ด้วยสถานการณ์ Covid19 ช่วงที่ผ่านมาการเดินทางต่างประเทศเป็นหมัน ทริปเนปาลที่จะไปขึ้น Mera peak ก็ล่ม กลายเป็นไม่ได้ไปไหน อยู่บ้านว่าง ๆ เลยมีเวลาเปิดดูรูปทริปล่าสุดที่...เขาหวงซาน ประเทศจีน หรือที่ฝรั่งเรียกกัน Yellow mountain ที่เป็นที่สุดแห่งขุนเขาในประเทศจีน เวอร์ชั่นหน้าหนาวเมื่อ มค. ที่ผ่านมา (จริง ๆ ช่วงนั้นข่าว Covid19 ก็เริ่ม ๆ มีแล้วแต่ยังไม่รุนแรงมาก) มาฝากให้ชมกัน แก้เบื่อ และเป็นข้อมูลเผื่อใครสนใจจะไปตำกันบ้าง เพราะเข้าใจดีว่าตอนนี้เพื่อน ๆ ที่รักการเดินเขาในกลุ่มนี้อยากเดินเขาจนขาสั่นกันแล้ว 🙂
ถ้ามีเวลาอ่านก็เรียนเชิญอ่านเพื่อความบันเทิง แต่ถ้าอยากได้แค่คำแนะนำก็ข้ามไปอ่านส่วนการแนะนำก็ได้ หรือถ้าไม่อยากอ่านอะไรเยอะแยะก็เลื่อนลงไปดูรูปได้เลย มีคำบรรยายเล็กน้อยไม่มากไม่มาย แต่ถ้าขี้เกียจแน่ ๆ ก็ไถดูรูปเพลิน ๆ ก็ขอบคุณครับ -/\-
-----ประสบการณ์จากทริปนี้-----
ในหมวดหมู่การท่องเที่ยว ถ้าหากให้ทุกคนนึกถึงประเทศจีน แต่ละคนจะคิดถึงอะไรเป็นลำดับแรก?
สำหรับเราคำแรกที่นึกขึ้นมาในหัวเลยคือคำว่า “ห้องน้ำ” ถึงแม้ว่าเราจะมีประสบการณ์กับห้องน้ำที่อินเดียมาแล้ว (ที่ก็เอาเรื่องพอตัว ทั้งรูป ทั้งกลิ่นเน้นๆ) แต่จากที่เราเคยได้ยินว่าห้องน้ำพี่จีนนั้นมีความโหดร้ายไม่น้อยหน้าเลย ดังนั้นถึงแม้รูปหลาย ๆ แลนด์มาร์คที่จีนจะกระตุ้นให้เราอยากไปแค่ไหน ก็ต้องมายอมแพ้ความกลัวเรื่องห้องน้ำอยู่ทุกที ทำให้ยังทำให้ไม่ได้ตกลงปลงใจไปสักที จนเมื่อปลาย ๆ ปี 2019 หลังจากฟื้นจากทริปโกเคียวที่เนปาล ก็เห็น Wonder Wander เปิดทริปหวงซานต้นปี 2020 แถมยังเป็นการไปหวงซานช่วงฤดูหนาวด้วย และทั้งทริปจะนอนกันอยู่บนหวงซาน 4 คืนเต็มให้ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศทุกซอก ทุกมุมของหวงซานอีกต่างหาก แถมภาพที่ใช้บิ้วด์ของทริปกับภาพหวงซานหน้าหนาวที่เราไป Google หาเราก็ตกลงใจจองทริปกันแทบจะทันที ห้องน้ำไม่ดี...แต่วิวดี...จะรออะไร ?!
黄山 “เขาหวงซาน (Huangshan Mt.)” หรือที่เรียกว่ากันอีกชื่อ "Yellow Mountain" เราได้ยินชื่อและเห็นภาพถ่ายหลาย ๆ ภาพของหุบเขาแห่งนี้มาสัก 1-2 ปีแล้ว ภาพทิวเขาหินแกรนิตจำนวนมากหน้าตาประหลาด ต้นสนนับหมื่นพัน ที่มีหิมะปกคลุม ทะเลหมอกคลอเคลียกับทิวเขาน้อยใหญ่ ซึ่งเป็นวิวที่สวยมาก สวยจริงจริง สวยจนเป็นต้นแบบของภูเขาในภาพวาดพู่กันจีนมาตั้งแต่ยุคอดีตจนมีคำกล่าวที่ว่า “กลับจากภูเขาทั้งห้าจะไม่มองภูเขาลูกอื่น กลับจากหวงซานจะไม่มองภูเขาทั้งห้า” และยกให้หวงซานเป็นราชาแห่งขุนเขาจีน
ด้วยความที่เป็นการเดินทางไปประเทศจีนเป็นครั้งแรก ประกอบกับ “ความจีน” ที่เราเคยพบเจอตามที่เที่ยวต่าง ๆ ในไทยที่เป็นที่นิยมของบรรดาพี่จีนเค้า เราก็เผื่อใจทริปนี้ไว้พอสมควรแต่ไม่กังวลเรื่องการเดินมากเพราะเราเคยเดินที่สาหัสกว่านี้มาแล้ว จึงไม่คาดหวังความสะดวกสบายจากทริปนี้มากนัก ตัดเรื่องอาหารการกินและที่หลับนอนไปเพราะข้างบนนั้นเราจะกินนอนกันในโรงแรม แต่เอาจริงๆ เราก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะเป็นโรงแรมดีอะไรมากมายนักแต่ก็ไม่น่าจะไม่เป็นปัญหามากมายเช่นกัน การเตรียมตัวก็จัดเหมือนไปเทรคที่เนปาล ในเมื่อข้าวของก็พร้อมแล้ว ใจก็พร้อม ที่เหลือก็ฝากไ้ว้กับดวงของเราและดวงของเพื่อนร่วมทริปนี้
ตัดภาพไปเราสองคนนั่งอยู่ในกระเช้ากระจกใส (ที่ก็ไม่ใสสักเท่าไร) ค่อยๆ ลอยสูงขึ้น ฝ่าชั้นเมฆหมอกขาวรอบด้านด้วยใจที่ระทึกว่าข้างบนก็จะขาวโพลนแบบนี้ไหมวะ เพราะแค่กระเช้าข้างหน้าเราก็มองไม่เห็นกันแล้ววว (=. =)! แต่ทันทีที่กระเช้าพาเราลอยพ้นชั้นหมอกสีขาวรอบตัวเรานั้นหัวใจเราก็พองโตกับวิวที่เห็น ทิวเขาน้อยใหญ่กระจายอยู่เต็มพื้นที่ มีเมฆหมอกลอยละเลียดปกคลุมอยู่ทั่วไปบนยอดเขาใหญ่น้อย บ้างก็ปกคลุมด้วยทิวต้นสนไร้ใบที่ขาวโพลนไปด้วยเกล็ดหิมะ แซมด้วยริ้วเมฆอมส้มนวลจากแสงแดดที่สาด วิวตรงหน้าแทบจะครบทุกอย่างที่อยากเจอแล้วจริงๆ ทำให้เราตั้งตัวสำหรับการต้อนรับจากหวงซานกันแทบไม่ทัน คำกล่าวที่ว่า "ไปหวงซานจะไม่มองเขาไหนอีก" ก็ไม่ได้โอเว่อร์ไปเลยสักนิด สวยจริง ๆ โคตรสวยเลยแหละ เจอกันแค่ไม่กี่นาทีเราก็คิดกันแล้วว่าครั้งเดียวไม่พอแน่นอน !!!
เราทุกคนค่อยๆ ละเมียดชื่นชมความงามตรงหน้ากันนานและรัวชัตเตอร์กันยับ แม้ว่าเจอร์รี่ (หนุ่มแว่นไกด์ท้องถิ่นหน้าตาเรียบร้อยแบบเด็กแก่เรียน) จะบอกเรากึ่งเร่งนิดๆ เพราะกำลังจะมืดแล้วว่า "This view is so so ! Inside more beautiful" ก็ไม่ทำให้เราทุกคนเบามือที่รัวชัตเตอร์ลงได้จริงๆ เรียกว่าเพลินกันจนลืมความหนาวเย็นที่ยะเยือกอยู่รอบตัว เหมือนอยู่ในช่องแช่แข็งในตู้เย็นเลย เอาจริงๆ กลับมานั่งนึกกันตอนจบทริป เย็นวันนั้นเป็นวันที่ดีที่สุดในทริปแล้วทั้งหมด 5 คืนบนเขา ถ้าเราไม่ดื้อดึงแล้วรีบเดินตามไกด์บอกเราคงเสียใจไม่น้อยเพราะอีก 2 วันต่อมาเราก็ต้องผิดหวังเพราะเจอทั้งฝนและหมอกฟุ้งเกินกว่าจะมองเห็นวิวข้างหน้าได้ ทำให้เราพลาดมุมสวยๆ หลายๆมุมฝั่งตะวันออกไป แต่ก็ยังดีที่ตอนที่เดินย้ายไปฝั่งตะวันตกอีก 2 วันสุดท้ายฟ้าก็ยังเป็นใจ
เราทึ่งกับเรื่องการจัดการอุทยานของจีนเป็นอย่างมาก เพราะทุกอย่างถูกควบคุมโดยรัฐบาลจีน 100% นั่นทำให้ระบบจัดการของเขาหวงซานที่มีความเป็นระบบระเบียบสูงมาก ตั้งแต่จุดจอดที่เราต้องแสกนกระเป๋าก่อนยกขึ้นรถบัสของอุทยานไปยังจุดขึ้นกระเช้า รถบัสสภาพใหม่ สะอาด และที่สำคัญอุ่นมาก (ข้อนี้เลิฟสุดๆ สำหรับที่ที่อุณหภูมิติดลบต้นๆ) เมื่อถึงจุดขึ้นกระเช้าก็มีเจ้าหน้าที่คอยยืนคุมดูแลกำกับเช่นเดียวกับปลายทาง ที่นั่นจะมีเจ้าหน้าที่อีกส่วนดูแลเรื่องลูกหาบ โดยเขาจะมายกแล้วแยกกระเป๋าออกเป็นกองตามน้ำหนัก ในราคาค่าหาบที่แตกต่างกัน เมื่อจ่ายเงินแล้วเหล่าลูกหาบก็จะเข้ามาจัดการกับสัมภาระทันที ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกโกงแต่อย่างใดเพราะมีเจ้าหน้าที่ควบคุมราคาเพียงคนเดียว เจ้าหน้าที่เป็นพนักงานของรัฐแต่ลูกหาบจะได้ค่าจ้างตามน้ำหนัก ซึ่งได้เพียง 15% เท่านั้น ดังนั้นที่ปลายทางก็จะเจอภาพที่บรรดาลูกหาบจะนั่งรอ (ทวง) ทิปกันแบบไม่ได้ไม่ไปเลยทีเดียว
แม้ว่าทริปนี้นอนบนเขาเราโรงแรมตลอดทริป ซึ่งจะประมาณ 3 - 4 ดาว แต่เราก็คิดว่าเฉพาะโรงแรมในเมือง โรงแรมบนเขาก็คงพออยู่ได้ไม่ได้สะดวกสบายอะไรมาก เราแอบจินตนาการด้วยซ้ำว่าน่าจะคล้ายๆ กับที่เนปาล (อาจจะดีกว่าหน่อยด้วยความจีน) ...แต่ แต่ แต่ หลังจากที่เราเดินเลาะตามทางเดิน บันไดที่คดเคี้ยวไปตามรูปร่างเขา ลัดเลาะไปเรื่อยๆ จนมาถึงโรงแรมที่เราจะพักเราถึงกับตกใจกับโรงแรมที่อยู่ตรงหน้า เพราะว่าเป็นระดับ 4 ดาวจริงๆ แกรนด์มากทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและภายในนั้นสบายเสียจนลืมไปเลยว่าอยู่บนเขาที่มีระดับความสูงเกือบสองพันเมตร จะมีสักกี่ครั้งที่เราได้กินโต๊ะจีนฟูลคอร์สกันทุกมื้อที่ความสูงนั้น นอกจากนั้นทุกโรงแรมจะมีเมนูกุ้งแชบ๊วยต้มเป็นหนึ่งในเมนูทุกมื้ออาหาร เอาเป็นว่าการไปหวงซานนั้นทำให้เราได้กินกุ้งเยอะกว่าตอนอยู่ไทยเสียอีก
สิ่งที่เรารู้สึกชื่นชมรัฐบาลของจีนมากๆ เลยก็คือ ความพยายามในการควบคุมมลพิษและขยะบนเขา เพื่อรักษาธรรมชาติให้สมบูรณ์ที่สุด รัฐบาลไม่อนุญาตให้ซักล้างใดๆ บนเขาเลย ของทุกอย่างตั้งแต่วัตถุดิบอาหาร ผ้าเช็ดตัว หรือผ้าปูเตียง ต้องขนจากข้างล่างขึ้นไป และขนลงมาซักข้างล่างทุกวัน ส่วนขยะก็จัดเตรียมจุดทิ้งขยะกระจายทั่วไปทุกจุด จุดทิ้งขยะก็สร้างให้มีความกลมกลืนไปกับทิวทัศน์ของภูเขาอีกด้วย จนบางทีไม่แน่ใจว่านั่นถังขยะหรือว่ากองหินกันแน่ และมีเจ้าหน้าที่คอยเดินเก็บตลอดทั้งวัน (ย้ำว่าทั้งวันจริงๆ) และขนลงไปทิ้งยังด้านล่าง จึงทำให้พบเห็นเศษขยะข้างบนน้อยมาก ถือเป็นความสำเร็จในการจัดการที่ต้องชื่นชม โคตรเจ๋งเลย
ที่สุดของความทึ่งและอึ้งคือ การก่อสร้างเส้นทางทั้งหมดบนเขาหวงซาน ทางเดินตลอดเส้นทาง ไปยังทุกจุดบนหวงซานเป็นหินที่ไม่ใช้แค่เรียบเดินง่าย แต่ยังมีความประณีตสวยงาม ไม่ได้ทำๆ ไปพอให้ได้ชื่อว่าทำและปล่อยรกร้าง ผุพัง แต่คือยังดูแลรักษาเป็นอย่างดี คือเอาเป็นว่าเดินไปรวมๆ ทั้งทริปก็เยอะ แต่ไม่เจอเลยว่าตรงจุดไหนที่ทางเดินชำรุด และที่สำคัญคือสิ่งที่พี่จีนเค้าสร้างมันแทรกตัวอยู่กับสิ่งที่ธรรมชาติสร้างได้อย่างแนบเนียนไม่จนเราไม่รู้สึกว่ามันมากเกินไป ยิ่งได้มาหาข้อมูลรวมถึงถามไกด์ท้องถิ่นถึงประวัติความเป็นมาแล้วก็ทำให้แต่ทึ่งในความยิ่งใหญ่ของพี่จีน เจอแบบนี้ไปก็เชื่อแล้วแหละว่าจีนสร้างได้ทุกอย่างจริงๆ
ท้ายที่สุดคำร่ำลือกันเรื่องห้องน้ำ จากประสบการณ์เท่าที่ได้ใช้บริการ ถึงแม้จะเป็นห้องน้ำสารธารณะระหว่างจุดพักรถ หรือแม้แต่บนเขาก็โคตรดี ดีจริงๆ ถ้าเทียบกับห้องน้ำตาม อุทยานฯ บ้านเรา เรียกได้ว่านำหน้าอยู่หลายช่วงตัว ไม่ได้แย่อย่างที่จินตนาการไว้เลย จริง ๆ ใช่คำว่าไม่แย่ไม่ได้เพราะมันโคตรดีย์ !!! กว่าที่คิดเยอะจริงๆ เรื่องที่ลำบากเรื่องเดียวคงจะหนีไม่พ้นเรื่องภาษา ที่การสื่อสาร ประสานงานถ้าไม่มีไกด์คอยช่วยยอมรับว่าจะลำบากพอตัวเลย แต่โดยรวมก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรที่แย่จนเรารับไม่ได้ (ในรูปแบบการเที่ยวแบบเราที่ กินอิ่ม นอนอุ่น เที่ยวสนุกแค่นั้น)
โดยสรุปทริปนี้มุมมองต่อประเทศจีนที่เปลี่ยนไปของเราทั้งคู่ คนจีนเอง เอาจริง ๆ ก็ไม่ได้เป็นแบบคนจีนที่เราเจอๆ กันตามในเมืองไทย หลายๆ อย่าง หลายๆ พฤติกรรมคนเค้าเองก็มีปรับเปลี่ยน ถึงแม้จะด้วยเจ้าหน้าที่หรือเทคโนโลยีก็เถอะ แต่ก็เห็นได้ว่าแนวโน้มน่าจะดีขึ้นไป หลายๆ เทคโนโลยี หลาย ๆ สิ่งก่อสร้าง แนวคิด วิธีการและการอยู่ร่วม และใช้ธรรมชาติทำให้เห็นว่าจีนสามารถทำอะไร และจะทำอะไรได้มากอีกแค่ไหนในอนาคตอย่างแน่นอน
ตามที่ไกด์ท้องถิ่นบอก เรากล่าวลาเขาหวงซานเป็นภาษาจีนว่า "zaijian" (แปลว่าลาก่อน) เพราะหวังว่าสักวันเราอาจจะได้กลับไปเยือนอีกหลายครั้งแน่นอน!!
-----คำแนะนำของการเดินทาง-----
#การไป
ออกเดินทางจากเมืองไทยด้วยสายการบิน Air China (ประมาณ 13K) เวลาดึกค่อนไปทางเช้าสู่สนามบินหางโจวประเทศจีนเวลาสาย จากนั้นก็ต้องนั่งรถบัสออกนอกเมืองอีก 5 - 6 ชั่วโมง รวมเวลาพักกินข้าว (ช่วงที่เราไปอาจจะรถติดหน่อยเพราะใกล้ช่วงตรุษจีน คนเลยทะยอย ๆ กลับบ้าน) เพื่อเปลี่ยนเป็นรถบัสของอุทยานต่อไปยังจุดขึ้นกระเช้า รวมๆ แล้วใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมงนับจากลงเครื่องจนเหยียบแผ่นดินจีนครั้งแรกไปถึงเหยียบหวงซานครั้งแรก เห็นบางคนที่มาเองก็บอกว่าสามารถเหมารถจากสนามบินหางโจวมาที่จุดต่อรถบัสไปกระเช้าได้เหมือนกัน แต่ไม่รู้นะว่าเท่าไหร่
#การเดิน
ถ้าเคยเขาในไทย หรือเนปาลมาแล้วบอกเลยว่าการเดินทางบนหวงซานด้วยสองขานั้น ส่วนตัวเราบอกเลยว่าโคตรสบายประดุจไปทริปทัศนศึกษา ทางเดินสบายเป็นทางเดินหินและบันไดหินที่ทำขึ้นตลอดทาง ไปทุกจุดชมวิว แต่ที่จะทรมานหน่อยก็คือถ้าไปหน้าหนาวเนี่ยแหละ ถ้าไม่มีแดดมันจะหนาวมากๆ ไม่เหมือนกันเนปาลที่ตอนเดินยังพอมีเหงื่อออกบ้าง แต่นี่คือยะเยือกจริงๆ และถ้าต้องแบกเป้ แบกกล้อง เลนส์ ขาตั้งเองก็ต้องฟิตร่างกายมาหน่อย ส่วนสัมภาระอื่นๆ ถ้าไม่อยากแบกเองก็มีลูกหาบให้บริการ แต่ค่าบริการก็จะขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่ยกด้วยความรู้สึก (อาจจะขนาดกระเป๋าด้วย) และระยะทางที่จะใช้ อย่างที่เราไปทริปนี้จะมีลูกหาบอยู่ 3 ช่วง
Yungu Cable Car - Beihai Hotel 50-100 หยวน
Beihai Hotel - Baiyun Hotel 100-200 หยวน
Baiyun Hotel - Yungu Cable Car 100-150 หยวน
#การกิน
อย่างที่เชิดชูในความทุ่มทุนสร้างของพี่จีนเค้า โรงแรมที่อยู่บนเขานั้นโคตรดีย์ ดีเกินเรื่อง ดีเกินหน้าเดินตากินโต๊ะจีนบุปเฟ่ต์ทุกมื้อ กินเข้าไปเลยตามแต่จะยัดลงไปได้ คาว หวาน หลากหลายสัญชาติครบถ้วน ไม่ใช่อาหารจีนมันๆ เลี่ยนๆ แน่นอน
#การนอน
อย่างที่เชิดชูในความทุ่มทุนสร้างของพี่จีนเค้า (อีกครั้ง) เรื่องการนอนไม่ต้องเป็นกังวลเลย เพราะในห้องพักของโรงแรมมีฮีตเตอร์ที่อุ่นจนร้อนเอาอยู่แน่นอน ไม่ว่าข้างนอกจะหนาวแค่ไหน แถมสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างที่จำเป็นต้องมี ต้องใช้เรียกได้ว่าครบถ้วนทุกสิ่งอย่าง (เผลอๆ ดีกว่าเวลาเราไปเที่ยวเองในไทยด้วยซ้ำ ฮา) ปลั๊กไฟก็ไม่ต้อง
----------
หลังจากนี้ไม่ต้องอ่านแล้ว ไถดูรูปเพลิน ๆ เราก็ดีใจ
)
[/
"หวงซาน"...มาแล้วจะไม่มองเขาไหนอีก
ถ้ามีเวลาอ่านก็เรียนเชิญอ่านเพื่อความบันเทิง แต่ถ้าอยากได้แค่คำแนะนำก็ข้ามไปอ่านส่วนการแนะนำก็ได้ หรือถ้าไม่อยากอ่านอะไรเยอะแยะก็เลื่อนลงไปดูรูปได้เลย มีคำบรรยายเล็กน้อยไม่มากไม่มาย แต่ถ้าขี้เกียจแน่ ๆ ก็ไถดูรูปเพลิน ๆ ก็ขอบคุณครับ -/\-
-----ประสบการณ์จากทริปนี้-----
ในหมวดหมู่การท่องเที่ยว ถ้าหากให้ทุกคนนึกถึงประเทศจีน แต่ละคนจะคิดถึงอะไรเป็นลำดับแรก?
สำหรับเราคำแรกที่นึกขึ้นมาในหัวเลยคือคำว่า “ห้องน้ำ” ถึงแม้ว่าเราจะมีประสบการณ์กับห้องน้ำที่อินเดียมาแล้ว (ที่ก็เอาเรื่องพอตัว ทั้งรูป ทั้งกลิ่นเน้นๆ) แต่จากที่เราเคยได้ยินว่าห้องน้ำพี่จีนนั้นมีความโหดร้ายไม่น้อยหน้าเลย ดังนั้นถึงแม้รูปหลาย ๆ แลนด์มาร์คที่จีนจะกระตุ้นให้เราอยากไปแค่ไหน ก็ต้องมายอมแพ้ความกลัวเรื่องห้องน้ำอยู่ทุกที ทำให้ยังทำให้ไม่ได้ตกลงปลงใจไปสักที จนเมื่อปลาย ๆ ปี 2019 หลังจากฟื้นจากทริปโกเคียวที่เนปาล ก็เห็น Wonder Wander เปิดทริปหวงซานต้นปี 2020 แถมยังเป็นการไปหวงซานช่วงฤดูหนาวด้วย และทั้งทริปจะนอนกันอยู่บนหวงซาน 4 คืนเต็มให้ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศทุกซอก ทุกมุมของหวงซานอีกต่างหาก แถมภาพที่ใช้บิ้วด์ของทริปกับภาพหวงซานหน้าหนาวที่เราไป Google หาเราก็ตกลงใจจองทริปกันแทบจะทันที ห้องน้ำไม่ดี...แต่วิวดี...จะรออะไร ?!
黄山 “เขาหวงซาน (Huangshan Mt.)” หรือที่เรียกว่ากันอีกชื่อ "Yellow Mountain" เราได้ยินชื่อและเห็นภาพถ่ายหลาย ๆ ภาพของหุบเขาแห่งนี้มาสัก 1-2 ปีแล้ว ภาพทิวเขาหินแกรนิตจำนวนมากหน้าตาประหลาด ต้นสนนับหมื่นพัน ที่มีหิมะปกคลุม ทะเลหมอกคลอเคลียกับทิวเขาน้อยใหญ่ ซึ่งเป็นวิวที่สวยมาก สวยจริงจริง สวยจนเป็นต้นแบบของภูเขาในภาพวาดพู่กันจีนมาตั้งแต่ยุคอดีตจนมีคำกล่าวที่ว่า “กลับจากภูเขาทั้งห้าจะไม่มองภูเขาลูกอื่น กลับจากหวงซานจะไม่มองภูเขาทั้งห้า” และยกให้หวงซานเป็นราชาแห่งขุนเขาจีน
ด้วยความที่เป็นการเดินทางไปประเทศจีนเป็นครั้งแรก ประกอบกับ “ความจีน” ที่เราเคยพบเจอตามที่เที่ยวต่าง ๆ ในไทยที่เป็นที่นิยมของบรรดาพี่จีนเค้า เราก็เผื่อใจทริปนี้ไว้พอสมควรแต่ไม่กังวลเรื่องการเดินมากเพราะเราเคยเดินที่สาหัสกว่านี้มาแล้ว จึงไม่คาดหวังความสะดวกสบายจากทริปนี้มากนัก ตัดเรื่องอาหารการกินและที่หลับนอนไปเพราะข้างบนนั้นเราจะกินนอนกันในโรงแรม แต่เอาจริงๆ เราก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะเป็นโรงแรมดีอะไรมากมายนักแต่ก็ไม่น่าจะไม่เป็นปัญหามากมายเช่นกัน การเตรียมตัวก็จัดเหมือนไปเทรคที่เนปาล ในเมื่อข้าวของก็พร้อมแล้ว ใจก็พร้อม ที่เหลือก็ฝากไ้ว้กับดวงของเราและดวงของเพื่อนร่วมทริปนี้
ตัดภาพไปเราสองคนนั่งอยู่ในกระเช้ากระจกใส (ที่ก็ไม่ใสสักเท่าไร) ค่อยๆ ลอยสูงขึ้น ฝ่าชั้นเมฆหมอกขาวรอบด้านด้วยใจที่ระทึกว่าข้างบนก็จะขาวโพลนแบบนี้ไหมวะ เพราะแค่กระเช้าข้างหน้าเราก็มองไม่เห็นกันแล้ววว (=. =)! แต่ทันทีที่กระเช้าพาเราลอยพ้นชั้นหมอกสีขาวรอบตัวเรานั้นหัวใจเราก็พองโตกับวิวที่เห็น ทิวเขาน้อยใหญ่กระจายอยู่เต็มพื้นที่ มีเมฆหมอกลอยละเลียดปกคลุมอยู่ทั่วไปบนยอดเขาใหญ่น้อย บ้างก็ปกคลุมด้วยทิวต้นสนไร้ใบที่ขาวโพลนไปด้วยเกล็ดหิมะ แซมด้วยริ้วเมฆอมส้มนวลจากแสงแดดที่สาด วิวตรงหน้าแทบจะครบทุกอย่างที่อยากเจอแล้วจริงๆ ทำให้เราตั้งตัวสำหรับการต้อนรับจากหวงซานกันแทบไม่ทัน คำกล่าวที่ว่า "ไปหวงซานจะไม่มองเขาไหนอีก" ก็ไม่ได้โอเว่อร์ไปเลยสักนิด สวยจริง ๆ โคตรสวยเลยแหละ เจอกันแค่ไม่กี่นาทีเราก็คิดกันแล้วว่าครั้งเดียวไม่พอแน่นอน !!!
เราทุกคนค่อยๆ ละเมียดชื่นชมความงามตรงหน้ากันนานและรัวชัตเตอร์กันยับ แม้ว่าเจอร์รี่ (หนุ่มแว่นไกด์ท้องถิ่นหน้าตาเรียบร้อยแบบเด็กแก่เรียน) จะบอกเรากึ่งเร่งนิดๆ เพราะกำลังจะมืดแล้วว่า "This view is so so ! Inside more beautiful" ก็ไม่ทำให้เราทุกคนเบามือที่รัวชัตเตอร์ลงได้จริงๆ เรียกว่าเพลินกันจนลืมความหนาวเย็นที่ยะเยือกอยู่รอบตัว เหมือนอยู่ในช่องแช่แข็งในตู้เย็นเลย เอาจริงๆ กลับมานั่งนึกกันตอนจบทริป เย็นวันนั้นเป็นวันที่ดีที่สุดในทริปแล้วทั้งหมด 5 คืนบนเขา ถ้าเราไม่ดื้อดึงแล้วรีบเดินตามไกด์บอกเราคงเสียใจไม่น้อยเพราะอีก 2 วันต่อมาเราก็ต้องผิดหวังเพราะเจอทั้งฝนและหมอกฟุ้งเกินกว่าจะมองเห็นวิวข้างหน้าได้ ทำให้เราพลาดมุมสวยๆ หลายๆมุมฝั่งตะวันออกไป แต่ก็ยังดีที่ตอนที่เดินย้ายไปฝั่งตะวันตกอีก 2 วันสุดท้ายฟ้าก็ยังเป็นใจ
เราทึ่งกับเรื่องการจัดการอุทยานของจีนเป็นอย่างมาก เพราะทุกอย่างถูกควบคุมโดยรัฐบาลจีน 100% นั่นทำให้ระบบจัดการของเขาหวงซานที่มีความเป็นระบบระเบียบสูงมาก ตั้งแต่จุดจอดที่เราต้องแสกนกระเป๋าก่อนยกขึ้นรถบัสของอุทยานไปยังจุดขึ้นกระเช้า รถบัสสภาพใหม่ สะอาด และที่สำคัญอุ่นมาก (ข้อนี้เลิฟสุดๆ สำหรับที่ที่อุณหภูมิติดลบต้นๆ) เมื่อถึงจุดขึ้นกระเช้าก็มีเจ้าหน้าที่คอยยืนคุมดูแลกำกับเช่นเดียวกับปลายทาง ที่นั่นจะมีเจ้าหน้าที่อีกส่วนดูแลเรื่องลูกหาบ โดยเขาจะมายกแล้วแยกกระเป๋าออกเป็นกองตามน้ำหนัก ในราคาค่าหาบที่แตกต่างกัน เมื่อจ่ายเงินแล้วเหล่าลูกหาบก็จะเข้ามาจัดการกับสัมภาระทันที ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกโกงแต่อย่างใดเพราะมีเจ้าหน้าที่ควบคุมราคาเพียงคนเดียว เจ้าหน้าที่เป็นพนักงานของรัฐแต่ลูกหาบจะได้ค่าจ้างตามน้ำหนัก ซึ่งได้เพียง 15% เท่านั้น ดังนั้นที่ปลายทางก็จะเจอภาพที่บรรดาลูกหาบจะนั่งรอ (ทวง) ทิปกันแบบไม่ได้ไม่ไปเลยทีเดียว
แม้ว่าทริปนี้นอนบนเขาเราโรงแรมตลอดทริป ซึ่งจะประมาณ 3 - 4 ดาว แต่เราก็คิดว่าเฉพาะโรงแรมในเมือง โรงแรมบนเขาก็คงพออยู่ได้ไม่ได้สะดวกสบายอะไรมาก เราแอบจินตนาการด้วยซ้ำว่าน่าจะคล้ายๆ กับที่เนปาล (อาจจะดีกว่าหน่อยด้วยความจีน) ...แต่ แต่ แต่ หลังจากที่เราเดินเลาะตามทางเดิน บันไดที่คดเคี้ยวไปตามรูปร่างเขา ลัดเลาะไปเรื่อยๆ จนมาถึงโรงแรมที่เราจะพักเราถึงกับตกใจกับโรงแรมที่อยู่ตรงหน้า เพราะว่าเป็นระดับ 4 ดาวจริงๆ แกรนด์มากทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและภายในนั้นสบายเสียจนลืมไปเลยว่าอยู่บนเขาที่มีระดับความสูงเกือบสองพันเมตร จะมีสักกี่ครั้งที่เราได้กินโต๊ะจีนฟูลคอร์สกันทุกมื้อที่ความสูงนั้น นอกจากนั้นทุกโรงแรมจะมีเมนูกุ้งแชบ๊วยต้มเป็นหนึ่งในเมนูทุกมื้ออาหาร เอาเป็นว่าการไปหวงซานนั้นทำให้เราได้กินกุ้งเยอะกว่าตอนอยู่ไทยเสียอีก
สิ่งที่เรารู้สึกชื่นชมรัฐบาลของจีนมากๆ เลยก็คือ ความพยายามในการควบคุมมลพิษและขยะบนเขา เพื่อรักษาธรรมชาติให้สมบูรณ์ที่สุด รัฐบาลไม่อนุญาตให้ซักล้างใดๆ บนเขาเลย ของทุกอย่างตั้งแต่วัตถุดิบอาหาร ผ้าเช็ดตัว หรือผ้าปูเตียง ต้องขนจากข้างล่างขึ้นไป และขนลงมาซักข้างล่างทุกวัน ส่วนขยะก็จัดเตรียมจุดทิ้งขยะกระจายทั่วไปทุกจุด จุดทิ้งขยะก็สร้างให้มีความกลมกลืนไปกับทิวทัศน์ของภูเขาอีกด้วย จนบางทีไม่แน่ใจว่านั่นถังขยะหรือว่ากองหินกันแน่ และมีเจ้าหน้าที่คอยเดินเก็บตลอดทั้งวัน (ย้ำว่าทั้งวันจริงๆ) และขนลงไปทิ้งยังด้านล่าง จึงทำให้พบเห็นเศษขยะข้างบนน้อยมาก ถือเป็นความสำเร็จในการจัดการที่ต้องชื่นชม โคตรเจ๋งเลย
ที่สุดของความทึ่งและอึ้งคือ การก่อสร้างเส้นทางทั้งหมดบนเขาหวงซาน ทางเดินตลอดเส้นทาง ไปยังทุกจุดบนหวงซานเป็นหินที่ไม่ใช้แค่เรียบเดินง่าย แต่ยังมีความประณีตสวยงาม ไม่ได้ทำๆ ไปพอให้ได้ชื่อว่าทำและปล่อยรกร้าง ผุพัง แต่คือยังดูแลรักษาเป็นอย่างดี คือเอาเป็นว่าเดินไปรวมๆ ทั้งทริปก็เยอะ แต่ไม่เจอเลยว่าตรงจุดไหนที่ทางเดินชำรุด และที่สำคัญคือสิ่งที่พี่จีนเค้าสร้างมันแทรกตัวอยู่กับสิ่งที่ธรรมชาติสร้างได้อย่างแนบเนียนไม่จนเราไม่รู้สึกว่ามันมากเกินไป ยิ่งได้มาหาข้อมูลรวมถึงถามไกด์ท้องถิ่นถึงประวัติความเป็นมาแล้วก็ทำให้แต่ทึ่งในความยิ่งใหญ่ของพี่จีน เจอแบบนี้ไปก็เชื่อแล้วแหละว่าจีนสร้างได้ทุกอย่างจริงๆ
ท้ายที่สุดคำร่ำลือกันเรื่องห้องน้ำ จากประสบการณ์เท่าที่ได้ใช้บริการ ถึงแม้จะเป็นห้องน้ำสารธารณะระหว่างจุดพักรถ หรือแม้แต่บนเขาก็โคตรดี ดีจริงๆ ถ้าเทียบกับห้องน้ำตาม อุทยานฯ บ้านเรา เรียกได้ว่านำหน้าอยู่หลายช่วงตัว ไม่ได้แย่อย่างที่จินตนาการไว้เลย จริง ๆ ใช่คำว่าไม่แย่ไม่ได้เพราะมันโคตรดีย์ !!! กว่าที่คิดเยอะจริงๆ เรื่องที่ลำบากเรื่องเดียวคงจะหนีไม่พ้นเรื่องภาษา ที่การสื่อสาร ประสานงานถ้าไม่มีไกด์คอยช่วยยอมรับว่าจะลำบากพอตัวเลย แต่โดยรวมก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรที่แย่จนเรารับไม่ได้ (ในรูปแบบการเที่ยวแบบเราที่ กินอิ่ม นอนอุ่น เที่ยวสนุกแค่นั้น)
โดยสรุปทริปนี้มุมมองต่อประเทศจีนที่เปลี่ยนไปของเราทั้งคู่ คนจีนเอง เอาจริง ๆ ก็ไม่ได้เป็นแบบคนจีนที่เราเจอๆ กันตามในเมืองไทย หลายๆ อย่าง หลายๆ พฤติกรรมคนเค้าเองก็มีปรับเปลี่ยน ถึงแม้จะด้วยเจ้าหน้าที่หรือเทคโนโลยีก็เถอะ แต่ก็เห็นได้ว่าแนวโน้มน่าจะดีขึ้นไป หลายๆ เทคโนโลยี หลาย ๆ สิ่งก่อสร้าง แนวคิด วิธีการและการอยู่ร่วม และใช้ธรรมชาติทำให้เห็นว่าจีนสามารถทำอะไร และจะทำอะไรได้มากอีกแค่ไหนในอนาคตอย่างแน่นอน
ตามที่ไกด์ท้องถิ่นบอก เรากล่าวลาเขาหวงซานเป็นภาษาจีนว่า "zaijian" (แปลว่าลาก่อน) เพราะหวังว่าสักวันเราอาจจะได้กลับไปเยือนอีกหลายครั้งแน่นอน!!
-----คำแนะนำของการเดินทาง-----
#การไป
ออกเดินทางจากเมืองไทยด้วยสายการบิน Air China (ประมาณ 13K) เวลาดึกค่อนไปทางเช้าสู่สนามบินหางโจวประเทศจีนเวลาสาย จากนั้นก็ต้องนั่งรถบัสออกนอกเมืองอีก 5 - 6 ชั่วโมง รวมเวลาพักกินข้าว (ช่วงที่เราไปอาจจะรถติดหน่อยเพราะใกล้ช่วงตรุษจีน คนเลยทะยอย ๆ กลับบ้าน) เพื่อเปลี่ยนเป็นรถบัสของอุทยานต่อไปยังจุดขึ้นกระเช้า รวมๆ แล้วใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมงนับจากลงเครื่องจนเหยียบแผ่นดินจีนครั้งแรกไปถึงเหยียบหวงซานครั้งแรก เห็นบางคนที่มาเองก็บอกว่าสามารถเหมารถจากสนามบินหางโจวมาที่จุดต่อรถบัสไปกระเช้าได้เหมือนกัน แต่ไม่รู้นะว่าเท่าไหร่
#การเดิน
ถ้าเคยเขาในไทย หรือเนปาลมาแล้วบอกเลยว่าการเดินทางบนหวงซานด้วยสองขานั้น ส่วนตัวเราบอกเลยว่าโคตรสบายประดุจไปทริปทัศนศึกษา ทางเดินสบายเป็นทางเดินหินและบันไดหินที่ทำขึ้นตลอดทาง ไปทุกจุดชมวิว แต่ที่จะทรมานหน่อยก็คือถ้าไปหน้าหนาวเนี่ยแหละ ถ้าไม่มีแดดมันจะหนาวมากๆ ไม่เหมือนกันเนปาลที่ตอนเดินยังพอมีเหงื่อออกบ้าง แต่นี่คือยะเยือกจริงๆ และถ้าต้องแบกเป้ แบกกล้อง เลนส์ ขาตั้งเองก็ต้องฟิตร่างกายมาหน่อย ส่วนสัมภาระอื่นๆ ถ้าไม่อยากแบกเองก็มีลูกหาบให้บริการ แต่ค่าบริการก็จะขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่ยกด้วยความรู้สึก (อาจจะขนาดกระเป๋าด้วย) และระยะทางที่จะใช้ อย่างที่เราไปทริปนี้จะมีลูกหาบอยู่ 3 ช่วง
Yungu Cable Car - Beihai Hotel 50-100 หยวน
Beihai Hotel - Baiyun Hotel 100-200 หยวน
Baiyun Hotel - Yungu Cable Car 100-150 หยวน
#การกิน
อย่างที่เชิดชูในความทุ่มทุนสร้างของพี่จีนเค้า โรงแรมที่อยู่บนเขานั้นโคตรดีย์ ดีเกินเรื่อง ดีเกินหน้าเดินตากินโต๊ะจีนบุปเฟ่ต์ทุกมื้อ กินเข้าไปเลยตามแต่จะยัดลงไปได้ คาว หวาน หลากหลายสัญชาติครบถ้วน ไม่ใช่อาหารจีนมันๆ เลี่ยนๆ แน่นอน
#การนอน
อย่างที่เชิดชูในความทุ่มทุนสร้างของพี่จีนเค้า (อีกครั้ง) เรื่องการนอนไม่ต้องเป็นกังวลเลย เพราะในห้องพักของโรงแรมมีฮีตเตอร์ที่อุ่นจนร้อนเอาอยู่แน่นอน ไม่ว่าข้างนอกจะหนาวแค่ไหน แถมสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างที่จำเป็นต้องมี ต้องใช้เรียกได้ว่าครบถ้วนทุกสิ่งอย่าง (เผลอๆ ดีกว่าเวลาเราไปเที่ยวเองในไทยด้วยซ้ำ ฮา) ปลั๊กไฟก็ไม่ต้อง