เราทำธุรกิจกับครอบครัวมาตั้งแต่เรียนจบปี 2557 ทำมาแล้ว 6 ปี แล้วรู้สึกไม่เห็นอนาคตของธุรกิจที่ทำ ด้วยความที่ครอบครัวมีเรามีกัน 4 คน แม่ และพี่อีก 2 คน ทุกคนมีสไตล์การทำงานเป็นของตัวเองมาก พี่คนที่หนึ่งรักการช้อปปิ้ง ช้อปเรื่องหลัก งานเรื่องรอง ส่วนพี่คนที่สองรักครอบครัวมาก อยู่กับลูกทั้งวันงานไม่ค่อยทำ ทำบ้างถ้าแม่ตาม ได้เงินเดือนพร้อมค่านํ้ามัน, ค่าเล่าเรียนลูก, ค่าเลี้ยงดูลูก และอื่นๆอีกมากมาย ส่วนเราตั้งแต่ทำงานมานั้นเริ่มต้นจากการเป็น คนขับรถส่งของ, การเงินและบัญชี, ประสานงานผลิต, ติดต่อลูกค้า, ติดต่อซัพพลายเออร์, ซ่อมบำรุงเครื่อง, และอื่นๆ งานที่กล่าวมาข้างต้นไม่ได้เป็นงานที่สลับกันทำแต่เป็นงานตำแหน่งอื่นๆที่เพิ่มเข้ามาด้วยเพราะ พนักงานและช่างต่างทะยอยลาออก
ทั้งบริษัทมีพนักงานอีก 2 คน รวมเป็น 6 คน (จากตั้งแต่เริ่มธุรกิจมีพนักงานเกือบ 20 คน)
แม่คือบุคคลที่เป็นหัวเรือใหญ่มุ่งเน้นถึงการลดรายจ่าย เพราะแม่มั่นใจว่าลูกค้าในมือเจ้าหลัก 1 เจ้านั้นจะไม่หนีไปไหน
เข้าใจว่าแม่ผ่านประสบการณ์การทำธุรกิจมาเยอะมาก และมั่นใจมากว่าการทำธุรกิจของแม่นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด และไม่ยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ทำให้การตัดสินใจอยู่ที่หัวเรือใหญ่เพียงคนเดียว บริษัทเราซื้อเครื่องจักรมาตั้งไว้เฉยๆเพราะช่วงแรกลูกค้าให้คำมั่นสัญญาว่าจะป้อนงานมาให้เรา แต่ความเป็นจริงแล้ว ลูกค้าย่อมเลือกเจ้าที่ถูกที่สุด
เราพยายามแนะนำไปหลายอย่างแต่แม่ตอบได้เพียงแค่ "แม่ฟังทุกอย่าง" แต่น้อยครั้งแม่จะทำ เรารู้สึกว่าธุรกิจถูกกำหนดโดยแม่เท่านั้น และเราคิดว่าธุรกิจจะต้องตายไปกับแม่ หรือหากส่งไม้ต่อมาที่พวกเราสามคน ถ้าพี่ๆไม่ทำ เราจะต้องเป็นคนที่ทำคนเดียวเพื่อเลี้ยงดูทั้งหมด
ทุกวันนี้แม่บอกเพียงว่า แม่วางแผนให้ลูกทุกคนแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าอนาคตจะอด แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมาแม่พึ่งมีปัญหาและทยอยขายทรัพย์สิน ทุกคำที่แม่พูดมันขัดแย้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนทำให้ผมต้องดิ้นรน
ทุกวันนี้คิดอยากจะทำหลายอย่างแต่ก็กลัวไปไม่รอด เพราะต้องทำที่บ้านด้วย ตอนนี้ได้มีเพื่อนชักชวนให้ทำธุรกิจอีกอย่าง แต่เราก็ไม่ค่อยกล้าจะทำเพราะมีเวลาว่างแค่วันเสาร์วันเดียวที่ได้ไปทำ เราเพีนงแค่รู้สึกว่าเราเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ทำได้แค่วันเดียวเพราะเรายังต้องทำงานที่บ้านด้วย
เราควรเดินออกจากงานที่บ้านแล้วปล่อยให้เขาจัดการกันเองแล้วเราไปทำกันเพื่อนเรา ซึ่งเราน่าจะมีความสุขและเลี้ยงตัวเองได้ หรือทนทำกับที่บ้านไป ซึ่งอนาคตแล้วธุรกิจนี้ก็จะถูกแบ่งไปยังคนอื่น (ถ้าธุรกิจนี้ยังอยู่รอด)
ธุรกิจครอบครัวหรือความก้าวหน้า
ทั้งบริษัทมีพนักงานอีก 2 คน รวมเป็น 6 คน (จากตั้งแต่เริ่มธุรกิจมีพนักงานเกือบ 20 คน)
แม่คือบุคคลที่เป็นหัวเรือใหญ่มุ่งเน้นถึงการลดรายจ่าย เพราะแม่มั่นใจว่าลูกค้าในมือเจ้าหลัก 1 เจ้านั้นจะไม่หนีไปไหน
เข้าใจว่าแม่ผ่านประสบการณ์การทำธุรกิจมาเยอะมาก และมั่นใจมากว่าการทำธุรกิจของแม่นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด และไม่ยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ทำให้การตัดสินใจอยู่ที่หัวเรือใหญ่เพียงคนเดียว บริษัทเราซื้อเครื่องจักรมาตั้งไว้เฉยๆเพราะช่วงแรกลูกค้าให้คำมั่นสัญญาว่าจะป้อนงานมาให้เรา แต่ความเป็นจริงแล้ว ลูกค้าย่อมเลือกเจ้าที่ถูกที่สุด
เราพยายามแนะนำไปหลายอย่างแต่แม่ตอบได้เพียงแค่ "แม่ฟังทุกอย่าง" แต่น้อยครั้งแม่จะทำ เรารู้สึกว่าธุรกิจถูกกำหนดโดยแม่เท่านั้น และเราคิดว่าธุรกิจจะต้องตายไปกับแม่ หรือหากส่งไม้ต่อมาที่พวกเราสามคน ถ้าพี่ๆไม่ทำ เราจะต้องเป็นคนที่ทำคนเดียวเพื่อเลี้ยงดูทั้งหมด
ทุกวันนี้แม่บอกเพียงว่า แม่วางแผนให้ลูกทุกคนแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าอนาคตจะอด แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมาแม่พึ่งมีปัญหาและทยอยขายทรัพย์สิน ทุกคำที่แม่พูดมันขัดแย้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนทำให้ผมต้องดิ้นรน
ทุกวันนี้คิดอยากจะทำหลายอย่างแต่ก็กลัวไปไม่รอด เพราะต้องทำที่บ้านด้วย ตอนนี้ได้มีเพื่อนชักชวนให้ทำธุรกิจอีกอย่าง แต่เราก็ไม่ค่อยกล้าจะทำเพราะมีเวลาว่างแค่วันเสาร์วันเดียวที่ได้ไปทำ เราเพีนงแค่รู้สึกว่าเราเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ทำได้แค่วันเดียวเพราะเรายังต้องทำงานที่บ้านด้วย
เราควรเดินออกจากงานที่บ้านแล้วปล่อยให้เขาจัดการกันเองแล้วเราไปทำกันเพื่อนเรา ซึ่งเราน่าจะมีความสุขและเลี้ยงตัวเองได้ หรือทนทำกับที่บ้านไป ซึ่งอนาคตแล้วธุรกิจนี้ก็จะถูกแบ่งไปยังคนอื่น (ถ้าธุรกิจนี้ยังอยู่รอด)