ถ้าไม่ว่าง หรือ ขี้เกียจอ่านเองมาฟังผมเล่าได้นะครับ
https://youtu.be/FFEfPXDFt1w
คุณเคยมีประสบการณ์ ที่บ่งบอกว่ามีคนบุกเข้ามาในบ้านคุณไหม และคุณก็คิดว่า “ไม่รู้ดีกว่า”แล้วก็ปล่อยมันไป.
บางครั้งการปล่อยไห้กลัวในสิ่งที่ไม่รู้ก็เป็นทางเลือกที่ดีกว่าการเจอกับความจริงที่โหดร้าย.
ปกติมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก.
มีอยู่ครั้งนึง อยู่ดีๆโทรสัพบ้านที่อยู่ชั้นล่างของผมก็กดโทรออกเอง ทั้งๆที่ผมอยู่ข้างบนคนเดียว.
อีกครั้งก็ตอนที่ผมกลับห้องมา และ เห็นว่าของที่วางบนโต้ะมันหายไปเอง.
ที่จริงมันคงเป็นเพราะความจำอันกระจัดกระจายของผมเอง.
แต่เป็นคุณ คุณจะทำยังไงถ้าเหตุการมันถูกอธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้.
คุณจะวิ่งหนี หรือ ทำเป็นไม่สนใจมัน แบบที่ผมทำ.
วันจันทร์ที่แล้วมันเป็นวันปกติ.
ผมตื่น, แปรงฟัน และ ไส่ชุดนักเรียน... กิจวัตรตอนเช้าปกติของผม.
มันเหมือนจะเป็นวันที่น่าเบื่ออีก 1 วัน, จนผมเห็นเส้นด้าย.
มันมี 3 ถึง 4 เส้นบางๆอยู่ในห้องของผม มันพันกันระหว่างเตียง ไปจนถึงกำแพง หนึ่งอันติดอยู่ที่ประตู.
มันเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะไม่เคยเห็นมันมาก่อน ผมควรจะสะดุดมันด้วยซ้ำ.
มันถูกมัดอยู่กับตะปูที่ติดอยู่บนกำแพง ที่ผมไม่ได้เห็นมันตรงนั้นเมื่อ 10วินาทีที่แล้ว.
เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนเข้ามาในห้องผม และมามัดมันในระหว่างที่ผมอยู่ในห้อง.
แต่ผมพึ่งตื่น สมองผมมันยังคงเบลอๆอยู่ ผมจึงไม่คิดมาก.
ผมแก้มัดมันและออกไปโรงเรียน ปล่อยเส้นวางกองอยู่ที่โต้ะ.
ก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลย เพราะตอนผมออกไปข้างนอกบ้าน ผมก็เห็นเส้นด้ายอีก 100 กว่าอัน ถูกมัดอยู่ระหว่างบ้าน รถและ รอบๆถนน...
นี่อาจเป็นการแกล้งจากรายการทีวี พวกรายการที่เอากล้องมาซ่อนแล้วแอบดูปฏิกิริยาของคน.
พวกเขาน่าจะจ้างนักแสดงมาด้วย เพราะผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็ถูกด้ายมัดอยู่ เหมือนกำลังถูกเส้นด้ายจูงไปที่ไหนซักที่.
ผมนั่งรถไปโรงเรียนอย่างกังวลใจ.
ในรถบัส ทุกคน ยกเว้นผม ถูกด้ายมัดผูกกับประตู.
ที่โรงเรียนกลุ่มเพื่อนฝูงก็ถูกเส้นด้ายมัดผูกอยู่ด้วยกัน อาจารย์ก็ถูกด้ายผูกต่อกับโต้ะและกระดาน.
ถึงจะผิดปกติ แต่ตอนนี้ผมก็เริ่มรู้สึกว่า ทำไมผมเหมือนเป็นคนเดียวที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้.
lucy เพื่อนสนิทผม นั่งข้างๆผมตอนคาบแรก อยู่ดีๆเธอก็เอากระเป๋ามาวางไว้บนตักผม และ เอามือเท้าคางตัวเองพร้อมกับมองไปที่หน้าต่าง.
“เฮ้ย Lucy”
เธอไม่ตอบ
“อย่าบอกนะ ว่าเธอก็โดนไปกับเขาด้วย”
เธอถอนหายใจ และ เริ่มหยิบหนังสือออกจากกระเป๋าเธอ.
หนังสือทุกเล่มถูกด้ายผูกอยู่กับมือของเธอ. ผมยิ้ม และกระชากเส้นนึงออกไปจากหนังสือ.
เธอเหมือนจะไม่รู้สึกตัว ปล่อยไห้หนังสือมันร่วงไปบนพื้นโดยไม่เอ้ะใจเลยซักนิด.
“เอ่อ” ผมก้มลงไปบนพื่น หยิบหนังสือของเธอขึ้นมาและวางกลับลงไปบนโต้ะ.
เธอทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น.
“ได้, จะเล่นแบบนี้ใช่ไหม” ผมยิ้ม พยายามจะทำเป็นหัวเราะ เพื่อปิดบังความกังวลของผม.
ผมกำเส้นด้ายทุกเส้นที่ติดอยู่บนตัวเธอ และดึงมันออกมาพร้อมๆกัน.
เธอกระพิบตา และหันมาจ้องหน้าผม.
“เห้ยมาติน นายเป็นนินจาหรอ”
“ฉันนั่งอยู่นี่มา 10 นาทีละ” ผมยิ้ม โล่งอกที่เพื่อนหันมาสนใจผมซักที.
“พวกเส้นด้ายนี้มันมาจากไหนกัน??” เธออึ้ง ทำเหมือนกับพึ่งเคยเห็นมันครั้งแรก
“ยังไม่คิดจะเลิกแกล้งกันอีกหรอ”
เธอลุกขึ้นยืน ค่อยถอยๆตัวเองไปที่มุมห้อง.
ไม่มีใครในห้องสนใจเลย.
“เมื่อกี้ไม่เห็นมีเลย! นายก็เห็นมันหรอ??”
น้ำเสียงเธอ ทำไห้รู้ว่าเธอกลัวจริงๆ
“เธอพึ่งรู้หร-“ คำพูดผมถูกขัดโดยเสียงประตูของอาจารย์ข้างหลังเธอ.
ทุกคนยกเว้นผมและ lucy กล่าวสวัสดีพร้อมกัน.
และเหมือนเดิมไม่มีใครสนใจพวกเราเลย.
“ไม่มีใครสนใจฉันเลย ทั้งวัน” ผมบอก lucy ก่อนที่จะหันไปตะโดนไส่อาจารย์ “เห้ยอาจารย์เฮงซวย สอนไม่เป็นก็อย่าสอนสิวะ”
ไม่มีปฏิกิริยา
“ไม่เอา, ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”
Lucy ปัดเส้นด้ายที่ขวางทางเธอ และวิ่งออกไปจากห้อง.
ผมตามเธอไป และ ก็เหมือนเดิมอีก ไม่มีใครสนใจเลย.
เรา 2 คนเดินอยู่ตรงทางเดินระหว่างห้อง.
เข้าๆออกๆบางห้องตามใจต้องการ.
ทุกครั้งที่เราดึงด้ายที่ผูกอยู่กับโต้ะและหนังสือจากคนอื่น คล้ายว่าอยู่ดีๆ มันก็หายไปจากสายตาพวกเขา.
เหมือนกับว่าสิ่งนั้นมันไม่มีอยู่ตั้งแต่แรก.
ผมพาเธอออกไปดูถนนข้างนอก.
เส้นด้ายมันมีเพิ่มขึ้นมามากกว่าเมื่อเช้าอีก... 2 เท่าได้.
เราค่อยๆหาทางเดินผ่านเส้นสายที่พันกัน เดินไปจนถึงร้านกาแฟใกล้ๆ.
อย่าว่าผมเลย.
ถ้าเป็นคุณ คุณจะทำยังไงถ้าอยู่ในสถานการณ์แบบผม.
เหมือนที่ผมเคยบอก บางทีการปลาอยไห้กลัวในสิ่งที่ไม่รู้มันเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า.
ในบางโอกาศผมก็เสนอไปกับ lucy ว่า ไห้ลองแก้มัดคนอื่นดู.
Lucy ไม่เห็นด้วย จำได้ว่าเธอเคยหวาดกลัวขนาดไหนจากการหลุดออก.
ในร้านกาแฟ พวกเราเดินไปหยิบ sandwich และ เครื่องดื่มมาจากตู้เย็น.
เราหาโต้ะ ดึงเส้นด้ายที่ผูกอยู่กับเก้าอี้ออกและ นั่งลง.
พวกเรากินกันอย่างเงียบๆ เราทั้งคู่กลัว และ พยายามทำไห้ตัวเองไม่ว่าง โดยการมองดูคนแปลกหน้าเข้าออกร้านกาแฟ ไม่ตระหนักถึงเส้นด้าย.
ผ่านไป 20 นาที Lucy พูดขึ้นมาว่า
“เดี๋ยวเธอคนนั้นจะเดินไปหยิบ Sandwich.”
เธอพูดพร้อมกับเอานิ้วไปชี้ที่ผู้หญิง ที่นั่งอยู่ห่างๆ.
และก็เป็นไปตามที่บอก เธอเดินไปที่ตู้เย็น และหยิบ sandwich ที่ถูกผูกอยู่กับเธอ
“เธอจะจ่ายตังและเดินออกจากร้าน” ก็จริง เป็นไปตามทางของเส้นด้าย.
“ผู้ชายคนนั้นจะไม่จ่ายตัง”
ผมดู เขาหยิบกาแฟของเขาและวิ่งออกไปจากร้าน พนักงานดูขี้เกียจเกินกว่าที่จะวิ่งตามเขาไป.
“นี่มันแย่จริงๆ” เธอร้องไห้.
“เราไปจากที่นี่เถอะ”
ข้างนอกก็ไม่ได้ดีกว่าเดิมเลย.
ทุกคนเดินตามเส้นทางของด้าย ใช้ชีวิตประจำวันปกติ.
Lucy บอกว่าจะกลับบ้านไปนอนไห้ลืมเรื่องพวกนี้ ผมตอบตกลงที่จะเดินไปส่งเธอ.
บ้านเธออยู่ห่างไปประมาณ 10 นาที.
พอเดินห่างจากส่วนที่วุ่นวายของเมือง เส้นด้ายก็น้อยลง.
สบายตาขึ้น เราสามารถแกล้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า.
พอเราเดินถึงถนนบ้าน lucy เธอหยุด และทำหน้าช็อค
“เป็นอะไรอีกอ่ะ” ผมส่งเสียงเบาๆ เพื่อเริ่มบทสนทนา
“ดูสิ” เธอเอานิ้วไปชี้ที่บ้านหลังนึง
ผมเห็นมันชัดมาก และจะจำมันไปจนวันตาย.
สัตว์ประหลาดตัวเล็กๆสีดำ สูงไม่ถึง 100เซ็น เดินเอามือถูพื้น เหมือนกับลิง.
มันมีลูกตาปูดๆ สองข้างสีเหลือง ที่ใหญ่พอจะคลุมหน้าของมันไปครึ่งนึงได้.
นอกเหนือจากนั้นมันไม่มีปาก หรือ อวัยวะอื่นบนใบหน้าเลย.
ผมเห็นมันถือค้อน และ ด้ายเป็นก้อนๆ ที่มันปล่อยไว้ระหว่างที่เดิน.
มันย่องเร็วๆจากประตูหน้าบ้าน ไปที่กล่องไปรษณีย์ ตอกตะปูไว้ข้างๆกล่อง และผูกด้ายเอาไว้รอบๆ.
มันหันมาเจอพวกเรา และ หยุดนิ่ง
ผมอึ้งนักกว่าเดิม หลังจากที่มันมองเราด้วยหน้าตาที่ตกใจ และสงสัย.
เหมือนกับว่ามันเป็นคนที่กลัวเองซะมากกว่า.
จู่ๆมันก็กวักมือเรียกพวกเราด้วยมือเล็กๆของมัน.
ผมหันไปมองที่ lucy เธอยังไม่ขยับ.
ผมจึงหันกลับไปมองที่มัน.
ที่กำลังจ้องหน้าผมอยู่.
ผมค่อยๆเดินเข้าไปใกล้มันเรื่อยๆ.
มันไม่ใช่ความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้อีกต่อไปแล้ว ตอนนี้มันกลายเป็นกลัวไอสัตว์ประหลาดนี่แทน.
พอผมอยู่ใกล้กับมัน, มันก็ยื่นมือออกมา.
“เอ่อ. สวัสดี” ผมจับมือทักทายมัน.
มันพยักหน้าตอบรับ พร้อมกับกระพิบตาอันใหญ่โตของมัน
“นายเป็นเจ้าของเส้นด้ายพวกนี้สินะ” มันพยักหน้าตอบ.
ผมเรียก lucy ไห้มา แต่เธอก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“ยังมีพวกแบบนายอีกหรอ” พยักหน้า.
ผมอยากถามคำถามหลายอย่างมาก มันเป็นใคร มาจากไหน แต่ดูเหมือนผมจะถามได้แต่คำถามที่ตอบใช่ กับ ไม่.
“พวกเราไม่ได้เป็นอิสระหรอกหรอ?”
มันมองมาที่ผม ทำหน้าเศร้าๆ.
พอนึกได้ผมก็รู้สึกช็อคจนจะอาเจียน.
ผมไม่สามารถที่จะมองหน้ามันได้อีกแล้ว.
ผมวิ่งไปดึง lucy ที่นั่งฟุบลงอยู่ตรงฟุตบาท หลังจากแอบฟังบทสนทนาของพวกเรา
“มาเร็วๆ”
พวกเราเข้าไปในบ้าน และผมก็ชงชาไห้เธอกิน ตอนเจอเธอที่ห้องนั่งเล่น ผมเห็นเธอนอนร้องไห้อยู่กับหมาของเธอ ที่พึ่งถูกดึงด้ายออก.
“ฉันกลัวจังเลย” เธอกระซิบหลังจากที่นอนร้องไห้ไปเกือบ 10 นาที.
ผมไม่รู้ว่าต้องตอบอะไร.
“ฉันจะไปนอนแล้ว” เธอพูดเบาๆ
ที่จริงนอนไห้ลืมเรื่องพวกนี้ไปก็เป็นไอเดียที่ดีเหมือนกัน.
ตอนนี้ตาของผมก็เริ่มหน่วงๆเหมือนกับจะหลับ.
ผมฟุบลงไปบนพรม และสิ่งสุดท้ายที่ผมได้ยิน ก่อนที่จะหลับ คือกลุ่มเสียงฝีเท้าน้อยๆ ข้างหู.
วันรุ่งขึ้นผมรู้สึกดีขึ้นมาก มันเหมือนกับสิ่งที่พี่งเกิดขึ้น มันเป็นแค่ฝันร้าย.
แม่ lucy มาปลุกผมตอนเช้า สงสัยว่าทำไมผมถึงมาโผล่ที่บ้านเธอโดยที่ไม่บอกกล่าว.
ตอนกินข้าวเช้า lucy ก็หันมาถามผมว่าทำไมผมถึงดูซีด และ กังวลขนาดนี้.
ผมหันไปมองเธอและยิ้ม พร้อมกับบอกกับเธอว่าผมน่าจะป่วย
แต่ความจริงคือ ผมกลัว.
ผมกลัวเพราะผมไม่เห็นเส้นด้ายอีกแล้ว.
การกระทำของผมนั้น มันมาจากตัวผมจริงๆหรอ.
String Theory - แปลจาก ("
https://www.creepypasta.com/string-theory/")
เส้นด้าย
https://youtu.be/FFEfPXDFt1w
คุณเคยมีประสบการณ์ ที่บ่งบอกว่ามีคนบุกเข้ามาในบ้านคุณไหม และคุณก็คิดว่า “ไม่รู้ดีกว่า”แล้วก็ปล่อยมันไป.
บางครั้งการปล่อยไห้กลัวในสิ่งที่ไม่รู้ก็เป็นทางเลือกที่ดีกว่าการเจอกับความจริงที่โหดร้าย.
ปกติมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก.
มีอยู่ครั้งนึง อยู่ดีๆโทรสัพบ้านที่อยู่ชั้นล่างของผมก็กดโทรออกเอง ทั้งๆที่ผมอยู่ข้างบนคนเดียว.
อีกครั้งก็ตอนที่ผมกลับห้องมา และ เห็นว่าของที่วางบนโต้ะมันหายไปเอง.
ที่จริงมันคงเป็นเพราะความจำอันกระจัดกระจายของผมเอง.
แต่เป็นคุณ คุณจะทำยังไงถ้าเหตุการมันถูกอธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้.
คุณจะวิ่งหนี หรือ ทำเป็นไม่สนใจมัน แบบที่ผมทำ.
วันจันทร์ที่แล้วมันเป็นวันปกติ.
ผมตื่น, แปรงฟัน และ ไส่ชุดนักเรียน... กิจวัตรตอนเช้าปกติของผม.
มันเหมือนจะเป็นวันที่น่าเบื่ออีก 1 วัน, จนผมเห็นเส้นด้าย.
มันมี 3 ถึง 4 เส้นบางๆอยู่ในห้องของผม มันพันกันระหว่างเตียง ไปจนถึงกำแพง หนึ่งอันติดอยู่ที่ประตู.
มันเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะไม่เคยเห็นมันมาก่อน ผมควรจะสะดุดมันด้วยซ้ำ.
มันถูกมัดอยู่กับตะปูที่ติดอยู่บนกำแพง ที่ผมไม่ได้เห็นมันตรงนั้นเมื่อ 10วินาทีที่แล้ว.
เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนเข้ามาในห้องผม และมามัดมันในระหว่างที่ผมอยู่ในห้อง.
แต่ผมพึ่งตื่น สมองผมมันยังคงเบลอๆอยู่ ผมจึงไม่คิดมาก.
ผมแก้มัดมันและออกไปโรงเรียน ปล่อยเส้นวางกองอยู่ที่โต้ะ.
ก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลย เพราะตอนผมออกไปข้างนอกบ้าน ผมก็เห็นเส้นด้ายอีก 100 กว่าอัน ถูกมัดอยู่ระหว่างบ้าน รถและ รอบๆถนน...
นี่อาจเป็นการแกล้งจากรายการทีวี พวกรายการที่เอากล้องมาซ่อนแล้วแอบดูปฏิกิริยาของคน.
พวกเขาน่าจะจ้างนักแสดงมาด้วย เพราะผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็ถูกด้ายมัดอยู่ เหมือนกำลังถูกเส้นด้ายจูงไปที่ไหนซักที่.
ผมนั่งรถไปโรงเรียนอย่างกังวลใจ.
ในรถบัส ทุกคน ยกเว้นผม ถูกด้ายมัดผูกกับประตู.
ที่โรงเรียนกลุ่มเพื่อนฝูงก็ถูกเส้นด้ายมัดผูกอยู่ด้วยกัน อาจารย์ก็ถูกด้ายผูกต่อกับโต้ะและกระดาน.
ถึงจะผิดปกติ แต่ตอนนี้ผมก็เริ่มรู้สึกว่า ทำไมผมเหมือนเป็นคนเดียวที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้.
lucy เพื่อนสนิทผม นั่งข้างๆผมตอนคาบแรก อยู่ดีๆเธอก็เอากระเป๋ามาวางไว้บนตักผม และ เอามือเท้าคางตัวเองพร้อมกับมองไปที่หน้าต่าง.
“เฮ้ย Lucy”
เธอไม่ตอบ
“อย่าบอกนะ ว่าเธอก็โดนไปกับเขาด้วย”
เธอถอนหายใจ และ เริ่มหยิบหนังสือออกจากกระเป๋าเธอ.
หนังสือทุกเล่มถูกด้ายผูกอยู่กับมือของเธอ. ผมยิ้ม และกระชากเส้นนึงออกไปจากหนังสือ.
เธอเหมือนจะไม่รู้สึกตัว ปล่อยไห้หนังสือมันร่วงไปบนพื้นโดยไม่เอ้ะใจเลยซักนิด.
“เอ่อ” ผมก้มลงไปบนพื่น หยิบหนังสือของเธอขึ้นมาและวางกลับลงไปบนโต้ะ.
เธอทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น.
“ได้, จะเล่นแบบนี้ใช่ไหม” ผมยิ้ม พยายามจะทำเป็นหัวเราะ เพื่อปิดบังความกังวลของผม.
ผมกำเส้นด้ายทุกเส้นที่ติดอยู่บนตัวเธอ และดึงมันออกมาพร้อมๆกัน.
เธอกระพิบตา และหันมาจ้องหน้าผม.
“เห้ยมาติน นายเป็นนินจาหรอ”
“ฉันนั่งอยู่นี่มา 10 นาทีละ” ผมยิ้ม โล่งอกที่เพื่อนหันมาสนใจผมซักที.
“พวกเส้นด้ายนี้มันมาจากไหนกัน??” เธออึ้ง ทำเหมือนกับพึ่งเคยเห็นมันครั้งแรก
“ยังไม่คิดจะเลิกแกล้งกันอีกหรอ”
เธอลุกขึ้นยืน ค่อยถอยๆตัวเองไปที่มุมห้อง.
ไม่มีใครในห้องสนใจเลย.
“เมื่อกี้ไม่เห็นมีเลย! นายก็เห็นมันหรอ??”
น้ำเสียงเธอ ทำไห้รู้ว่าเธอกลัวจริงๆ
“เธอพึ่งรู้หร-“ คำพูดผมถูกขัดโดยเสียงประตูของอาจารย์ข้างหลังเธอ.
ทุกคนยกเว้นผมและ lucy กล่าวสวัสดีพร้อมกัน.
และเหมือนเดิมไม่มีใครสนใจพวกเราเลย.
“ไม่มีใครสนใจฉันเลย ทั้งวัน” ผมบอก lucy ก่อนที่จะหันไปตะโดนไส่อาจารย์ “เห้ยอาจารย์เฮงซวย สอนไม่เป็นก็อย่าสอนสิวะ”
ไม่มีปฏิกิริยา
“ไม่เอา, ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”
Lucy ปัดเส้นด้ายที่ขวางทางเธอ และวิ่งออกไปจากห้อง.
ผมตามเธอไป และ ก็เหมือนเดิมอีก ไม่มีใครสนใจเลย.
เรา 2 คนเดินอยู่ตรงทางเดินระหว่างห้อง.
เข้าๆออกๆบางห้องตามใจต้องการ.
ทุกครั้งที่เราดึงด้ายที่ผูกอยู่กับโต้ะและหนังสือจากคนอื่น คล้ายว่าอยู่ดีๆ มันก็หายไปจากสายตาพวกเขา.
เหมือนกับว่าสิ่งนั้นมันไม่มีอยู่ตั้งแต่แรก.
ผมพาเธอออกไปดูถนนข้างนอก.
เส้นด้ายมันมีเพิ่มขึ้นมามากกว่าเมื่อเช้าอีก... 2 เท่าได้.
เราค่อยๆหาทางเดินผ่านเส้นสายที่พันกัน เดินไปจนถึงร้านกาแฟใกล้ๆ.
อย่าว่าผมเลย.
ถ้าเป็นคุณ คุณจะทำยังไงถ้าอยู่ในสถานการณ์แบบผม.
เหมือนที่ผมเคยบอก บางทีการปลาอยไห้กลัวในสิ่งที่ไม่รู้มันเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า.
ในบางโอกาศผมก็เสนอไปกับ lucy ว่า ไห้ลองแก้มัดคนอื่นดู.
Lucy ไม่เห็นด้วย จำได้ว่าเธอเคยหวาดกลัวขนาดไหนจากการหลุดออก.
ในร้านกาแฟ พวกเราเดินไปหยิบ sandwich และ เครื่องดื่มมาจากตู้เย็น.
เราหาโต้ะ ดึงเส้นด้ายที่ผูกอยู่กับเก้าอี้ออกและ นั่งลง.
พวกเรากินกันอย่างเงียบๆ เราทั้งคู่กลัว และ พยายามทำไห้ตัวเองไม่ว่าง โดยการมองดูคนแปลกหน้าเข้าออกร้านกาแฟ ไม่ตระหนักถึงเส้นด้าย.
ผ่านไป 20 นาที Lucy พูดขึ้นมาว่า
“เดี๋ยวเธอคนนั้นจะเดินไปหยิบ Sandwich.”
เธอพูดพร้อมกับเอานิ้วไปชี้ที่ผู้หญิง ที่นั่งอยู่ห่างๆ.
และก็เป็นไปตามที่บอก เธอเดินไปที่ตู้เย็น และหยิบ sandwich ที่ถูกผูกอยู่กับเธอ
“เธอจะจ่ายตังและเดินออกจากร้าน” ก็จริง เป็นไปตามทางของเส้นด้าย.
“ผู้ชายคนนั้นจะไม่จ่ายตัง”
ผมดู เขาหยิบกาแฟของเขาและวิ่งออกไปจากร้าน พนักงานดูขี้เกียจเกินกว่าที่จะวิ่งตามเขาไป.
“นี่มันแย่จริงๆ” เธอร้องไห้.
“เราไปจากที่นี่เถอะ”
ข้างนอกก็ไม่ได้ดีกว่าเดิมเลย.
ทุกคนเดินตามเส้นทางของด้าย ใช้ชีวิตประจำวันปกติ.
Lucy บอกว่าจะกลับบ้านไปนอนไห้ลืมเรื่องพวกนี้ ผมตอบตกลงที่จะเดินไปส่งเธอ.
บ้านเธออยู่ห่างไปประมาณ 10 นาที.
พอเดินห่างจากส่วนที่วุ่นวายของเมือง เส้นด้ายก็น้อยลง.
สบายตาขึ้น เราสามารถแกล้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า.
พอเราเดินถึงถนนบ้าน lucy เธอหยุด และทำหน้าช็อค
“เป็นอะไรอีกอ่ะ” ผมส่งเสียงเบาๆ เพื่อเริ่มบทสนทนา
“ดูสิ” เธอเอานิ้วไปชี้ที่บ้านหลังนึง
ผมเห็นมันชัดมาก และจะจำมันไปจนวันตาย.
สัตว์ประหลาดตัวเล็กๆสีดำ สูงไม่ถึง 100เซ็น เดินเอามือถูพื้น เหมือนกับลิง.
มันมีลูกตาปูดๆ สองข้างสีเหลือง ที่ใหญ่พอจะคลุมหน้าของมันไปครึ่งนึงได้.
นอกเหนือจากนั้นมันไม่มีปาก หรือ อวัยวะอื่นบนใบหน้าเลย.
ผมเห็นมันถือค้อน และ ด้ายเป็นก้อนๆ ที่มันปล่อยไว้ระหว่างที่เดิน.
มันย่องเร็วๆจากประตูหน้าบ้าน ไปที่กล่องไปรษณีย์ ตอกตะปูไว้ข้างๆกล่อง และผูกด้ายเอาไว้รอบๆ.
มันหันมาเจอพวกเรา และ หยุดนิ่ง
ผมอึ้งนักกว่าเดิม หลังจากที่มันมองเราด้วยหน้าตาที่ตกใจ และสงสัย.
เหมือนกับว่ามันเป็นคนที่กลัวเองซะมากกว่า.
จู่ๆมันก็กวักมือเรียกพวกเราด้วยมือเล็กๆของมัน.
ผมหันไปมองที่ lucy เธอยังไม่ขยับ.
ผมจึงหันกลับไปมองที่มัน.
ที่กำลังจ้องหน้าผมอยู่.
ผมค่อยๆเดินเข้าไปใกล้มันเรื่อยๆ.
มันไม่ใช่ความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้อีกต่อไปแล้ว ตอนนี้มันกลายเป็นกลัวไอสัตว์ประหลาดนี่แทน.
พอผมอยู่ใกล้กับมัน, มันก็ยื่นมือออกมา.
“เอ่อ. สวัสดี” ผมจับมือทักทายมัน.
มันพยักหน้าตอบรับ พร้อมกับกระพิบตาอันใหญ่โตของมัน
“นายเป็นเจ้าของเส้นด้ายพวกนี้สินะ” มันพยักหน้าตอบ.
ผมเรียก lucy ไห้มา แต่เธอก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“ยังมีพวกแบบนายอีกหรอ” พยักหน้า.
ผมอยากถามคำถามหลายอย่างมาก มันเป็นใคร มาจากไหน แต่ดูเหมือนผมจะถามได้แต่คำถามที่ตอบใช่ กับ ไม่.
“พวกเราไม่ได้เป็นอิสระหรอกหรอ?”
มันมองมาที่ผม ทำหน้าเศร้าๆ.
พอนึกได้ผมก็รู้สึกช็อคจนจะอาเจียน.
ผมไม่สามารถที่จะมองหน้ามันได้อีกแล้ว.
ผมวิ่งไปดึง lucy ที่นั่งฟุบลงอยู่ตรงฟุตบาท หลังจากแอบฟังบทสนทนาของพวกเรา
“มาเร็วๆ”
พวกเราเข้าไปในบ้าน และผมก็ชงชาไห้เธอกิน ตอนเจอเธอที่ห้องนั่งเล่น ผมเห็นเธอนอนร้องไห้อยู่กับหมาของเธอ ที่พึ่งถูกดึงด้ายออก.
“ฉันกลัวจังเลย” เธอกระซิบหลังจากที่นอนร้องไห้ไปเกือบ 10 นาที.
ผมไม่รู้ว่าต้องตอบอะไร.
“ฉันจะไปนอนแล้ว” เธอพูดเบาๆ
ที่จริงนอนไห้ลืมเรื่องพวกนี้ไปก็เป็นไอเดียที่ดีเหมือนกัน.
ตอนนี้ตาของผมก็เริ่มหน่วงๆเหมือนกับจะหลับ.
ผมฟุบลงไปบนพรม และสิ่งสุดท้ายที่ผมได้ยิน ก่อนที่จะหลับ คือกลุ่มเสียงฝีเท้าน้อยๆ ข้างหู.
วันรุ่งขึ้นผมรู้สึกดีขึ้นมาก มันเหมือนกับสิ่งที่พี่งเกิดขึ้น มันเป็นแค่ฝันร้าย.
แม่ lucy มาปลุกผมตอนเช้า สงสัยว่าทำไมผมถึงมาโผล่ที่บ้านเธอโดยที่ไม่บอกกล่าว.
ตอนกินข้าวเช้า lucy ก็หันมาถามผมว่าทำไมผมถึงดูซีด และ กังวลขนาดนี้.
ผมหันไปมองเธอและยิ้ม พร้อมกับบอกกับเธอว่าผมน่าจะป่วย
แต่ความจริงคือ ผมกลัว.
ผมกลัวเพราะผมไม่เห็นเส้นด้ายอีกแล้ว.
การกระทำของผมนั้น มันมาจากตัวผมจริงๆหรอ.
String Theory - แปลจาก ("https://www.creepypasta.com/string-theory/")