วันนี้เป็นวันที่อะไรหลายๆอย่างที่มันทับถมมานานเหมือนมารุมเร้าให้เครียดกับมันจนทนไม่ได้อีกครั้ง บันทึกอันนี้เป็นครั้งแรกที่เราพิมขึ้นเพื่อที่จะบอกกับตัวเองว่าอย่าท้อแท้นะ อย่าคิดสั้น ทั้งๆที่ทุกอย่างอาจจะดูเหมือนไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครที่อยากจะรับฟังเราจริงๆ ทั้งๆที่ตลอดเวลาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ สิ่งที่เราทำส่วนใหญ่มันก็ไม่ใช่เพื่อตัวเราเลยทั้งๆที่บางทีเราจะอ้างว่ามันเพื่ออนาคตที่ดีของตัวเราเอง ความในใจเราๆเจตนาทำเพื่อคนรอบข้างเราทั้งนั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เรายังเด็กแล้ว ตั้งแต่จำความได้ เรารู้ว่าคนรอบตัวเราแม้แต่ญาติด้วยกันเองยังมองพ่อกับแม่เราด้วยสายตาและการพูดจาที่ดูถูกเหยียดหยามเพราะครอบครัวเราตอนนั้นไม่มีเงินแล้วต้องอยู่แบบอยากจนซึ่งเราก็ว่าครอบครัวเราอยู่แบบคนปกตินะ แค่ไม่มีเงินฟุ่มเฟือย หรือว่าไม่รวยเท่าญาติคนอื่นๆเท่านั้นเอง จุดที่เปลี่ยนเราจากเด็กที่ชอบเล่นกับเพื่อนๆไปวันๆไม่ชอบไปเรียนสักเท่าไหร่นั้นเกิดขึ้นเมื่อแม่เราถูกโกง ตอนนั้นเราก็ไม่รู้อะไรมาหรอกนะแค่รู้แต่ว่าครอบครัวเราเป็นหนี้เยอะมากเพราะเพื่อแม่ที่แม่ไว้ใจได้โกงเงินไป วันนั้นเราเห็นว่าแม่นอนร้องไห้ เราก็สงสารแม่นะ แม่นอนอยู่ในห้องคนเดียวบนชั้นสองของบ้านตึกแถวหลังเก่า เราจำได้ว่าป๊าบอกเรากับน้องให้ขึ้นไปหาแม่ อย่าให้แม่อยู่คนเดียว เรากับน้องก็ทำตามนะ เราจำไม่ได้ว่าตอนนั้นเรากี่ขวบแล้วแต่รู้ว่าเด็กมากเพราะว่ายังไม่เข้ามัทยมเลย เรากลัวแม่จะผูกคอตายเพราะปัญหาพวกนี้ ในความคิดเราตอนนั้น เราเห็นน้ำตาคลอเบ้าที่ใบหน้าแม่ แล้วก็มีผ้าพันคอพันอยู่ เรากลัวมาก กลัวที่จะเสียแม่ไป เรารักแม่เราไม่อยากให้สิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับครอบครัวเรา พอเราตั้งสติได้เราก็บอกกับแม่ว่า เรารักแม่นะ แม่อย่าฆ่าตัวตาย พอแม่ตัดสินใจบอกเราว่าจะไม่ฆ่าตัวตายเราก็โล่งอก แต่เหตุการณหลังจากนั้นเราก็เข้าใจว่าป๊ากับแม่ก็ต้องช่วยกันล้างหนี้นี้ให้หมด เราก็รู้ว่าเขาก็มีการขอยืมเงินจากญาติๆนะแต่ไม่รู้ว่าใครให้บ้างแล้วให้เท่าไหร่ แต่การที่เราไปยืมเงิน มันแลกมากับสายตาที่เขามองแบบดูถูกเราซึ่งเราสัมผัสได้ เราก็ทนนะเพราะเรารู้ว่าเราอยู่ในชนชั้นอะไร มีเท่าไหร่เท่านั้น ยืมเงินเขาเราจะไม่มีทางได้เทียบเท่าเขาหรอก จนอยู่มาวันนึงเราได้ยินแม่คุยกับอี๊แจ้ด อี๊แจ้ดอยู่อเมริกามานานแล้วก็เลยอยากจะเอาเรากับน้องไปอยู่ด้วยเพื่อการศึกษาที่ดีแล้วก็ช่วยป๊ากับแม่แบ่งเบาภาระเรื่องค่าใช้จ่ายของเด็กๆ ตอนนั้นที่แม่มาบอกว่าจะพาเรากับน้องไปอยู่อเมริกาเราก็บอกส่าเราไม่ไปอยู่ ถ้าไปเที่ยวเราจะไปแต่ไม่อยู่เด็ดขาด เถียงแบบนี้กับแม่ได้หลายครั้งมากจนแม่บอกว่า ก็ไปเที่ยวไปลองอยู่สักพักถ้าอยู่ได้ก็อยู่ถ้าอยู่ไม่ได้ก็กลับ เราก็เลยตกลง จนมาถึงวันที่ใกล้ไป มีโทรศัพท์มาที่บ้านเราก็แอบฟัง เราจำไม่ได้ว่าเพราะเรากำลังจะโทรหาเพื่อนหรือเปล่าหรือไงนี่แหล่ะ จังหวะเหมาะ ที่ฟังแม่กับน้องคนเล็กของแม่คุยกัน แต่เราดันได้ยินประโยคๆนึง เขาบอกกับแม่เราว่า ลูกอยู่ไม่ได้หรอกเดี๋ยวก็ต้องกลับมา ไปให้เสียเงินเปล่าทำไม นี่เป็นคำพูดของคนที่เป็นญาติกัน คนที่เราเคยนับถือว่าเป็นญาติคนนึง แต่การพูดจาที่ดูถูกกันไม่มีการให้กำลังใจกัน ทำให้เราคิดได้ เราไม่ได้บอกแม่หรอกว่าเราจะตัดสินใจไปอยู่ตอนนั้น แต่เราบอกกับตัวเองแล้วล่ะเราจะทำหน้าที่ลูกให้ดีที่สุด เราต้องทำให้ได้เพื่อที่จะไม่ให้ใครมาดูถูกคนในครอบครัวเราได้อีก เราก็เอาชนะคำดูถูกอันนั้นให้ได้แล้วยืนอยู่ในจุดที่เหนือว่า ชีวิตในอเมริกามันแย่นะ ประสบการณ์ที่เจอมาแย่ๆมันเยอะกว่าดีๆที่ทุกคนเห็นในตอนหลังๆนะ เริ่มแรกที่ไปอยู่ที่นู่น วันที่แม่จะกลับเมืองไทยแม่ได้ขอให้เรากับน้องให้คำสัญญากับแม่ไว้ว่า ห้ามหนีออกจากบ้าน อย่าหนีไปไหน ถ้าจะกลับเมืองไทยหรืออยู่ไม่ได้ตั๋วเครื่องบินก็ยังไม่หมดอายุยังกลับได้ แต่ถ้ากลับไปแล้วก็จะมาอเมริกาอีกไม่ได้เพราะเรามาแบบท่องเที่ยวแล้วมาอยู่เกินกำหนดไปแล้ว เพราะคำสัญญาอันนั้น มีหลายครั้งมากที่เรากับน้องคิดถึงบ้าน เราคิดว่าอยากจะหนีไป เราไม่รู้นะว่าตอนนั้นน้องจะคิดยังไง แต่พอเรามาคิดได้ว่าเราสัญญากับแม่ไว้แล้วเราต้องทำให้ได้ เราต้องลบความสบประมาทของคนๆนั้นที่เราได้ยินเขาพูดกับแม่เราให้ได้ มีหลายครั้งที่เราโทรหาป๊ากับแม่เพื่ออยากจะคุยอยากจะได้ยินเสียง ร้องขอกลับบ้าน ซึ่งแรกๆแม่ก็บอกให้ทนจนหลังๆบอกจะกลับมาก็ได้ แต่เรากับน้องก็เลือกที่จะไม่กลับอยู่ดี ทนอยู่จนจบ high school ตอนนั้นเราก็คิดแล้วว่าจะอยู่ต่ออเมริกา แต่จะอยู่ยังไงในเมื่อเราเข้ามาเมืองเขาแล้วอยู่อย่างผิดกฎหมาย ใบทำงานก็ไม่มี ถ้าโดนจับได้ก็โดนส่งตัวกลับไทยแล้วจะขึ้น record ไม่ดีตลอด ต้องอยู่แบบไม่มีเพื่อนเยอะไม่กล้าพบปะผู้คนเยอะๆเพราะกลัวว่าถ้าเขารู้ความลับอันนั้นเขาอาจจะแจ้งจับเราก็ได้ถ้าเขาไม่ชอบเรา แล้วถ้าเราโดนจับโดนส่งตัวกลับ สิ่งที่เราคิดไว้ว่าจะไม่ทำให้ป๊ากับแม่และคนที่เรารักเสียใจมันก็ทำให้เขาเสียใจกัน เราอยู่แบบเหมือนกับว่าไร้จุดหมายเลยนะ เพราะคิดว่าถึงเรียนจบมหาลัยมาเราก็ต้องมานั่งทำงานเป็นเด็กเสริฟร้านอาหารอยู่ดีเพราะว่าเราไม่มีใบ แล้วจะเรียนไปทำไม บวกกับตอนนั้นก็ติดเพื่อนด้วย เพราะเพื่อนที่คบๆกันอยู่ก็มีไม่กี่คนเลยสนิทกันมาก แต่ก็ไม่เคยเล่าเรื่องที่บ้านหรือเปิดเผยเรื่องเราให้เขาฟังนะ ถ้าเขาถามถึงเรื่องที่จะโยงเข้าเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเราก็จะโกหกไปทีแล้วก็เปลี่ยนเรื่องคุยกัน จนในที่สุดแล้วเราก็เริ่มห่างๆกับเพื่อนแล้วหันมาติดเกมแทน เล่นเกมตั้งแต่เช้าจนถึงเข้าของอีกวัน บางทีไม่ไปเรียนเพราะอยู่เล่นเกมจนการเรียนเสียตกการเรียนจนต้องออกจากโรงเรียน พอเล่นเกมไปจนถึงช่วงขีดสุดในชีวิต เราก็เริ่มเบื่อเกม ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี เลยตัดสินใจจะเรียนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เปลี่ยนสายเรียน และโรงเรียน จาก UC Berkeley เพราะเราตกจนเรียนไม่ไหวแล้วค่าใช้จ่ายเยอะเราะก็เลยหันมาเรียนที่ Laney community college แทนเพื่อที่หวังว่าเรียนสองปีที่นั่นแล้วค่อยไปต่อ UC ที่อื่น พอได้มาเรียนสายอื่นเราก็เริ่มชอบนะ ตอนนั้นเรียนสาย art studio ก็จะมีวาดภาพเรียนรู้เกี่ยวกับศิลปะภาพวาดและประวัติ พยายามเรียนแล้วก็รู้สึกว่าชอบมากกว่าตอนที่เรียนที่ UC Berkeley อีกเลยพอไปได้ แต่สุดท้ายอาจจะเพราะความขี้เกียจบวกกับเริ่มเรียนห้อง general class ด้วยเลยไม่ไปเรียน ขาดเรียนจนต้องพักการเรียนเพราะเกรดตกต่ำมากจนมหาลัยต้องล็อกทะเบียนเรียนไว้ว่าห้ามลงเกินเท่าไหร่แล้วต้องเข้าหาอาจารย์ที่ปรึกษาก่อนลงทะเบียนเรียนเพราะเขาจะเป็นคนที่ปลดล็อกให้ได้ เราก็เลยหยุดเรียน เรารู้นะว่าที่เราเป็นตอนนั้นเราทำให้ทุกคนเสียใจมากโดยเฉพาะป๊ากับแม่ เพราะเรายังคิดไงว่าเรียนไปก็เท่านั้นจบมาก็ต้องทำร้านอาหารอยู่ดี แต่จุดเปลี่ยนของชีวิตของเราก็เริ่มหลังจากนี้เมื่ออี๊แจ้ดเกิดเรื่อง เราทนอยู่เฉยๆไม่ได้เพราะอี๊แจ้ดก็เหมือนแม่อีกคนของเรา เราจะไม่ให้ใครมาทำร้ายคนในครอบครัวเราเด็ดขาด เราเลยย้ายมาอยู่กับอี๊แจ้ด จนวันนีงเราบ่นกับเขานะว่าเราอยากมีใบ ถ้าเรามีใบเราจะทำให้มากกว่านี้ จะตั้งใจทำงานหาเงิน อี๊แจ้ดเลยถามคนรู้จักเพื่อจัดหาคนที่จะมาแต่งงานกับเราเพื่อใบเขียว ตอนที่เราแต่งงานอยู่และเรื่องทำใบเขียวกำลังดำเนินอยู่ เราก็ทำตามที่เราบอกอี๊แจ้ดไว้นะว่าจะหางานทำ แล้วเราก็หาได้ถึงแม้ว่าจะได้ชั่วโมงละไม่เท่าไหร่แต่มันก็ไม่ทำให้อี๊แจ้ดต้องมาเสียตังหรือให้เงินเราเพิ่มทั้งๆที่เขาก็ว่าอยู่ทุกวันนะว่า ทำเงินได้ตั้งเยอะตั้งแยะแต่ไม่เคยเก็บได้เลย คือตอนนั้นเราทำงานอยู่สองที่ ที่นึงเป็นที่เดียวกับอี๊แจ้ดซึ่งเป็นร้านอาหารแล้วเขาให้เงินแบบเป็นกะแล้วแบ่งทิปให้ ส่วนอีกที่ให้เป็นแบบชั้วโมง ถ้าจำไม่ผิดได้ตอนนั้นขั้นต่ำชั่วโมงละ $7 เดือนนึงรวมๆแล้วก็ได้เงินอยู่ แต่ตอนนั้นเราก็ใช้เงินส่วนนึงจ่ายค่ารถ ค่ายิม ค่าดูหนัง(ไปดูทุกอาทิตย์เลย) แล้วก็ค่ากิน ส่วนใหญ่ชอบไปกินที่ The Cheesecake Factoryซึ่งอาหารก็แพงอยู่ แต่เพราะเข้ายิมเลยออกกำลังกายแล้วไม่อ้วนเลยทำให้มีคนเข้ามาชอบ ตอนนั้นก็คิดที่ยังจะไม่กลับไปอยู่เมืองไทยหรอกนะเพราะว่าอเมริกาดีกว่าเยอะ ทำเงินใช้จ่ายได้เยอะ และแล้วก็มาถึงจุดๆนึงที่เราเริ่มเบื่อตัวเองแบบสุดๆเพราะตอนนั้นด้วยที่ว่าเข้ายิมบ่อยรูปร่างเลยออกมาดีขึ้นทำให้คนมาชอบและมันก็เกิดปัญหาเพราะคนที่ทำงานด้วยกันดันไม่ได้คืดแค่เพื่อนกับเพื่อนร่วมงาน ทำให้เราต้องตัดสินใจหาทางออก แต่เพราะเริ่มเบื่อ ใบก็มีแล้ว คราวนี้ก็อยากเป็นอิสระ เบื่อแล้วที่จะต้องมาแคร์ความรู้สึกคนรอบข้าง ต้องมาคอยห่วงว่าคนอื่นจะมองยังไง ตอนนั้นคิดได้อย่างเดียวคืออยากหนีไปให้ไกลๆ แล้วมีที่ไหนล่ะที่เราจะหนีไปได้ เลยไปสมัครทหารเรือ เราเข้าไปเซ็นใบสมัครด้วยตัวเองเลยไม่มีใครเข้าไปด้วยกับเรา แม้แต่แม่กับอี๊แจ้ดเราก็มาบอกทีหลังในวันนั้นหลังจากที่เซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว ตอนนั้นเราเหมือนกับว่าดีแล้วจะได้เป็นอิสระสักที เบื่อที่จะมาแคร์คนรอบข้าง อยากไปไกลๆทำอะไรด้วยตัวเองสักที ก่อนในวันที่ทางทหารมารับตัวเราไป แม้แต่คนไทยด้วยกันเองที่เราทำงานร้านอาหารด้วยที่เดียวกับอี๊แจ้ดยังดูถูกเราเลยว่าเราไปไม่รอดหรอก แล้วพูดต่อหน้าเราต่อหน้าอี๊แจ้ดด้วย เราก็เฉยๆนะเพราะเราก็คิดไว้แล้วว่าแล้วคอยดู วันที่ทหารมาเอาตัวเราไปที่แคมป์ฝึกเราก็ไม่ได้คิดอะไรนะ ได้แต่คิดว่า เราจะเป็นอิสระแล้ว
บันทึกของผมวันที่ 22 June 2020