🛫รีวิว ขึ้นเครื่องบินกับลูก 2 คน แบบไร้ผู้ช่วย🛬
ปล. แพรอยากบอกว่า ลูกเก่งกว่าที่เราคิด ไปเที่ยวด้วยจิตใจที่พร้อมจะสนุก แล้วเราจะสนุกไปกับลูก ถึงแม้แขนแม่แทบหลุดก็ตาม 😆
รีวิวนี้จะยาวมากกกกกกกหน่อยนะคะ
ไม่พูดพร่ำทำเพลง มาเริ่มกันเลย
แพรรีวิวและแชร์ประสบการณ์ขึ้นเครื่องบินกับลูกชายวัย 1.8 ขวบ แค่ 2 คนแบบไร้ผู้ช่วยให้ฟังค่า ว่าผ่านไปได้ด้วยดีไหม
🟡เตรียมตัวอย่างไรบ้าง
1. #การเลือกเวลาบิน🕙 : แพรเลือกเที่ยวบินที่ใกล้เคียงกับเวลานอนของลูกก่อนเลยค่ะ แต่พอถึงหน้างานลูกจะนอนหรือไม่นอนก็มาลู้นกันอีกทีนะคะ (โชคดีมากที่ลูกขึ้นเครื่องปุ๊บหลับปั๊บเลย)
2. #การเผื่อเวลาไปถึงสนามบิน ⏳: แพรเผื่อเวลา 2 ชม.ค่ะ เพราะว่าเราไปกับลูกแค่สองคน เราไม่รู้ว่าลูกจะงอแงตอนไหน อึตอนไหน ก็เผื่อๆไว้ก่อนค่ะ
3. #ขนมหรืออาหาร 🍓🍪: แพรเตรียมไปนิดหน่อยค่ะ เผื่อลูกกินก่อนขึ้นเครื่องบิน แต่บนเครื่องบิน สายการบินไม่อนุญาติให้กินอาหารนะคะและไม่มีอาหารจำหน่ายบนเครื่องด้วยค่ะ (covid-19)
4. #รถเข็นเด็ก👶 : จำเป็นมากค่ะ เพราะตอนเดินเข้า gate คือไกลมาก ถ้าเค้าไม่ยอมนั่งรถเข็น อย่างน้อยก็เอาไว้ใส่ของก็ยังดีค่ะ
5. #เอกสารที่ต้องใช้ : ลูกใช้ passport หรือสูติบัตรก็ได้ค่ะ สำหรับแพร แพรสะดวก passport มากกว่าค่ะ เพราะพกง่ายกว่าสูติบัตร ไม่ต้องกลัวยับด้วยค่ะ
6. #ของใช้ที่ขาดไม่ได้ห้ามลืม 👜: หน้ากากอนามัย, แอลกอฮอล์เจล, ทิชชู่เปียก, แพมเพิส, ชุดสำหรับเปลี่ยน 1 ชุด
7. #ของโหลดใต้เครื่อง 🧳: ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าโหลดเลยค่ะ ส่ง kerry ไปปลายทางแทน กรณีเดินทางในประเทศนะคะ แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็โหลดได้ค่ะ แต่น่าจะเหนื่อยหน่อย ถ้าคุณลูกไม่ยอมนั่งรถเข็น
🟡แชร์ประสบการณ์ค่า
🚗เริ่มจากสามีมาส่งที่สนามบินดอนเมืองประมาณ 7.45 น. โดยที่ไม่ได้โหลดกระเป๋า แต่มีสัมภาระที่แพรถือเอง เป็นกระเป๋าใส่สัมภาระของลูกชาย (อยู่ในข้อ 6 และ ข้อ 3) และรถเข็นเด็ก เดินมาจากลานจอดรถใต้ดิน ต้องเดินขึ้นมาอาคาร 2 และอ้อมไปเข้าประตู 15 ประตูเดียวเท่านั้นที่เปิด เพื่อวัดอุณหภูมิ และขึ้นลิฟท์ไปชั้น 3 เพื่อเช็คอินค่ะ
📇แพรเดินทางกับสายการบินแอร์เอเชียค่ะ เคาน์เตอร์ก็จะไกลจากประตู 15 เยอะเลย ก็เดินวนไปค่ะ วันนี้โชคดีมาก ลูกยังคงยอมนั่งรถเข็นอยู่ค่ะ ตอนเช็คอินก็เตรียมบัตรประชาชนผู้ปกครองกับ passport ของลูกเพื่อออก boarding pass ค่ะ แพรได้นั่งที่ 2a ข้างหน้าเลย อาจจะเพราะไปเช็คอินไว
เช็คอินเสร็จแล้วก็เดินเข้า gate ต่อ ตอนนี้ต้องลุยกับลูกสองคนแล้วจริงๆ ตื่นเต้นสุดๆ
พอตรวจ boarding pass เสร็จแล้ว ก็ต้องเอาของเข้าเครื่องสแกน ตอนนี้ทุลักทุเลพอควรค่ะ เพราะต้องเอาลูกลงจากรถเข็น แล้วพับรถเข็น ยกขึ้นผ่านเครื่องสแกน แต่ว่าโชคดีอีกแล้ว แพรบอกลูกให้ยืนรอนิ่งๆ ห้ามห่างหม่าม้า ลูกก็เชื่อฟังค่ะ เลยผ่านจุดนี้มาแบบสบายๆ
เย้ๆ เข้ามาข้างในเรียบร้อย ใช้เวลาประมาณ 20 ตั้งแต่จอดรถ ทีนี้เวลาเหลือเยอะเลย ก็เลยหาข้าวกินกับลูกชิลๆ กินเสร็จยังเหลือเวลาวิ่งเล่นอีกเยอะเลยค่ะ
😭แต่ๆๆๆๆ ก่อนเวลาเรียกขึ้นเครื่อง 10 นาที ลูกชายอึจ้าาา โอ้โห อีแม่เหงื่อแตกเลยจร้า รีบวิ่งปรู๊ดพากันไปเปลี่ยนแพมเพิส ต้องใช้ทิชชู่เปียกเช็ดเอา เพราะสายฉีดชำระไม่มี (ไม่แนะนำให้ล้างก้นลูกในอ่างล้างมือสาธารณะนะคะ เพราะลูกเราไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคนเนอะ) แถมยังต้องรีบสุดๆ แต่ก็ผ่านมาได้เรียบร้อยดีค่ะ
ถ้านั่งแถวหน้าๆ สายการบินจะเรียกขึ้นเครื่องทีหลังนะคะ แพรเลยรอขึ้นคนสุดท้ายเลยค่ะ เพราะกลัวว่าถ้าขึ้นไว แล้วเครื่องออกช้า ต้องรอนานลูกจะงอแง
รถเข็นลูกเราสามารถใช้ได้จนถึงประตูเครื่องบินเลยนะคะ แล้วพับวางไว้ เจ้าหน้าที่จะโหลดลงใต้ท้องเครื่องให้ค่ะ ตอนรับก็รอรับที่สายพาน เหมือนโหลดกระเป๋าเลยค่ะ
ขึ้นมานั่งบนเครื่องแล้ว เจ้าหน้าที่ก็เอาชุดชูชีพและเข็มขัดนิรภัยทารกมาให้ พร้อมแนะนำเรื่องความปลอดภัยค่ะ
😴แล้วก็กินนมหลับเลย จนถึงปลายทางค่ะ เย้ๆๆ ไม่มีดราม่าบนเครื่อง (การเลือกเวลาบินสำคัญจริงๆน้าาา)
ถึงปลายทางแล้ว ลำบากหน่อย เพราะไม่มีรถเข็นแล้ว ต้องเดินไปที่สายพานเพื่อรับรถเข็นเอง แต่แม่ก็สู้ 55 กล้ามแข็นบวมเลยจร้าาา
ก่อนออกจากสนามบิน ก็ต้องมีการบันทึกประวัติเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับโควิด19 ด้วยนะคะ
จบการแชร์ประสบการณ์เพียงเท่านี้ค่าาา
ฝากเพจไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ ส่วนใหญ่จะแชร์เมนูอาหาร รีวิว แบ่งปันประสบการทั่วไป เกี่ยวกับแม่และเด็กค่ะ
https://www.facebook.com/phuphapapleon/
#ทารกขึ้นเครื่องบิน #เดินทางกับลูก #เดินทางช่วงโควิด
แชร์ประสบการณ์ขึ้นเครื่องบินกันสองคนแม่ลูก แบบไม่มีผู้ช่วย
ปล. แพรอยากบอกว่า ลูกเก่งกว่าที่เราคิด ไปเที่ยวด้วยจิตใจที่พร้อมจะสนุก แล้วเราจะสนุกไปกับลูก ถึงแม้แขนแม่แทบหลุดก็ตาม 😆
รีวิวนี้จะยาวมากกกกกกกหน่อยนะคะ
ไม่พูดพร่ำทำเพลง มาเริ่มกันเลย
แพรรีวิวและแชร์ประสบการณ์ขึ้นเครื่องบินกับลูกชายวัย 1.8 ขวบ แค่ 2 คนแบบไร้ผู้ช่วยให้ฟังค่า ว่าผ่านไปได้ด้วยดีไหม
🟡เตรียมตัวอย่างไรบ้าง
1. #การเลือกเวลาบิน🕙 : แพรเลือกเที่ยวบินที่ใกล้เคียงกับเวลานอนของลูกก่อนเลยค่ะ แต่พอถึงหน้างานลูกจะนอนหรือไม่นอนก็มาลู้นกันอีกทีนะคะ (โชคดีมากที่ลูกขึ้นเครื่องปุ๊บหลับปั๊บเลย)
2. #การเผื่อเวลาไปถึงสนามบิน ⏳: แพรเผื่อเวลา 2 ชม.ค่ะ เพราะว่าเราไปกับลูกแค่สองคน เราไม่รู้ว่าลูกจะงอแงตอนไหน อึตอนไหน ก็เผื่อๆไว้ก่อนค่ะ
3. #ขนมหรืออาหาร 🍓🍪: แพรเตรียมไปนิดหน่อยค่ะ เผื่อลูกกินก่อนขึ้นเครื่องบิน แต่บนเครื่องบิน สายการบินไม่อนุญาติให้กินอาหารนะคะและไม่มีอาหารจำหน่ายบนเครื่องด้วยค่ะ (covid-19)
4. #รถเข็นเด็ก👶 : จำเป็นมากค่ะ เพราะตอนเดินเข้า gate คือไกลมาก ถ้าเค้าไม่ยอมนั่งรถเข็น อย่างน้อยก็เอาไว้ใส่ของก็ยังดีค่ะ
5. #เอกสารที่ต้องใช้ : ลูกใช้ passport หรือสูติบัตรก็ได้ค่ะ สำหรับแพร แพรสะดวก passport มากกว่าค่ะ เพราะพกง่ายกว่าสูติบัตร ไม่ต้องกลัวยับด้วยค่ะ
6. #ของใช้ที่ขาดไม่ได้ห้ามลืม 👜: หน้ากากอนามัย, แอลกอฮอล์เจล, ทิชชู่เปียก, แพมเพิส, ชุดสำหรับเปลี่ยน 1 ชุด
7. #ของโหลดใต้เครื่อง 🧳: ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าโหลดเลยค่ะ ส่ง kerry ไปปลายทางแทน กรณีเดินทางในประเทศนะคะ แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็โหลดได้ค่ะ แต่น่าจะเหนื่อยหน่อย ถ้าคุณลูกไม่ยอมนั่งรถเข็น
🟡แชร์ประสบการณ์ค่า
🚗เริ่มจากสามีมาส่งที่สนามบินดอนเมืองประมาณ 7.45 น. โดยที่ไม่ได้โหลดกระเป๋า แต่มีสัมภาระที่แพรถือเอง เป็นกระเป๋าใส่สัมภาระของลูกชาย (อยู่ในข้อ 6 และ ข้อ 3) และรถเข็นเด็ก เดินมาจากลานจอดรถใต้ดิน ต้องเดินขึ้นมาอาคาร 2 และอ้อมไปเข้าประตู 15 ประตูเดียวเท่านั้นที่เปิด เพื่อวัดอุณหภูมิ และขึ้นลิฟท์ไปชั้น 3 เพื่อเช็คอินค่ะ
📇แพรเดินทางกับสายการบินแอร์เอเชียค่ะ เคาน์เตอร์ก็จะไกลจากประตู 15 เยอะเลย ก็เดินวนไปค่ะ วันนี้โชคดีมาก ลูกยังคงยอมนั่งรถเข็นอยู่ค่ะ ตอนเช็คอินก็เตรียมบัตรประชาชนผู้ปกครองกับ passport ของลูกเพื่อออก boarding pass ค่ะ แพรได้นั่งที่ 2a ข้างหน้าเลย อาจจะเพราะไปเช็คอินไว
เช็คอินเสร็จแล้วก็เดินเข้า gate ต่อ ตอนนี้ต้องลุยกับลูกสองคนแล้วจริงๆ ตื่นเต้นสุดๆ
พอตรวจ boarding pass เสร็จแล้ว ก็ต้องเอาของเข้าเครื่องสแกน ตอนนี้ทุลักทุเลพอควรค่ะ เพราะต้องเอาลูกลงจากรถเข็น แล้วพับรถเข็น ยกขึ้นผ่านเครื่องสแกน แต่ว่าโชคดีอีกแล้ว แพรบอกลูกให้ยืนรอนิ่งๆ ห้ามห่างหม่าม้า ลูกก็เชื่อฟังค่ะ เลยผ่านจุดนี้มาแบบสบายๆ
เย้ๆ เข้ามาข้างในเรียบร้อย ใช้เวลาประมาณ 20 ตั้งแต่จอดรถ ทีนี้เวลาเหลือเยอะเลย ก็เลยหาข้าวกินกับลูกชิลๆ กินเสร็จยังเหลือเวลาวิ่งเล่นอีกเยอะเลยค่ะ
😭แต่ๆๆๆๆ ก่อนเวลาเรียกขึ้นเครื่อง 10 นาที ลูกชายอึจ้าาา โอ้โห อีแม่เหงื่อแตกเลยจร้า รีบวิ่งปรู๊ดพากันไปเปลี่ยนแพมเพิส ต้องใช้ทิชชู่เปียกเช็ดเอา เพราะสายฉีดชำระไม่มี (ไม่แนะนำให้ล้างก้นลูกในอ่างล้างมือสาธารณะนะคะ เพราะลูกเราไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคนเนอะ) แถมยังต้องรีบสุดๆ แต่ก็ผ่านมาได้เรียบร้อยดีค่ะ
ถ้านั่งแถวหน้าๆ สายการบินจะเรียกขึ้นเครื่องทีหลังนะคะ แพรเลยรอขึ้นคนสุดท้ายเลยค่ะ เพราะกลัวว่าถ้าขึ้นไว แล้วเครื่องออกช้า ต้องรอนานลูกจะงอแง
รถเข็นลูกเราสามารถใช้ได้จนถึงประตูเครื่องบินเลยนะคะ แล้วพับวางไว้ เจ้าหน้าที่จะโหลดลงใต้ท้องเครื่องให้ค่ะ ตอนรับก็รอรับที่สายพาน เหมือนโหลดกระเป๋าเลยค่ะ
ขึ้นมานั่งบนเครื่องแล้ว เจ้าหน้าที่ก็เอาชุดชูชีพและเข็มขัดนิรภัยทารกมาให้ พร้อมแนะนำเรื่องความปลอดภัยค่ะ
😴แล้วก็กินนมหลับเลย จนถึงปลายทางค่ะ เย้ๆๆ ไม่มีดราม่าบนเครื่อง (การเลือกเวลาบินสำคัญจริงๆน้าาา)
ถึงปลายทางแล้ว ลำบากหน่อย เพราะไม่มีรถเข็นแล้ว ต้องเดินไปที่สายพานเพื่อรับรถเข็นเอง แต่แม่ก็สู้ 55 กล้ามแข็นบวมเลยจร้าาา
ก่อนออกจากสนามบิน ก็ต้องมีการบันทึกประวัติเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับโควิด19 ด้วยนะคะ
จบการแชร์ประสบการณ์เพียงเท่านี้ค่าาา
ฝากเพจไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ ส่วนใหญ่จะแชร์เมนูอาหาร รีวิว แบ่งปันประสบการทั่วไป เกี่ยวกับแม่และเด็กค่ะ
https://www.facebook.com/phuphapapleon/
#ทารกขึ้นเครื่องบิน #เดินทางกับลูก #เดินทางช่วงโควิด