สวัสดีครับ ผมมีเรื่องไม่สบายใจเกี่ยวกับธุรกิจครอบครับของผมเอง มาขอคำแนะนำครับ
ผมขอเกริ่นเรื่องคร่าวๆให้ฟังก่อนนะครับ
ในครอบครัวของผม มีกัน 4 คน โดยจะมีคุณแม่ ผมและน้องชาย 2 คน (คุณพ่อแยกทางไปตั้งแต่ผมยังเล็กๆ)
คุณแม่ของผม ประกอบธุรกิจส่วนตัวมานานประมาณ 25 ปี คุณแม่เป็นคนรักครอบครัวและคอยดูแลคนในครอบครัวคนเดียวมาโดยตลอด
โดยคุณแม่จะย้ำเสมอว่า ผมที่เป็นพี่คนโต ต้องเป็นผู้นำและดูแลน้องชายของเราเสมอ อย่างไงก็ห้ามทิ้งน้องเป็นอันขาด ให้รักน้องให้มากๆ
เรื่องมีอยู่ว่า
คุณแม่ได้เปิดบริษัททำธุรกิจส่วนตัวมาประมาณ 25 ปี โดยผมและน้องชาย 2 คนก็ช่วยเหลือกันทำมาโดยตลอด จนมาถึงวันนึงน้องชาย
ทั้ง 2 คนได้ขอแยกไปทำธุรกิจส่วนตัวของตัวเอง เพราะเห็นว่าธุรกิจที่คุณแม่ทำอยู่นั้นคือของคุณแม่และอยากเปิดประสบการณ์ให้ตัวเองด้วยอีกทางนึง
ซึ่งปัจจุบันผมกับแม่ยังคงทำธุรกิจส่วนตัวกันอยู่ 2 คน ส่วนน้องชาย 2 คนแยกไปทำธุรกิจส่วนตัวคล้ายๆกันกับธุรกิจเดียวกับของคุณแม่
แต่น้องชายยังรับเงินเดือนจากทางธุรกิจส่วนตัวของคุณแม่ด้วย (เรียกว่ารับเงิน 2 ทาง 1.ทางธุรกิจของคุณแม่ 2.ทางธุรกิจของตนเอง)
และคุณแม่จะไม่ให้เงินก็ไม่ได้เพราะคุณแม่ก็อยากให้น้องชายทั้งสองคน เติบโตในหน้าที่การงานของเขาเอง โดยมีเงินของคุณแม่เป็นทุนด้วย
แต่คุณแม่กลับระบายความในใจเกี่ยวกับเรื่องน้องชายให้ผมฟังเสมอ ว่า อยากให้น้องชายกลับมาทำธุรกิจเดียวกันกับคุณแม่ไม่อยากให้แยกกัน
เพราะธุรกิจที่เริ่มต้นใหม่มันเริ่มต้นยากกว่าธุรกิจที่มีทุนเดิมอยู่แล้ว กลับมารวมกันช่วยกันจะได้เติมโตได้ไวกว่านี้ รวมไปถึงเงินเดือนที่ต้องให้น้องชาย
ไปทุกๆเดือน โดยเฉลี่ยปีละครึ่งล้านต่อคน ซึ่งปัจจุบันทางธุรกิจส่วนตัวของคุณแม่เป็นหนี้ธนาคารอยู่ประมาณ 40 ล้านบาท
เมื่อผมได้รับฟังแบบนั้นผมก็ได้คุยกับน้องชายผมอีก 2 คนว่า อยากให้เรากลับมาทำธุรกิจร่วมกันเพราะน้องชายก็ยังรับเงินเดือนจากทางคุณแม่อยู่
แต่ทางน้องชายไม่โอเคด้วยเพราะอยากหาประสบการณ์เอง อยากทำธุรกิจของตนเอง อยากลอง อยากทำอะไรใหม่ๆ แต่ก็อยากจะรับเงินทางแม่ด้วย
เรียกว่า ยังอยากได้ 2 ทาง ซึ่งผมได้เสนอไปว่า ให้น้องชายไม่ต้องรับเงินเดือนทางฝั่งของแม่ เพราะจะได้ช่วยปลดหนี้ธนาคารได้เร็วๆ แต่น้องชายก็ไม่โอเค
และบอกกลับผมว่า ผมเป็นคนไม่เอาพี่เอาน้องจะมาคิดเล็กคิดน้อยทำไม เราเป็นครอบครัวเดียวกัน
ซึ่งเมื่อผมได้รับฟังเรื่องที่น้องตอบมา เลยไปเล่าให้คุณแม่ฟัง และได้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมไปว่า ถ้าหากน้องอยากหาประสบการณ์เองก็ให้น้องได้เรียนรู้
เติบโตด้วยตนเอง และบอกคุณแม่ไปว่าไม่ต้องให้เงินเดือนน้องแล้วเพราะจะได้นำมาใช้หนี้ธนาคารได้มากกว่าเดิม หนี้จะได้จบเร็วๆ อีกทั้งน้องยังมีรายได้
อีกทางอยู่แล้ว คุณแม่และผมไม่จำเป็นต้องให้แล้วก็ได้ หากเดือนร้อนจริงๆค่อยช่วยตอนนั้นก็ได้ ผมบอกไปแบบนี้
โดยคุณแม่ของผมถามคำถามผมว่า วันนึงถ้าผมมาทำหน้าที่บริหารแล้ว ผมจะให้เงินเดือนน้องชายของผมไหม ถ้าเขายังทำเหมือนเดิม คือไม่ทำงานให้กับธุรกิจของคุณแม่ ยังคงทำธุรกิจส่วนตัวของน้องชายเอง และเรายังคงเป็นหนี้ธนาคารอยู่ และเขาคือน้องชายของเรา เราเป็นพี่คนโต
ผมได้ตอบคุณแม่ตรงๆไปว่า ไม่ให้ครับเพราะน้องชายมีรายได้แล้ว และผมเคยถามกับน้องชายแล้วว่าอยากทำธุรกิจตรงนี้ร่วมกันไหม ซึ่งก็ได้คำตอบว่า
ไม่ทำ นั้นทำให้ผมรู้สึกอยากนำเงินที่จะให้น้องชายปีละครึ่งล้านต่อคน ไปปลดหนี้ของธนาคารให้เร็วๆที่สุดจะดีกว่า นั้นคือคำตอบที่ผมตอบคุณแม่
แต่คำตอบที่คุณแม่ตอบผมมา ทำเอาผมตกใจกว่านั้นคือ คุณแม่บอกว่า ผมเป็นคนไม่เอาพี่เอาน้อง เห็นแก่ตัว อยากได้แต่ของตนเอง ไม่รักน้องรักครอบครัว
(ซึ่งผมไม่เข้าใจมุมมองที่คุณแม่มองมาที่ผมว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น ถามคุณแม่แล้วก็ไม่ได้คำตอบอะไรเพิ่มเติม)
และนั้นก็ทำให้คุณแม่ไม่เชื่อใจผมอีกเลยในเรื่องครอบครัวว่า ผมจะรักน้องและดูแลน้องชายได้ และนั้นก็ทำให้เกิดระยะห่างในการพูดคุยกันทั้งครอบครัว
ต่างฝ่ายต่างทำงานหน้าที่ ไม่คุยกันเรื่องครอบครัว คุยกันแต่เรื่องงาน แม้แต่ตอนที่อยู่บ้านก็ยังคุยแต่เรื่องงาน เรายังทำอะไรกันเหมือนเดิมแต่ไม่ถามเรื่อง
ทุกข์สุขใดๆทั้งสิ้น นั้นทำให้ผมรู้สึกลำบากใจอย่างมาก
ผมควรเริ่มต้นทำอย่างไรดีครับ รบกวนช่วยแนะนำด้วยครับ (มันเป็นธุรกิจครอบครัวที่ไม่ได้ช่วยให้เป็นครอบครัวเลยในความคิดของผม)
ผมเล่าเรื่องไม่ค่อยเก่ง ต้องขออภัยด้วยนะครับ หากพูดวกไปวนมา
ขอบคุณครับ
ธุรกิจครอบครัวที่ไม่ครอบครัว
ผมขอเกริ่นเรื่องคร่าวๆให้ฟังก่อนนะครับ
ในครอบครัวของผม มีกัน 4 คน โดยจะมีคุณแม่ ผมและน้องชาย 2 คน (คุณพ่อแยกทางไปตั้งแต่ผมยังเล็กๆ)
คุณแม่ของผม ประกอบธุรกิจส่วนตัวมานานประมาณ 25 ปี คุณแม่เป็นคนรักครอบครัวและคอยดูแลคนในครอบครัวคนเดียวมาโดยตลอด
โดยคุณแม่จะย้ำเสมอว่า ผมที่เป็นพี่คนโต ต้องเป็นผู้นำและดูแลน้องชายของเราเสมอ อย่างไงก็ห้ามทิ้งน้องเป็นอันขาด ให้รักน้องให้มากๆ
เรื่องมีอยู่ว่า
คุณแม่ได้เปิดบริษัททำธุรกิจส่วนตัวมาประมาณ 25 ปี โดยผมและน้องชาย 2 คนก็ช่วยเหลือกันทำมาโดยตลอด จนมาถึงวันนึงน้องชาย
ทั้ง 2 คนได้ขอแยกไปทำธุรกิจส่วนตัวของตัวเอง เพราะเห็นว่าธุรกิจที่คุณแม่ทำอยู่นั้นคือของคุณแม่และอยากเปิดประสบการณ์ให้ตัวเองด้วยอีกทางนึง
ซึ่งปัจจุบันผมกับแม่ยังคงทำธุรกิจส่วนตัวกันอยู่ 2 คน ส่วนน้องชาย 2 คนแยกไปทำธุรกิจส่วนตัวคล้ายๆกันกับธุรกิจเดียวกับของคุณแม่
แต่น้องชายยังรับเงินเดือนจากทางธุรกิจส่วนตัวของคุณแม่ด้วย (เรียกว่ารับเงิน 2 ทาง 1.ทางธุรกิจของคุณแม่ 2.ทางธุรกิจของตนเอง)
และคุณแม่จะไม่ให้เงินก็ไม่ได้เพราะคุณแม่ก็อยากให้น้องชายทั้งสองคน เติบโตในหน้าที่การงานของเขาเอง โดยมีเงินของคุณแม่เป็นทุนด้วย
แต่คุณแม่กลับระบายความในใจเกี่ยวกับเรื่องน้องชายให้ผมฟังเสมอ ว่า อยากให้น้องชายกลับมาทำธุรกิจเดียวกันกับคุณแม่ไม่อยากให้แยกกัน
เพราะธุรกิจที่เริ่มต้นใหม่มันเริ่มต้นยากกว่าธุรกิจที่มีทุนเดิมอยู่แล้ว กลับมารวมกันช่วยกันจะได้เติมโตได้ไวกว่านี้ รวมไปถึงเงินเดือนที่ต้องให้น้องชาย
ไปทุกๆเดือน โดยเฉลี่ยปีละครึ่งล้านต่อคน ซึ่งปัจจุบันทางธุรกิจส่วนตัวของคุณแม่เป็นหนี้ธนาคารอยู่ประมาณ 40 ล้านบาท
เมื่อผมได้รับฟังแบบนั้นผมก็ได้คุยกับน้องชายผมอีก 2 คนว่า อยากให้เรากลับมาทำธุรกิจร่วมกันเพราะน้องชายก็ยังรับเงินเดือนจากทางคุณแม่อยู่
แต่ทางน้องชายไม่โอเคด้วยเพราะอยากหาประสบการณ์เอง อยากทำธุรกิจของตนเอง อยากลอง อยากทำอะไรใหม่ๆ แต่ก็อยากจะรับเงินทางแม่ด้วย
เรียกว่า ยังอยากได้ 2 ทาง ซึ่งผมได้เสนอไปว่า ให้น้องชายไม่ต้องรับเงินเดือนทางฝั่งของแม่ เพราะจะได้ช่วยปลดหนี้ธนาคารได้เร็วๆ แต่น้องชายก็ไม่โอเค
และบอกกลับผมว่า ผมเป็นคนไม่เอาพี่เอาน้องจะมาคิดเล็กคิดน้อยทำไม เราเป็นครอบครัวเดียวกัน
ซึ่งเมื่อผมได้รับฟังเรื่องที่น้องตอบมา เลยไปเล่าให้คุณแม่ฟัง และได้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมไปว่า ถ้าหากน้องอยากหาประสบการณ์เองก็ให้น้องได้เรียนรู้
เติบโตด้วยตนเอง และบอกคุณแม่ไปว่าไม่ต้องให้เงินเดือนน้องแล้วเพราะจะได้นำมาใช้หนี้ธนาคารได้มากกว่าเดิม หนี้จะได้จบเร็วๆ อีกทั้งน้องยังมีรายได้
อีกทางอยู่แล้ว คุณแม่และผมไม่จำเป็นต้องให้แล้วก็ได้ หากเดือนร้อนจริงๆค่อยช่วยตอนนั้นก็ได้ ผมบอกไปแบบนี้
โดยคุณแม่ของผมถามคำถามผมว่า วันนึงถ้าผมมาทำหน้าที่บริหารแล้ว ผมจะให้เงินเดือนน้องชายของผมไหม ถ้าเขายังทำเหมือนเดิม คือไม่ทำงานให้กับธุรกิจของคุณแม่ ยังคงทำธุรกิจส่วนตัวของน้องชายเอง และเรายังคงเป็นหนี้ธนาคารอยู่ และเขาคือน้องชายของเรา เราเป็นพี่คนโต
ผมได้ตอบคุณแม่ตรงๆไปว่า ไม่ให้ครับเพราะน้องชายมีรายได้แล้ว และผมเคยถามกับน้องชายแล้วว่าอยากทำธุรกิจตรงนี้ร่วมกันไหม ซึ่งก็ได้คำตอบว่า
ไม่ทำ นั้นทำให้ผมรู้สึกอยากนำเงินที่จะให้น้องชายปีละครึ่งล้านต่อคน ไปปลดหนี้ของธนาคารให้เร็วๆที่สุดจะดีกว่า นั้นคือคำตอบที่ผมตอบคุณแม่
แต่คำตอบที่คุณแม่ตอบผมมา ทำเอาผมตกใจกว่านั้นคือ คุณแม่บอกว่า ผมเป็นคนไม่เอาพี่เอาน้อง เห็นแก่ตัว อยากได้แต่ของตนเอง ไม่รักน้องรักครอบครัว
(ซึ่งผมไม่เข้าใจมุมมองที่คุณแม่มองมาที่ผมว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น ถามคุณแม่แล้วก็ไม่ได้คำตอบอะไรเพิ่มเติม)
และนั้นก็ทำให้คุณแม่ไม่เชื่อใจผมอีกเลยในเรื่องครอบครัวว่า ผมจะรักน้องและดูแลน้องชายได้ และนั้นก็ทำให้เกิดระยะห่างในการพูดคุยกันทั้งครอบครัว
ต่างฝ่ายต่างทำงานหน้าที่ ไม่คุยกันเรื่องครอบครัว คุยกันแต่เรื่องงาน แม้แต่ตอนที่อยู่บ้านก็ยังคุยแต่เรื่องงาน เรายังทำอะไรกันเหมือนเดิมแต่ไม่ถามเรื่อง
ทุกข์สุขใดๆทั้งสิ้น นั้นทำให้ผมรู้สึกลำบากใจอย่างมาก
ผมควรเริ่มต้นทำอย่างไรดีครับ รบกวนช่วยแนะนำด้วยครับ (มันเป็นธุรกิจครอบครัวที่ไม่ได้ช่วยให้เป็นครอบครัวเลยในความคิดของผม)
ผมเล่าเรื่องไม่ค่อยเก่ง ต้องขออภัยด้วยนะครับ หากพูดวกไปวนมา
ขอบคุณครับ