cr.ที่มาของบทความ :
GameFever TH
***บทความนี้จะสปอยเนื้อเรื่องของเกม The Last of Us Part II เยอะมาก รวมถึงตอนจบด้วย***
เกม The Last of Us Part II อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเกมยอดเยี่ยมที่มีคนเกลียดมากที่สุดเกมหนึ่งในช่วงหลายปีมานี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านเนื้อเรื่องของเกม ที่ทำลายความคาดหวังของผู้เล่นหลายๆ คนไปอย่างเลือดเย็น หรือประเด็นเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา หรือกระทั่งเพศสภาพของตัวละคร ที่หลายคนมองว่าเป็นการผลักใสประเด็นทางการเมืองของผู้พัฒนาใส่ผู้เล่น จนเกิดเป็นการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางมาตั้งแต่ที่ข้อมูลเนื้อเรื่องหลุดออกมาก่อนที่เกมจะวางจำหน่าย จนถึงปัจจุบันที่เกมวางจำหน่ายไปแล้วเกือบ 3 สัปดาห์ด้วยกัน
ในช่วงก่อนที่เกมจะวางจำหน่าย (แต่หลังจากที่ช้อมูลด้านเนื้อเรื่องหลุดออกมาแล้ว) ทางเว็บไซต์
Eurogamer ได้มีโอกาสในการสัมภาษณ์คุณ Neil Druckmann ผู้กำกับและผู้เขียนบทเกม The Last of Us Part II เกี่ยวกับสิ่งที่เกมต้องการจะสื่อผ่านเนื้อเรื่อง ไปจนถึงประเด็นร้อนแรงเกี่ยวกับตัวละครใหม่ๆ อย่างแอ๊บบี้และเลฟ ซึ่งน่าสนใจเป็นอย่างมาก เราจึงอยากจะแปลบทสัมภาษณ์ดังกล่าวมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันจ้า!
ในช่วงครึ่งหลังของเกม (่ที่คุณรับบทเป็นแอ๊บบี้) มันน่าเศร้ามากที่คุณได้พบกับผู้คนและสุนับที่คุณฆ่าตายไปก่อนหน้านี้ในฐานะเอลลี่ และมันทำให้ผมรู้สึกละอายใจขึ้นมาอย่างไรไม่รู้ ผมรู้สึกผิดต่อพวกเขา ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ผมไม่ค่อยพบในวิดีโอเกมเท่าไหร่ มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเลย
ND: คุณพูดถึงประเด็นเรื่องความละอายและความรู้สึกผิด ทั้งสองอย่างนี่มันช่างเป็นอะไรที่มีความเป็นเกมสูงเนอะว่าไหม เพราะเกมเท่านั้นที่ให้ผู้เล่นได้ลงมือกระทำอะไรซักอย่างด้วยการตัดสินใจของตัวเอง และทำให้พวกเขาได้เห็นผลของการกระทำนั้นๆ และสร้างความเห็นอกเห็นใจต่อตัวละครอื่นๆ เอาเข้าจริง แม้ในการโฆษณาเกม เรามักจะบอกว่าเกม Part II นี้มันเกี่ยวกับความแค้นและความเกลียดชัง ซึ่งมันไม่จริงเลย เกมนี้เป็นเกมเกี่ยวกับความเห็นอกเห็นใจ เกี่ยวกับการให้อภัยต่างหาก
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลมันออกแบบมาเพื่อให้เราสามารถสร้างความรู้สึกเกลียดชังสุดขีดในใจของผู้เล่นได้ เพื่อให้พวกเขาอดใจไม่ไหวที่จะได้เห็นกลุ่มคนเหล่านั้นต้องชดใช้ต่อการกระทำ และมันก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมออนไลน์ตอนนี้ คุณเห็นวิธีที่พวกเขาพูดถึงข้อมูลหลุด วิธีที่พวกเขาพูดจาและกระทำต่อแอ๊บบี้ราวกับเธอไม่ใช่มนุษย์ มันน่ากลัวมาก แต่มันก็คือธรรมชาติของมนุษย์ ที่เราทุกคนล้วนเคยกระทำ
เราเห็นเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราได้เห็นบทสัมภาษณ์ของคนที่สูญเสียคนรักหรือบุตรให้กับความรุนแรง พวกเขามักจะพูดทำนองว่า ‘ถ้าชั้นจับไอ้คนกระทำมาอยู่ตรงหน้าได้ ชั้นคงถลกหนังมันทั้งเป็น’ และผมเชื่อพวกเขานะ ผมเชื่อว่าในสถานการณ์ที่ถูกต้อง มนุษย์ธรรมดาอย่างเราล้วนกระทำอะไรแบบนั้นได้ทุกคน ซึ่งสิ่งที่เราอยากจะทดลองในเกมนี้ก็คือ เราจะสามารถนำพาผู้เล่นไปอยู่ในจุดนั้น ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง และทำให้พวกเขาต้องหยุดคิดและสำรวจจิตใจของตัวเองได้อย่างไร และบางทีมันอาจจะทำให้เมื่อมีอะไรซักอย่างเกิดขึ้นนอกเกม คุณอาจจะมีสติและความเห็นอกเห็นใจมากพอที่จะหยุดและตั้งคำถามกับตัวเองถึงมุมมองที่ต่างจากคุณ
ฉากการต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างเอลลี่และแอ๊บบี้มันช่างให้ความรู้สึกกระ
กระสนและว่างเปล่าเหลือเกิน เหมือนว่ามันไม่สามารถมีฝ่ายใดเป็นผู้ชนะได้เลย ผมรู้สึกโกรธเอลลี่มาก และผมก็พร้อมจะเกลียดแอ๊บบี้มาตั้งแต่ต้นเกม แต่ในจุดนั้นมุมมองของผมมันพลิกกลับด้านไปหมดเลย คุณพยายามจะสื่อว่าเอลลี่คือตัวร้ายอยู่ใช่ไหมในฉากนั้น
ND: สำหรับผม การจำกัดความตัวละครว่าเป็น “ตัวดี” หรือ “ตัวร้าย” มันเป็นการตัดสินตัวละครมากไปหน่อย สิ่งที่เราต้องการจะสื่อมากกว่าก็คือ นี่คือกลุ่มคนที่ไม่สมบูรณ์แบบ ที่เลือกทางเลือกที่ไม่ถูกต้อง และผลของทางเลือกเหล่านั้น ก่อนที่จะตั้งคำถามว่า มันคุ้มค่าสำหรับคุณแล้วใช่ไหม
การเดินทางของเอลลี่มันคือการออกตามหาอะไรก็ตามเพื่ออุดรูในใจที่การตายของโจเอลทิ้งเอาไว้ และความเชื่อของเธอที่ว่า ‘ชั้นอาจจะรู้สึกดีขึ้น ถ้าได้เห็นคนพวกนี้ต้องเจ็บปวดเหมือนกับโจเอล’ มันเลยทำให้การฆ่าทุกครั้งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งกรัดกร่อนความเป็นมนุษย์ของเธอลงเรื่อยๆ มันเป็นความพยายามที่สูญเปล่า ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่เราอ้างอิงจากการสัมภาษณ์บุคคลในโลกจริง บางคนเป็นลูกหลานหรือพ่อแม่ของเหยื่อการฆาตกรรม ที่ได้นั่งดูคนที่ฆ่าคนรักของพวกเขาถูกประหารชีวิตต่อหน้า พวกเขาทุกคนพูดเหมือนกันหมดว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่ต้องการไม่ใช่การแก้แค้น แต่เค้าต้องการให้คนที่เขารักกลับมาต่างหาก และการฆ่าคนที่พรากพวกเขาไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ในขณะเดียวกัน การเดินทางของแอ๊บบี้มันคือการพยายามลบล้างความรู้สึกผิดของตัวเอง เธอได้ทุ่มเวลา 5 ปีไปกับการตามล่าตัวโจเอล เธอเปลี่ยนร่างกายตัวเองให้กลายเป็นอาวุธ เพราะเธอจินตนาการไปเองว่าโจเอลเปรียบเสมือนปีศาจในใจเธอ ถ้าคุณสังเกติดีๆ ในฉากที่โจเอลโดนยิงขา เพื่อนๆ ของแอ๊บบี้ยังมีท่าทีเกรงๆ เขาอยู่ด้วยซ้ำ และการตายขอโจเอลก็เป็นอะไรที่น่าสมเพชมาก มันไม่ได้น่าพอใจหรือ “สมเกียรติ์” แต่อย่างใด มันแค่น่าเศร้าเท่านั้นเอง และเนื้อเรื่องของเธอมันก็คือการที่เธอพยายามจะหาทางไถ่บาปให้ตัวเอง ด้วยการช่วยเหลือเด็กสองคนจากกลุ่มที่เป็นศัตรูของเธอมาตลอด และภารกิจนั้นเองที่ทำให้เธอรู้สึกมีคุณค่าอีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี
กลับไปสู่ประเด็นที่คุณยกมา เกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งสุดท้ายนั่น ผมคงได้แต่หวัง แม้ว่าจะรู้ว่าผู้เล่นจะตีความตอนจบไปหลากหลายทางก็ตาม แต่เราหวังว่าคุณจะรู้สึกเห็นใจตัวละครทั้งเอลลี่และแอ๊บบี้ เอลลี่ในตอนจบของเกม อาจจะถือว่าอยู่ในจุดเดียวกับแอ๊บบี้ในตอนต้นของเกม ที่เข้าใจแล้วว่าการต่อสู้นี้มันช่างไร้ค่าและน่าสมเพชเหลือเกิน แอ๊บบี้ไม่ใช่คนเดียวกับแอ๊บบี้ที่ฆ่าโจเอลอีกต่อไป แต่เธอคือมนุษย์คนหนึ่งที่ผ่านประสบการณ์อันหฤโหดมาแล้ว และได้ปลดเปลื้องความรู้สึกผิดของตัวเองไปแล้ว และผู้เล่นก็เข้าใจว่าการต่อสู้ครั้งสุดท้ายนั้นมันช่างไม่มีความหมาย เพราะได้เห็นเรื่องราวของตัวละครทั้งสองคนมาแล้ว
ตัวละครเลฟเป็นตัวละครที่น่าสนใจมาก เพราะเขาดูเหมือนจะเป็น “ผู้บริสุทธิ์” คนเดียวในเหตุการณ์ทั้งหมด พวกคุณได้ปรึกษาหรือพูดคุยกับกลุ่มคนข้ามเพศหรือ LGBTQ ถึงวิธีการนำเสนอตัวละครตัวนี้บ้างหรือไม่
ND: ใช่ครับ เราได้ว่าจ้างที่ปรึกษาด้านศาสนามาเลยนะ เพราะเราตั้งใจว่าเราจะสร้างศาสนาหรือชุดความเชื่อหนึ่งขึ้นมาจริงๆ ฉะนั้นเราก็อยากจะพยายามหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งจิตใจของใคร คือทีมงานทุกคนเข้าใจตรงกันว่า การจะสร้างศิลปะที่ท้าทายผู้รับมากขนาดนี้ขึ้นมาซักชิ้นหนึ่ง มันย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนที่รู้สึกไม่ชอบ แต่ถ้าเราจะทำอะไรที่มันจะไปกระทบใจใคร อย่างน้อยก็ขอทำในวิธีที่มันไตร่ตรองมาแล้ว เพื่อไม่ให้ประเด็นเหล่านี้มากำหนดเนื้อเรื่อง แต่เพื่อให้เสริมเนื้อเรื่องแทน
เรามีสมาชิกในทีมพัฒนาหลายคนที่เป็นบุคคลข้ามเพศ และเราก็ได้ปรึกษากับพวกเขาตลอดการพัฒนา เราอ่านหนังสือและรับฟังบทสัมภาษณ์เกี่ยวกับประเด็นนี้มากมาย เราได้เชิญที่ปรึกษาเข้ามาเพื่อช่วยอธิบายประเด็นต่างๆ ให้เราเข้าใจ และเมื่อเราทำความเข้าใจประเด็นเหล่านั้นแล้ว เราก็ต้องพยายามลืมมันไป และสร้างตัวละครให้เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งในโลกนั้น
เราไม่ได้อยากจะสร้างความหลากหลายไปอย่างนั้นเอง เราไม่ได้ใส่ตัวละครข้ามเพศเข้าไปแค่เพื่อให้มีตัวละครข้ามเพศในเรื่อง แต่เรารู้สึกว่ามันมีประเด็นที่น่าสนใจที่สามารถพูดถึงใด้ในบริบทของศาสนา มันคือการนำเสนอตัวละครตัวหนึ่งที่ถูกล่าโดยกลุ่มคนที่เชื่อศาสนาเดียวกับเขา แถมตัวเองก็ยังเชื่อในศาสนานั้นซะเอง แค่ตีความเนื้อหาของความเชื่อนั้นไปในทิศทางที่ต่างกับคนอื่น และนั่นแหละคือประโยชน์ของความหลากหลาย คือมุมมองที่เพิ่มขึ้น ให้เราได้มองเนื้อเรื่องในมุมที่ใหม่กว่าเดิม
คุณคาดหวังให้ผู้เล่นได้อะไรจากตัวละครแอ๊บบี้มากที่สุด
ND: อย่างที่ผมอธิบายไปก่อนหน้านี้ สิ่งที่ผมต้องการคือให้ผู้เล่นรู้สึกเกลียดชังเธอแบบเข้าใส้ เกลียดจนอยากจะจับเธอมาทรมานอย่างโหดร้ายไปเลย
ในตอนที่ผมยังเป็นวัยรุ่น อายุประมาณเท่าเอลลี่ในเกมนี่แหละ ผมได้ดูข่าวเรื่องหนึ่ง ซึ่งแสดงภาพคนผิวดำที่ถูกจับแขวนคอจนตาย และมันส่งผลกระทบต่อจิตใจของผมมาก ทั้งความรุนแรงที่ได้เห็น และเสียงร้องแห่งความยินดีที่ออกมาจากผู้คนที่กระทำความรุนแรงนั้น มันทำให้ผมรู้สึกขยะแขยงมากๆ และในหัวของผมตอนนั้น ผมคิดจริงๆ ว่าผมอยากจะฆ่าไอ้คนพวกนั้นให้หมด ถ้าผมสามารถกดปุ่มปุ่มหนึ่ง ที่ทำให้คนพวกนี้ตายไปพร้อมๆ กัน ผมคงกดไปแล้ว ถ้ามีคนในกลุ่มนั้นถูกจับมัดติดกับเก้าอี้อยู่ตรงหน้า ผมเชื่อว่าผมคงจับพวกเขาทรมานจนตายไปแล้ว มันคือสิ่งที่ผมรู้สึกจริงๆ ในตอนนั้น
แต่เมื่อเวลาผ่านไป พอผมมองย้อนกลับไปที่ความคิดของตัวเองในขณะนั้น แน่นอนว่ามันเป็นความคิดที่เลวร้ายมาก ผมก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เติบโตมาในสังคมธรรมดาๆ ตลอดชีวิตของผมมีเรื่องทะเลาะกับคนอื่นถึงขั้นลงไม้ลงมือแค่ 2-3 ครั้งเท่านั้นสมัยที่อยู่โรงเรียน แต่ผมก็ยังสามารถมีความคิดที่ชั่วร้ายแบบนั้นได้ แค่จากการนั่งดูคนอื่นกระทำอะไรบางอย่าง แล้วลองคิดต่อไปว่า ถ้ามันเป็นคนที่ผมรักล่ะ ขนาดคนถูกกระทำเป็นคนแปลกหน้าผมยังรู้สึกได้ขนาดนั้น ผมไม่ได้รู้จักใครในสถานการณ์นั้นเป็นการส่วนตัวเลยซักนิด ทั้งคนที่กระทำและถูกกระทำ
มันเลยกลายเป็นข้อถกเถียงทางปรัชญาในหัวของผม ที่ผมเถียงกับตัวเองมาหลายปีแล้ว จนวันหนึ่งผมตัดสินใจว่าอยากจะสร้างความรู้สึกแบบเดียวกันนั้นในวิดีโอเกม และเราก็มีตัวละครอันเป็นที่รักมากๆ อยู่แล้ว ที่หลายคนดูจะรักเสมือนเป็นคนในครอบครัวตัวเองเลย นั่นก็คือโจเอล และถ้าตัดสินจากปฏิกิริยาของคนต่อข้อมูลที่หลุดออกมา ดูเหมือนว่าเราก็ทำให้คุณรู้สึกอย่างนั้นได้จริงๆ
ความท้าทายมันอยู่ตรงที่ว่า ถ้าคนไม่สามารถเห็นใจหรือเข้าใจตัวละครแอ๊บบี้ได้ ก็ถือว่าเนื้อเรื่องของเกมมันล้มเหลวไปแล้ว ถ้าคุณเล่นเกมจนจบ และยังรู้สึกอยากแก้แค้นเธอหรือไม่สามารถเข้าใจเธอได้ เกมทั้งหมดก็จะพังทลายลง และนั่นคือสิ่งที่ทีมพัฒนาให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ คือการทำให้แอ๊บบี้เป็นตัวละครที่…อาจจะไม่ใช่ “คนดี” ซะทีเดียว เพราะนั่นเป็นหลุมพรางที่นักเขียนบทหลายคนมักจะติดกับ คือเมื่อเรามีโจทย์ว่าอยากให้คนชอบแอ๊บบี้ให้ได้ งั้นทำให้เธอเป็นคนสมบูรณ์แบบไปเลยละกัน แต่นั่นมันไม่ได้ทำให้เกิดการเห็นแกเห็นใจกันอย่างแท้จริง เพราะความเห็นอกเห็นใจมันเกิดก็เมื่อคนเราทำผิดพลาด และพยายามจะแก้ไขความผิดนั้นๆ แม้จะทำไม่สำเร็จทุกครั้งก็ตาม สรุปสั้นๆ ก็คือผมหวังว่าผู้เล่นจะสามารถมองเห็นเธอในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีความซับซ้อนไม่ต่างจากมนุษย์คนอื่นๆ ในโลกจริง
ระหว่างที่เล่นเกมนี้ คุณรู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่าอยากจะเข่นฆ่าผู้คนเหล่านั้น แต่เมื่อคุณต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง คุณก็ค้นพบว่าการฆ่าคนอย่างเลือดเย็นมันยากกว่าที่คุณคิดไว้มาก แต่มันก็ควรจะยากอยู่แล้วใช่ไหม
*** มีต่อ ***
The Last of Us Part II | ผู้กำกับ Neil Druckmann เปิดหมดเปลือกกับธีมและตอนจบของเกมส์.
***บทความนี้จะสปอยเนื้อเรื่องของเกม The Last of Us Part II เยอะมาก รวมถึงตอนจบด้วย***
เกม The Last of Us Part II อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเกมยอดเยี่ยมที่มีคนเกลียดมากที่สุดเกมหนึ่งในช่วงหลายปีมานี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านเนื้อเรื่องของเกม ที่ทำลายความคาดหวังของผู้เล่นหลายๆ คนไปอย่างเลือดเย็น หรือประเด็นเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา หรือกระทั่งเพศสภาพของตัวละคร ที่หลายคนมองว่าเป็นการผลักใสประเด็นทางการเมืองของผู้พัฒนาใส่ผู้เล่น จนเกิดเป็นการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางมาตั้งแต่ที่ข้อมูลเนื้อเรื่องหลุดออกมาก่อนที่เกมจะวางจำหน่าย จนถึงปัจจุบันที่เกมวางจำหน่ายไปแล้วเกือบ 3 สัปดาห์ด้วยกัน
ในช่วงก่อนที่เกมจะวางจำหน่าย (แต่หลังจากที่ช้อมูลด้านเนื้อเรื่องหลุดออกมาแล้ว) ทางเว็บไซต์ Eurogamer ได้มีโอกาสในการสัมภาษณ์คุณ Neil Druckmann ผู้กำกับและผู้เขียนบทเกม The Last of Us Part II เกี่ยวกับสิ่งที่เกมต้องการจะสื่อผ่านเนื้อเรื่อง ไปจนถึงประเด็นร้อนแรงเกี่ยวกับตัวละครใหม่ๆ อย่างแอ๊บบี้และเลฟ ซึ่งน่าสนใจเป็นอย่างมาก เราจึงอยากจะแปลบทสัมภาษณ์ดังกล่าวมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันจ้า!
ในช่วงครึ่งหลังของเกม (่ที่คุณรับบทเป็นแอ๊บบี้) มันน่าเศร้ามากที่คุณได้พบกับผู้คนและสุนับที่คุณฆ่าตายไปก่อนหน้านี้ในฐานะเอลลี่ และมันทำให้ผมรู้สึกละอายใจขึ้นมาอย่างไรไม่รู้ ผมรู้สึกผิดต่อพวกเขา ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ผมไม่ค่อยพบในวิดีโอเกมเท่าไหร่ มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเลย
ND: คุณพูดถึงประเด็นเรื่องความละอายและความรู้สึกผิด ทั้งสองอย่างนี่มันช่างเป็นอะไรที่มีความเป็นเกมสูงเนอะว่าไหม เพราะเกมเท่านั้นที่ให้ผู้เล่นได้ลงมือกระทำอะไรซักอย่างด้วยการตัดสินใจของตัวเอง และทำให้พวกเขาได้เห็นผลของการกระทำนั้นๆ และสร้างความเห็นอกเห็นใจต่อตัวละครอื่นๆ เอาเข้าจริง แม้ในการโฆษณาเกม เรามักจะบอกว่าเกม Part II นี้มันเกี่ยวกับความแค้นและความเกลียดชัง ซึ่งมันไม่จริงเลย เกมนี้เป็นเกมเกี่ยวกับความเห็นอกเห็นใจ เกี่ยวกับการให้อภัยต่างหาก
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลมันออกแบบมาเพื่อให้เราสามารถสร้างความรู้สึกเกลียดชังสุดขีดในใจของผู้เล่นได้ เพื่อให้พวกเขาอดใจไม่ไหวที่จะได้เห็นกลุ่มคนเหล่านั้นต้องชดใช้ต่อการกระทำ และมันก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมออนไลน์ตอนนี้ คุณเห็นวิธีที่พวกเขาพูดถึงข้อมูลหลุด วิธีที่พวกเขาพูดจาและกระทำต่อแอ๊บบี้ราวกับเธอไม่ใช่มนุษย์ มันน่ากลัวมาก แต่มันก็คือธรรมชาติของมนุษย์ ที่เราทุกคนล้วนเคยกระทำ
เราเห็นเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราได้เห็นบทสัมภาษณ์ของคนที่สูญเสียคนรักหรือบุตรให้กับความรุนแรง พวกเขามักจะพูดทำนองว่า ‘ถ้าชั้นจับไอ้คนกระทำมาอยู่ตรงหน้าได้ ชั้นคงถลกหนังมันทั้งเป็น’ และผมเชื่อพวกเขานะ ผมเชื่อว่าในสถานการณ์ที่ถูกต้อง มนุษย์ธรรมดาอย่างเราล้วนกระทำอะไรแบบนั้นได้ทุกคน ซึ่งสิ่งที่เราอยากจะทดลองในเกมนี้ก็คือ เราจะสามารถนำพาผู้เล่นไปอยู่ในจุดนั้น ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง และทำให้พวกเขาต้องหยุดคิดและสำรวจจิตใจของตัวเองได้อย่างไร และบางทีมันอาจจะทำให้เมื่อมีอะไรซักอย่างเกิดขึ้นนอกเกม คุณอาจจะมีสติและความเห็นอกเห็นใจมากพอที่จะหยุดและตั้งคำถามกับตัวเองถึงมุมมองที่ต่างจากคุณ
ฉากการต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างเอลลี่และแอ๊บบี้มันช่างให้ความรู้สึกกระกระสนและว่างเปล่าเหลือเกิน เหมือนว่ามันไม่สามารถมีฝ่ายใดเป็นผู้ชนะได้เลย ผมรู้สึกโกรธเอลลี่มาก และผมก็พร้อมจะเกลียดแอ๊บบี้มาตั้งแต่ต้นเกม แต่ในจุดนั้นมุมมองของผมมันพลิกกลับด้านไปหมดเลย คุณพยายามจะสื่อว่าเอลลี่คือตัวร้ายอยู่ใช่ไหมในฉากนั้น
ND: สำหรับผม การจำกัดความตัวละครว่าเป็น “ตัวดี” หรือ “ตัวร้าย” มันเป็นการตัดสินตัวละครมากไปหน่อย สิ่งที่เราต้องการจะสื่อมากกว่าก็คือ นี่คือกลุ่มคนที่ไม่สมบูรณ์แบบ ที่เลือกทางเลือกที่ไม่ถูกต้อง และผลของทางเลือกเหล่านั้น ก่อนที่จะตั้งคำถามว่า มันคุ้มค่าสำหรับคุณแล้วใช่ไหม
การเดินทางของเอลลี่มันคือการออกตามหาอะไรก็ตามเพื่ออุดรูในใจที่การตายของโจเอลทิ้งเอาไว้ และความเชื่อของเธอที่ว่า ‘ชั้นอาจจะรู้สึกดีขึ้น ถ้าได้เห็นคนพวกนี้ต้องเจ็บปวดเหมือนกับโจเอล’ มันเลยทำให้การฆ่าทุกครั้งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งกรัดกร่อนความเป็นมนุษย์ของเธอลงเรื่อยๆ มันเป็นความพยายามที่สูญเปล่า ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่เราอ้างอิงจากการสัมภาษณ์บุคคลในโลกจริง บางคนเป็นลูกหลานหรือพ่อแม่ของเหยื่อการฆาตกรรม ที่ได้นั่งดูคนที่ฆ่าคนรักของพวกเขาถูกประหารชีวิตต่อหน้า พวกเขาทุกคนพูดเหมือนกันหมดว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่ต้องการไม่ใช่การแก้แค้น แต่เค้าต้องการให้คนที่เขารักกลับมาต่างหาก และการฆ่าคนที่พรากพวกเขาไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ในขณะเดียวกัน การเดินทางของแอ๊บบี้มันคือการพยายามลบล้างความรู้สึกผิดของตัวเอง เธอได้ทุ่มเวลา 5 ปีไปกับการตามล่าตัวโจเอล เธอเปลี่ยนร่างกายตัวเองให้กลายเป็นอาวุธ เพราะเธอจินตนาการไปเองว่าโจเอลเปรียบเสมือนปีศาจในใจเธอ ถ้าคุณสังเกติดีๆ ในฉากที่โจเอลโดนยิงขา เพื่อนๆ ของแอ๊บบี้ยังมีท่าทีเกรงๆ เขาอยู่ด้วยซ้ำ และการตายขอโจเอลก็เป็นอะไรที่น่าสมเพชมาก มันไม่ได้น่าพอใจหรือ “สมเกียรติ์” แต่อย่างใด มันแค่น่าเศร้าเท่านั้นเอง และเนื้อเรื่องของเธอมันก็คือการที่เธอพยายามจะหาทางไถ่บาปให้ตัวเอง ด้วยการช่วยเหลือเด็กสองคนจากกลุ่มที่เป็นศัตรูของเธอมาตลอด และภารกิจนั้นเองที่ทำให้เธอรู้สึกมีคุณค่าอีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี
กลับไปสู่ประเด็นที่คุณยกมา เกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งสุดท้ายนั่น ผมคงได้แต่หวัง แม้ว่าจะรู้ว่าผู้เล่นจะตีความตอนจบไปหลากหลายทางก็ตาม แต่เราหวังว่าคุณจะรู้สึกเห็นใจตัวละครทั้งเอลลี่และแอ๊บบี้ เอลลี่ในตอนจบของเกม อาจจะถือว่าอยู่ในจุดเดียวกับแอ๊บบี้ในตอนต้นของเกม ที่เข้าใจแล้วว่าการต่อสู้นี้มันช่างไร้ค่าและน่าสมเพชเหลือเกิน แอ๊บบี้ไม่ใช่คนเดียวกับแอ๊บบี้ที่ฆ่าโจเอลอีกต่อไป แต่เธอคือมนุษย์คนหนึ่งที่ผ่านประสบการณ์อันหฤโหดมาแล้ว และได้ปลดเปลื้องความรู้สึกผิดของตัวเองไปแล้ว และผู้เล่นก็เข้าใจว่าการต่อสู้ครั้งสุดท้ายนั้นมันช่างไม่มีความหมาย เพราะได้เห็นเรื่องราวของตัวละครทั้งสองคนมาแล้ว
ตัวละครเลฟเป็นตัวละครที่น่าสนใจมาก เพราะเขาดูเหมือนจะเป็น “ผู้บริสุทธิ์” คนเดียวในเหตุการณ์ทั้งหมด พวกคุณได้ปรึกษาหรือพูดคุยกับกลุ่มคนข้ามเพศหรือ LGBTQ ถึงวิธีการนำเสนอตัวละครตัวนี้บ้างหรือไม่
ND: ใช่ครับ เราได้ว่าจ้างที่ปรึกษาด้านศาสนามาเลยนะ เพราะเราตั้งใจว่าเราจะสร้างศาสนาหรือชุดความเชื่อหนึ่งขึ้นมาจริงๆ ฉะนั้นเราก็อยากจะพยายามหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งจิตใจของใคร คือทีมงานทุกคนเข้าใจตรงกันว่า การจะสร้างศิลปะที่ท้าทายผู้รับมากขนาดนี้ขึ้นมาซักชิ้นหนึ่ง มันย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนที่รู้สึกไม่ชอบ แต่ถ้าเราจะทำอะไรที่มันจะไปกระทบใจใคร อย่างน้อยก็ขอทำในวิธีที่มันไตร่ตรองมาแล้ว เพื่อไม่ให้ประเด็นเหล่านี้มากำหนดเนื้อเรื่อง แต่เพื่อให้เสริมเนื้อเรื่องแทน
เรามีสมาชิกในทีมพัฒนาหลายคนที่เป็นบุคคลข้ามเพศ และเราก็ได้ปรึกษากับพวกเขาตลอดการพัฒนา เราอ่านหนังสือและรับฟังบทสัมภาษณ์เกี่ยวกับประเด็นนี้มากมาย เราได้เชิญที่ปรึกษาเข้ามาเพื่อช่วยอธิบายประเด็นต่างๆ ให้เราเข้าใจ และเมื่อเราทำความเข้าใจประเด็นเหล่านั้นแล้ว เราก็ต้องพยายามลืมมันไป และสร้างตัวละครให้เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งในโลกนั้น
เราไม่ได้อยากจะสร้างความหลากหลายไปอย่างนั้นเอง เราไม่ได้ใส่ตัวละครข้ามเพศเข้าไปแค่เพื่อให้มีตัวละครข้ามเพศในเรื่อง แต่เรารู้สึกว่ามันมีประเด็นที่น่าสนใจที่สามารถพูดถึงใด้ในบริบทของศาสนา มันคือการนำเสนอตัวละครตัวหนึ่งที่ถูกล่าโดยกลุ่มคนที่เชื่อศาสนาเดียวกับเขา แถมตัวเองก็ยังเชื่อในศาสนานั้นซะเอง แค่ตีความเนื้อหาของความเชื่อนั้นไปในทิศทางที่ต่างกับคนอื่น และนั่นแหละคือประโยชน์ของความหลากหลาย คือมุมมองที่เพิ่มขึ้น ให้เราได้มองเนื้อเรื่องในมุมที่ใหม่กว่าเดิม
คุณคาดหวังให้ผู้เล่นได้อะไรจากตัวละครแอ๊บบี้มากที่สุด
ND: อย่างที่ผมอธิบายไปก่อนหน้านี้ สิ่งที่ผมต้องการคือให้ผู้เล่นรู้สึกเกลียดชังเธอแบบเข้าใส้ เกลียดจนอยากจะจับเธอมาทรมานอย่างโหดร้ายไปเลย
ในตอนที่ผมยังเป็นวัยรุ่น อายุประมาณเท่าเอลลี่ในเกมนี่แหละ ผมได้ดูข่าวเรื่องหนึ่ง ซึ่งแสดงภาพคนผิวดำที่ถูกจับแขวนคอจนตาย และมันส่งผลกระทบต่อจิตใจของผมมาก ทั้งความรุนแรงที่ได้เห็น และเสียงร้องแห่งความยินดีที่ออกมาจากผู้คนที่กระทำความรุนแรงนั้น มันทำให้ผมรู้สึกขยะแขยงมากๆ และในหัวของผมตอนนั้น ผมคิดจริงๆ ว่าผมอยากจะฆ่าไอ้คนพวกนั้นให้หมด ถ้าผมสามารถกดปุ่มปุ่มหนึ่ง ที่ทำให้คนพวกนี้ตายไปพร้อมๆ กัน ผมคงกดไปแล้ว ถ้ามีคนในกลุ่มนั้นถูกจับมัดติดกับเก้าอี้อยู่ตรงหน้า ผมเชื่อว่าผมคงจับพวกเขาทรมานจนตายไปแล้ว มันคือสิ่งที่ผมรู้สึกจริงๆ ในตอนนั้น
แต่เมื่อเวลาผ่านไป พอผมมองย้อนกลับไปที่ความคิดของตัวเองในขณะนั้น แน่นอนว่ามันเป็นความคิดที่เลวร้ายมาก ผมก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เติบโตมาในสังคมธรรมดาๆ ตลอดชีวิตของผมมีเรื่องทะเลาะกับคนอื่นถึงขั้นลงไม้ลงมือแค่ 2-3 ครั้งเท่านั้นสมัยที่อยู่โรงเรียน แต่ผมก็ยังสามารถมีความคิดที่ชั่วร้ายแบบนั้นได้ แค่จากการนั่งดูคนอื่นกระทำอะไรบางอย่าง แล้วลองคิดต่อไปว่า ถ้ามันเป็นคนที่ผมรักล่ะ ขนาดคนถูกกระทำเป็นคนแปลกหน้าผมยังรู้สึกได้ขนาดนั้น ผมไม่ได้รู้จักใครในสถานการณ์นั้นเป็นการส่วนตัวเลยซักนิด ทั้งคนที่กระทำและถูกกระทำ
มันเลยกลายเป็นข้อถกเถียงทางปรัชญาในหัวของผม ที่ผมเถียงกับตัวเองมาหลายปีแล้ว จนวันหนึ่งผมตัดสินใจว่าอยากจะสร้างความรู้สึกแบบเดียวกันนั้นในวิดีโอเกม และเราก็มีตัวละครอันเป็นที่รักมากๆ อยู่แล้ว ที่หลายคนดูจะรักเสมือนเป็นคนในครอบครัวตัวเองเลย นั่นก็คือโจเอล และถ้าตัดสินจากปฏิกิริยาของคนต่อข้อมูลที่หลุดออกมา ดูเหมือนว่าเราก็ทำให้คุณรู้สึกอย่างนั้นได้จริงๆ
ความท้าทายมันอยู่ตรงที่ว่า ถ้าคนไม่สามารถเห็นใจหรือเข้าใจตัวละครแอ๊บบี้ได้ ก็ถือว่าเนื้อเรื่องของเกมมันล้มเหลวไปแล้ว ถ้าคุณเล่นเกมจนจบ และยังรู้สึกอยากแก้แค้นเธอหรือไม่สามารถเข้าใจเธอได้ เกมทั้งหมดก็จะพังทลายลง และนั่นคือสิ่งที่ทีมพัฒนาให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ คือการทำให้แอ๊บบี้เป็นตัวละครที่…อาจจะไม่ใช่ “คนดี” ซะทีเดียว เพราะนั่นเป็นหลุมพรางที่นักเขียนบทหลายคนมักจะติดกับ คือเมื่อเรามีโจทย์ว่าอยากให้คนชอบแอ๊บบี้ให้ได้ งั้นทำให้เธอเป็นคนสมบูรณ์แบบไปเลยละกัน แต่นั่นมันไม่ได้ทำให้เกิดการเห็นแกเห็นใจกันอย่างแท้จริง เพราะความเห็นอกเห็นใจมันเกิดก็เมื่อคนเราทำผิดพลาด และพยายามจะแก้ไขความผิดนั้นๆ แม้จะทำไม่สำเร็จทุกครั้งก็ตาม สรุปสั้นๆ ก็คือผมหวังว่าผู้เล่นจะสามารถมองเห็นเธอในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีความซับซ้อนไม่ต่างจากมนุษย์คนอื่นๆ ในโลกจริง
ระหว่างที่เล่นเกมนี้ คุณรู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่าอยากจะเข่นฆ่าผู้คนเหล่านั้น แต่เมื่อคุณต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง คุณก็ค้นพบว่าการฆ่าคนอย่างเลือดเย็นมันยากกว่าที่คุณคิดไว้มาก แต่มันก็ควรจะยากอยู่แล้วใช่ไหม
*** มีต่อ ***