง และลองเดินก็เดินได้ปรกติดี
เรื่องนี้ก็เอามาเล่าให้ฟังกัน อย่างที่โบราณว่าฟังหูไว้หู แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมจริงๆคนที่อยู่ใกล้ๆผมก็แปลกใจมาก เพื่อนๆบอกเมื่อวานยังส่งไลน์มาให้ดูว่าอยู่โรงพยาบาลเดินไม่ได้น่าจะอาการหนัก วันนี้เดินตัวปลิวเลย........