✝️ เมื่อพระเยซูถูกท้าทายด้วยกฎหมายที่ขัดหลักศาสนา ✝️
(มัทธิว 22:15-21)
ครั้งนั้น ชาวฟาริสีปรึกษากันเพื่อจับผิดพระวาจาของพระเยซูเจ้า จึงส่งศิษย์ของตนพร้อมกับคนที่เป็นฝ่ายของกษัตริย์เฮโรดมาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์ พวกเรารู้ว่าท่านเป็นคนเที่ยงตรง สั่งสอนวิถีทางของพระเจ้าตามความจริง โดยไม่ลำเอียง เพราะท่านไม่เห็นแก่หน้าใคร ดังนั้น โปรดบอกเราเถิดว่า ท่านมีความเห็นว่าการเสียภาษีแก่พระจักรพรรดิซีซาร์เป็นการถูกต้องหรือไม่” พระเยซูเจ้าทรงหยั่งรู้เจตนาร้ายของเขา จึงตรัสว่า “พวกคนเจ้าเล่ห์ เจ้ามาทดลองเราทำไม จงนำเงินที่ใช้เสียภาษีมาให้ดูสักเหรียญหนึ่ง” เขาก็นำเงินเหรียญมาถวาย พระองค์จึงตรัสถามว่า “รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร” เขาตอบว่า “เป็นของพระจักรพรรดิซีซาร์” พระองค์จึงตรัสว่า “ของของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด”
-------------------------------------------
ศาสนายิวคือศาสนาของชนชาติยิว และชาวยิวปกครองประเทศและพลเมืองด้วยหลักศาสนา ปัจจุบันโลกส่วนใหญ่ไม่เห้นด้วยกับการใช้กฎศาสนามาเป็นกฎหมายประเทศ แต่ เรายังเห็นตัวอย่างการทำแบบนี้ในประเทศในตะวันออกกลางบางแห่ง
ในยุคสมัยพระเยซู โรมันปกครองอิสราเอล และชาวยิวต้องเสียภาษีให้โรมัน แต่สำหรับชาวยิวที่เคร่งครัดศาสนาพวกเขาถือว่าพระเจ้าคือกษัตริย์แต่เพียงพระองค์เดียวของพวกเขา การเสียภาษีให้ซีซาร์จึงเป็นการละเมิดสิทธิของพระเจ้า
ฟาริสี คือกลุ่มคนดีและเคร่งครัดถูกต้องในศาสนาเป็นพิเศษ(ในความคิดของพวกเขาเอง) พวกเขาเกลียดชังโรมันและพวกเขาก็เกลียดชังพระเยซู และพลังความเกลียดของพวกเขาก็ทำให้ไม่ลังเลที่จะยืมมือศัตรูฝ่ายหนึ่งหนึ่งมาทำลายสิ่งที่ตัวเกลียดอีกฝ่ายหนึ่ง
พวกเขาลากเอา ปัญหากฎหมายที่ขัดหลักศาสนา มาตั้งคำถามอันเป็น"คำถามกับดัก"ที่มุ่งเน้นสู่การทำลายพระเยซูเพราะการตอบ "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" ล้วนนำหายนะมาสู่พระเยซูเอง
ถ้าพระเยซูตอบว่า "ใช่" ต้องเสียภาษีให้โรมัน พวกเขาจะประณามพระเยซูว่าขาย
ช้า ทรยศพระเจ้า เหมือนที่เขาถือว่าคนเก็บภาษีเป็นคนบาปเป็นชายชั่วขายชาติ อยู่ในระดับเดียวกับโสเภณี หญิงชั่วขายตัว ที่ต้องตกนรกหมกไหม้
ถ้าพระเยซูตอบว่า "ไม่" ไม่ต้องเสียภาษีให้โรมัน เขาจะเรียกทหารโรมันมาจับพระเยซูฐานกบฎและละเมิดกฎหมาย
พวกเขาคงคิดว่าพวกตัวฉลาดกันมากที่ไม่ว่าตอบอะไร ก็ พาคนตอบให้ไปสู่ทางพังพินาศทางใดทางหนึ่ง
แต่สิ่งที่พระเยซูทำคือสิ่งที่ชาวยิวยุคนั้นจินตนาการไม่ออกเลย เพราะมันคือสภาวะทั่วไปในโลกยุคปัจจุบัน2000ปีต่อมา คือ แยกการเมือง ออกจากศาสนา แล้วปัญหานั้นจะหมดลงทันที
พระเยซูไม่ตอบว่า ใช่ หรือว่า ไม่ แต่ทรงสอนหลักการใหม่ขึ้นมาเลยคือ เลิกเอากฎศาสนาไปเป็นกฎหมายบ้านเมืองได้แล้ว เพราะมันโอเค ถ้าทั้งประเทศมีคนเชื้อชาติเดียวศาสนาเดียว แบบที่ยิว"เคย"เป็นมาตลอด แต่ถ้าวันใดที่ประเทศเปลี่ยนไป กลายเป็นประเทศที่รวมคนหลากหลายศาสนาเข้าด้วยกัน วิธีเดิมๆนั้นจะกลายเป็นปัญหาทันที (เป็นปัญหาอย่างไรให้ดูบางประเทศที่เอาหลักศาสนามาเป็นกฎหมาย ในยุคปัจจุบันนี้ก็ได้)
พระเยซูตอบชัดเจนว่า ในเวลาที่ประเทศมีคนแตกต่างหลากหลายทางศาสนา คริสตชนจะมีสถานะ 2อย่าง
1เป็นพลเมืองประเทศ(ประชากรในปกครองของซีซาร์)
2เป็นคริสตชน(ลูกของพระเจ้า)
และพระเยซู ไม่ได้ให้เราละเมิดหรือล้มล้างกฎหมาย แต่ให้เราประพฤติตนในฐานะของตนให้ถูกต้องทั้งสองสถานะถ้าเทียบเคียงยุคปัจจุบันก็อย่างเช่น
ประเทศมีกฎหมายให้หย่าร้างได้ แต่คริสตชนโดยเฉพาะคาทอลิกก็ไม่เคยเปลี่ยนคำสอนว่าให้หย่าร้างได้ และทางศาสนจักรไม่ได้ยอมรับสถานะการหย่าทางกฎหมายหากเขาได้แต่งงานตามศาสนาแล้ว
ประเทศที่มีการค้าประเวณีถูกกฎหมาย คริสตชนถ้าไปทำอาชีพนี้ อาจถูกกฎหมาย แต่ก็ยังคงไม่ถูกหลักศาสนาศาสนาก็ไม่รับรองหรือสนับสนุนให้สมาชิกไปทำแต่อย่างใด
ประเทศที่ไม่ได้ห้ามขายหมู ถ้าคุณเป็นมุสลิม คุณแค่ไม่ไปซื้อไปกินหมู
ประเทศที่ยังมีขายเหล้า ถ้าคุณเป็นพุทธ ไม่ต้องการผิดศีล ก็ไม่ต้องไปซื้อเหล้าดื่ม
เพราะกฎหมายประเทศไม่ได้มีหน้าที่สอนให้คนทำดี หรือเป็นคนดีตามหลักศาสนาใดศาสนาหนึ่ง
กฎหมายประเทศ มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย ของคนทุกศาสนา(และแม้ไม่มีศาสนา)ในประเทศนั้น ทำหน้าที่ควบคุมการละเมิด และรองรับการปฏิบัติที่ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น ของทุกคนทุกศาสนารวมไปถึงคนไม่มีศาสนา เพื่อทุกคนจะอยู่ร่วมกันในความแตกต่างหลากหลายได้อย่างสงบสันติ
ดังนั้นเป็นธรรมดามาก หากมีกฏหมายที่ออกมาเพื่อรองรับคนศาสนาอื่นที่ไม่ใช่ศาสนาของเรา ในเมื่อเราอยู่ในประเทศที่มีหลากหลายศาสนา และโดยเฉพาะเป็นประเทศ ที่มีหลักว่าจะแยกกฎหมายประเทศ ออกจากกฎศาสนา จะเป็นธรรมดามากที่เราจะพบว่ามีกฎหมายของประเทศสักข้อสองข้อที่ขัดหลักศาสนาของเรา
พระเยซูปฏิวัติวิธีคิดของชาวยิวยุคนั้นที่คิดว่า "กฏศาสนาคือกฎหมายประเทศ" นี่คือหลักการที่ล้ำสมัยมากในยุค2000ปีก่อน ในเวลาต่อมา นักเทววิทยา และนักปราชญ์พระศาสนจักรจำนวนมาก เช่น น.ออกัสติน น.โธมัส อไควนัส ล้วนเสนอหลักการเดียวกันคือ ควรแยกการปกครองประเทศกับการปกครองศาสนาออกจากกัน แม้ในประวัติศาสตร์เราจะพบว่าหลักการนี้ ถูกล่วงละเมิดบ้างบางช่วงเวลา เราก็เห็นจากประวัติศาสตร์เช่นกันว่า ในเวลาที่ศาสนาเข้ายุ่งวุ่นวายกับการเมืองมากเกินไป เป็นช่วงที่ศาสนาดูเสื่อมเสียเสมอ
ในยามที่คริสตชนพบปัญหาการขัดแย้งระหว่างกฎหมายและกฎศาสนา เรายึดหลักการที่พระเยซูสอนไว้ได้เสมอ
“ของของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด”
cr. www.facebook.com/holysmn
CR. :
https://www.facebook.com/100000534736435/posts/2476956458998821/?d=n
✝️ เมื่อพระเยซูถูกท้าทายด้วยกฎหมายที่ขัดหลักศาสนา ✝️
(มัทธิว 22:15-21)
ครั้งนั้น ชาวฟาริสีปรึกษากันเพื่อจับผิดพระวาจาของพระเยซูเจ้า จึงส่งศิษย์ของตนพร้อมกับคนที่เป็นฝ่ายของกษัตริย์เฮโรดมาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์ พวกเรารู้ว่าท่านเป็นคนเที่ยงตรง สั่งสอนวิถีทางของพระเจ้าตามความจริง โดยไม่ลำเอียง เพราะท่านไม่เห็นแก่หน้าใคร ดังนั้น โปรดบอกเราเถิดว่า ท่านมีความเห็นว่าการเสียภาษีแก่พระจักรพรรดิซีซาร์เป็นการถูกต้องหรือไม่” พระเยซูเจ้าทรงหยั่งรู้เจตนาร้ายของเขา จึงตรัสว่า “พวกคนเจ้าเล่ห์ เจ้ามาทดลองเราทำไม จงนำเงินที่ใช้เสียภาษีมาให้ดูสักเหรียญหนึ่ง” เขาก็นำเงินเหรียญมาถวาย พระองค์จึงตรัสถามว่า “รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร” เขาตอบว่า “เป็นของพระจักรพรรดิซีซาร์” พระองค์จึงตรัสว่า “ของของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด”
-------------------------------------------
ศาสนายิวคือศาสนาของชนชาติยิว และชาวยิวปกครองประเทศและพลเมืองด้วยหลักศาสนา ปัจจุบันโลกส่วนใหญ่ไม่เห้นด้วยกับการใช้กฎศาสนามาเป็นกฎหมายประเทศ แต่ เรายังเห็นตัวอย่างการทำแบบนี้ในประเทศในตะวันออกกลางบางแห่ง
ในยุคสมัยพระเยซู โรมันปกครองอิสราเอล และชาวยิวต้องเสียภาษีให้โรมัน แต่สำหรับชาวยิวที่เคร่งครัดศาสนาพวกเขาถือว่าพระเจ้าคือกษัตริย์แต่เพียงพระองค์เดียวของพวกเขา การเสียภาษีให้ซีซาร์จึงเป็นการละเมิดสิทธิของพระเจ้า
ฟาริสี คือกลุ่มคนดีและเคร่งครัดถูกต้องในศาสนาเป็นพิเศษ(ในความคิดของพวกเขาเอง) พวกเขาเกลียดชังโรมันและพวกเขาก็เกลียดชังพระเยซู และพลังความเกลียดของพวกเขาก็ทำให้ไม่ลังเลที่จะยืมมือศัตรูฝ่ายหนึ่งหนึ่งมาทำลายสิ่งที่ตัวเกลียดอีกฝ่ายหนึ่ง
พวกเขาลากเอา ปัญหากฎหมายที่ขัดหลักศาสนา มาตั้งคำถามอันเป็น"คำถามกับดัก"ที่มุ่งเน้นสู่การทำลายพระเยซูเพราะการตอบ "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" ล้วนนำหายนะมาสู่พระเยซูเอง
ถ้าพระเยซูตอบว่า "ใช่" ต้องเสียภาษีให้โรมัน พวกเขาจะประณามพระเยซูว่าขายช้า ทรยศพระเจ้า เหมือนที่เขาถือว่าคนเก็บภาษีเป็นคนบาปเป็นชายชั่วขายชาติ อยู่ในระดับเดียวกับโสเภณี หญิงชั่วขายตัว ที่ต้องตกนรกหมกไหม้
ถ้าพระเยซูตอบว่า "ไม่" ไม่ต้องเสียภาษีให้โรมัน เขาจะเรียกทหารโรมันมาจับพระเยซูฐานกบฎและละเมิดกฎหมาย
พวกเขาคงคิดว่าพวกตัวฉลาดกันมากที่ไม่ว่าตอบอะไร ก็ พาคนตอบให้ไปสู่ทางพังพินาศทางใดทางหนึ่ง
แต่สิ่งที่พระเยซูทำคือสิ่งที่ชาวยิวยุคนั้นจินตนาการไม่ออกเลย เพราะมันคือสภาวะทั่วไปในโลกยุคปัจจุบัน2000ปีต่อมา คือ แยกการเมือง ออกจากศาสนา แล้วปัญหานั้นจะหมดลงทันที
พระเยซูไม่ตอบว่า ใช่ หรือว่า ไม่ แต่ทรงสอนหลักการใหม่ขึ้นมาเลยคือ เลิกเอากฎศาสนาไปเป็นกฎหมายบ้านเมืองได้แล้ว เพราะมันโอเค ถ้าทั้งประเทศมีคนเชื้อชาติเดียวศาสนาเดียว แบบที่ยิว"เคย"เป็นมาตลอด แต่ถ้าวันใดที่ประเทศเปลี่ยนไป กลายเป็นประเทศที่รวมคนหลากหลายศาสนาเข้าด้วยกัน วิธีเดิมๆนั้นจะกลายเป็นปัญหาทันที (เป็นปัญหาอย่างไรให้ดูบางประเทศที่เอาหลักศาสนามาเป็นกฎหมาย ในยุคปัจจุบันนี้ก็ได้)
พระเยซูตอบชัดเจนว่า ในเวลาที่ประเทศมีคนแตกต่างหลากหลายทางศาสนา คริสตชนจะมีสถานะ 2อย่าง
1เป็นพลเมืองประเทศ(ประชากรในปกครองของซีซาร์)
2เป็นคริสตชน(ลูกของพระเจ้า)
และพระเยซู ไม่ได้ให้เราละเมิดหรือล้มล้างกฎหมาย แต่ให้เราประพฤติตนในฐานะของตนให้ถูกต้องทั้งสองสถานะถ้าเทียบเคียงยุคปัจจุบันก็อย่างเช่น
ประเทศมีกฎหมายให้หย่าร้างได้ แต่คริสตชนโดยเฉพาะคาทอลิกก็ไม่เคยเปลี่ยนคำสอนว่าให้หย่าร้างได้ และทางศาสนจักรไม่ได้ยอมรับสถานะการหย่าทางกฎหมายหากเขาได้แต่งงานตามศาสนาแล้ว
ประเทศที่มีการค้าประเวณีถูกกฎหมาย คริสตชนถ้าไปทำอาชีพนี้ อาจถูกกฎหมาย แต่ก็ยังคงไม่ถูกหลักศาสนาศาสนาก็ไม่รับรองหรือสนับสนุนให้สมาชิกไปทำแต่อย่างใด
ประเทศที่ไม่ได้ห้ามขายหมู ถ้าคุณเป็นมุสลิม คุณแค่ไม่ไปซื้อไปกินหมู
ประเทศที่ยังมีขายเหล้า ถ้าคุณเป็นพุทธ ไม่ต้องการผิดศีล ก็ไม่ต้องไปซื้อเหล้าดื่ม
เพราะกฎหมายประเทศไม่ได้มีหน้าที่สอนให้คนทำดี หรือเป็นคนดีตามหลักศาสนาใดศาสนาหนึ่ง
กฎหมายประเทศ มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย ของคนทุกศาสนา(และแม้ไม่มีศาสนา)ในประเทศนั้น ทำหน้าที่ควบคุมการละเมิด และรองรับการปฏิบัติที่ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น ของทุกคนทุกศาสนารวมไปถึงคนไม่มีศาสนา เพื่อทุกคนจะอยู่ร่วมกันในความแตกต่างหลากหลายได้อย่างสงบสันติ
ดังนั้นเป็นธรรมดามาก หากมีกฏหมายที่ออกมาเพื่อรองรับคนศาสนาอื่นที่ไม่ใช่ศาสนาของเรา ในเมื่อเราอยู่ในประเทศที่มีหลากหลายศาสนา และโดยเฉพาะเป็นประเทศ ที่มีหลักว่าจะแยกกฎหมายประเทศ ออกจากกฎศาสนา จะเป็นธรรมดามากที่เราจะพบว่ามีกฎหมายของประเทศสักข้อสองข้อที่ขัดหลักศาสนาของเรา
พระเยซูปฏิวัติวิธีคิดของชาวยิวยุคนั้นที่คิดว่า "กฏศาสนาคือกฎหมายประเทศ" นี่คือหลักการที่ล้ำสมัยมากในยุค2000ปีก่อน ในเวลาต่อมา นักเทววิทยา และนักปราชญ์พระศาสนจักรจำนวนมาก เช่น น.ออกัสติน น.โธมัส อไควนัส ล้วนเสนอหลักการเดียวกันคือ ควรแยกการปกครองประเทศกับการปกครองศาสนาออกจากกัน แม้ในประวัติศาสตร์เราจะพบว่าหลักการนี้ ถูกล่วงละเมิดบ้างบางช่วงเวลา เราก็เห็นจากประวัติศาสตร์เช่นกันว่า ในเวลาที่ศาสนาเข้ายุ่งวุ่นวายกับการเมืองมากเกินไป เป็นช่วงที่ศาสนาดูเสื่อมเสียเสมอ
ในยามที่คริสตชนพบปัญหาการขัดแย้งระหว่างกฎหมายและกฎศาสนา เรายึดหลักการที่พระเยซูสอนไว้ได้เสมอ
“ของของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด”
cr. www.facebook.com/holysmn
CR. : https://www.facebook.com/100000534736435/posts/2476956458998821/?d=n