ก่อนอื่นขอพูดถึงความเป็นสารคดี
สารคดีเรื่องหนึ่ง ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเล่าเรื่องที่คนดูยังไม่เคยรู้ ให้เขารู้และเข้าใจเพิ่มขึ้น
สารคดี BNK48 ก็เหมือนกัน พวกเราๆในฐานะโอตะ ได้ดูมาก็จะรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่ตอนดู GDC แล้วว่า เรื่องพวกนี้เราก็รู้อยู่แล้ว เล่าทำไม แต่ในมุมคนนอก ไม่เคยรู้จักมาก่อน มันเป็นเหมือนวิดิโอสรุปเรื่องราวสั้นๆ บันทึกหน้าประวัติศาสตร์เอาไว้ให้คนมาดู มาศึกษาทำความเข้าใจ , One take ก็เหมือนกันนะ บันทึกเหตุการณ์ไว้ เล่าที่มาที่ไป ให้คนนอกมาดูแล้วเข้าใจในเวลาสั้นๆ
ดังนั้นความรู้สึกที่มีต่อหนังคือ โอเคกับเนื้อหาในหนัง
เข้าสู่ตัวหนัง One take เล่าเรื่องต่อจาก GDC
GDC เล่าที่มาของ 48 ,อธิบายคอนเซปวง, ความยากลำบากในช่วงเริ่มวง จนกระทั่งวงประสบความสำเร็จ, พร้อมๆกับสะท้อนให้เห็นถึง “ความพยายาม” ที่แต่ละคนมี
ส่วน One take จะเล่าถึง 2 ประเด็น คือ
1. การมาของรุ่น 2 และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
2. การเลือกตั้งครั้งแรก
เริ่มจากตอนที่คุ้กกี้ดังมาก ทำให้วงมีงานเยอะ
Under รุ่น1 หลายคนได้โอกาสมากขึ้น
แฟนให้การสนับสนุนวงดี ถึงขั้นส่งไป World sen ก็ติดอันดับได้ตั้ง 2 คน
จังหวะที่งานเยอะขึ้น+กำลังมีกระแส เลยรับรุ่น2
ทำให้รุ่น1 บางคนที่กำลังจะเกิด ก็อดเกิดไปเลย ก็มีน้องบางคนก็ยอมรับชะตาตรงนี้ได้ ไม่เครียด
รุ่น2 คนมาสมัครเยอะขึ้น ผู้บริหารคัดเลือกยาก จึงใช้เกณฑ์หน้าตาและความสามารถเป็นหลัก เลยจะเห็นชัดว่ารุ่น2 มีแต่คนสวยๆ เก่งๆ แต่รุ่น2 ก็มาพร้อมความกดดัน รุ่นพี่ทำไว้ดี เลยต้องพยายามยิ่งขึ้น ไหนจะแข่งกับรุ่นเดียวกัน ไหนจะแข่งกับรุ่นพี่
รุ่น1 บางคนก็ไม่พอใจที่มีรุ่น2 แต่บางคนก็ไม่สนใจที่มีรุ่น2 เพราะยังไงก็ต้องพัฒนาตัวเองต่อ
การอยู่ร่วมกันช่วงแรกไม่ค่อยลงตัว จึงต้องมีการจัดกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ต่างๆมาช่วย
ปัญหาโลกแตกของไอดอลที่ต้องเจอ เจอกันตั้งแต่รุ่น1 ยันรุ่น2 คือการบุลลี่ และ การเป็นตัวของตัวเอง ก็ต้องหาวิธีจัดการกับมันให้ได้ มียกตัวอย่างไอดอลรุ่นเก่า
งานเลือกตั้งครั้งแรก GE1
หนังมีเบื้องหลังต่างๆให้ดู ตั้งแต่ร่างโปสเตอร์ ถ่ายโปสเตอร์ ถ่ายคลิปหาเสียง ฟังผลด่วนทุกรอบ ซ้อมคอนก่อนงาน ภาพในงาน ไปถึงหลังเวทีตอบจบงานเลือกตั้ง
น้องๆบอกเล่าความรู้สึกต่อ GE1 บางคนชอบที่จะได้รู้อันดับที่มาจากแฟนคลับ บางคนก็ไม่ชอบเลยที่ต้องมาถูกวัดด้วยอะไรแบบนี้ น้องรู้ดีว่ามันแข่งกันที่เงิน หลายคนก็เกรงใจ แต่ก็อยากได้โอกาสติดตามอันดับที่คาดไว้ ด้วยเหตุผลต่างกันไป แล้วก็มีพูดแสดงความเห็นต่ออันดับของเพื่อน มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ยินดีและไม่ยินดี
นอกจากนี้ยังมีสัมภาษณ์โอตะบางบ้านถึงความตั้งใจในการติดตามน้องและการเตรียมตัวโหวต
สิ่งที่ชอบ
1. สัมภาษณ์โอตะ คนนอกบางคนที่สงสัยในตัวโอตะ จะได้รับฟังไปพร้อมกับหนังเลย เผื่อดูๆอยู่แล้วเกิดคำถามว่า ทำไมโอตะยอมโหวตขนาดนี้ ก็จะได้คำตอบทันที
2. สัมภาษณ์น้องๆ ที่ตัดมาใส่ คำพูดของหลายๆคนคือดีมาก ชอบที่สุดคือ แก้ว ตอบดีหลายคำถามเลย
3. ชอบการสร้างกิจกรรมเรียนแอคติ้งให้น้อง จริงๆคือ ดีใจที่น้องมีโอกาสได้เรียน แล้วก็ถือว่าดีที่หนังเอามาให้ดู
4. รู้สึกดีที่เขาไม่ตัดภาพคนที่แกรดแล้วทิ้งไป
สิ่งที่ไม่ชอบ
การตัดต่อที่สลับไปมา งง โดยเฉพาะ
1. พาร์ทการเรียนแอคติ้ง ซึ่งเนื้อหาเป็นเกี่ยวกับ การกระชับความสัมพันธ์ การเป็นตัวของตัวเอง และการทำงานเป็นทีม ฟุตเทจเหล่านี้ถูกตัดไปแทรกอยู่ตลอดทั้งเรื่อง โดนไม่ได้เรียงลำดับความสัมพันธ์กับฟุตเทจรอบข้างเลย
2. ฟุตเทจที่สัมภาษณ์น้อง คือเข้าใจว่าก็เป็นคำถามเกี่ยวกับประเด็นหลักในเรื่องแหละ ทั้ง เรื่องการแข่งระหว่างรุ่น และความรู้สึกต่อ GE1 แต่เขาตัดสลับกันไป สลับกันมา ทำให้ดูไม่ปะติดปะต่อ เอา 2 ประเด็นของเรื่องมายำสลับกันไปหมด
ไม่รู้คนอื่นๆมองว่าไงกันนะ อาจจะมองว่าการตัดต่อแบบนี้เป็นศิลปะการเล่าเรื่องอีกแบบหนึ่ง แต่สำหรับเรา คิดว่าควรเล่าทีละเรื่อง
ไม่ชอบอีกอย่างคือตรง end credit คือ Netflix ตัดจบไปดื้อๆเลยโธ่ ฟังเพลงยังไม่ทันจบ หรือเราไปกดอะไรผิดป่าวนะ
คะแนน 6/10
[สปอย] สรุปประเด็น One take เล่าอะไรบ้าง
สารคดีเรื่องหนึ่ง ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเล่าเรื่องที่คนดูยังไม่เคยรู้ ให้เขารู้และเข้าใจเพิ่มขึ้น
สารคดี BNK48 ก็เหมือนกัน พวกเราๆในฐานะโอตะ ได้ดูมาก็จะรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่ตอนดู GDC แล้วว่า เรื่องพวกนี้เราก็รู้อยู่แล้ว เล่าทำไม แต่ในมุมคนนอก ไม่เคยรู้จักมาก่อน มันเป็นเหมือนวิดิโอสรุปเรื่องราวสั้นๆ บันทึกหน้าประวัติศาสตร์เอาไว้ให้คนมาดู มาศึกษาทำความเข้าใจ , One take ก็เหมือนกันนะ บันทึกเหตุการณ์ไว้ เล่าที่มาที่ไป ให้คนนอกมาดูแล้วเข้าใจในเวลาสั้นๆ
ดังนั้นความรู้สึกที่มีต่อหนังคือ โอเคกับเนื้อหาในหนัง
เข้าสู่ตัวหนัง One take เล่าเรื่องต่อจาก GDC
GDC เล่าที่มาของ 48 ,อธิบายคอนเซปวง, ความยากลำบากในช่วงเริ่มวง จนกระทั่งวงประสบความสำเร็จ, พร้อมๆกับสะท้อนให้เห็นถึง “ความพยายาม” ที่แต่ละคนมี
ส่วน One take จะเล่าถึง 2 ประเด็น คือ
1. การมาของรุ่น 2 และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น
2. การเลือกตั้งครั้งแรก
เริ่มจากตอนที่คุ้กกี้ดังมาก ทำให้วงมีงานเยอะ
Under รุ่น1 หลายคนได้โอกาสมากขึ้น
แฟนให้การสนับสนุนวงดี ถึงขั้นส่งไป World sen ก็ติดอันดับได้ตั้ง 2 คน
จังหวะที่งานเยอะขึ้น+กำลังมีกระแส เลยรับรุ่น2
ทำให้รุ่น1 บางคนที่กำลังจะเกิด ก็อดเกิดไปเลย ก็มีน้องบางคนก็ยอมรับชะตาตรงนี้ได้ ไม่เครียด
รุ่น2 คนมาสมัครเยอะขึ้น ผู้บริหารคัดเลือกยาก จึงใช้เกณฑ์หน้าตาและความสามารถเป็นหลัก เลยจะเห็นชัดว่ารุ่น2 มีแต่คนสวยๆ เก่งๆ แต่รุ่น2 ก็มาพร้อมความกดดัน รุ่นพี่ทำไว้ดี เลยต้องพยายามยิ่งขึ้น ไหนจะแข่งกับรุ่นเดียวกัน ไหนจะแข่งกับรุ่นพี่
รุ่น1 บางคนก็ไม่พอใจที่มีรุ่น2 แต่บางคนก็ไม่สนใจที่มีรุ่น2 เพราะยังไงก็ต้องพัฒนาตัวเองต่อ
การอยู่ร่วมกันช่วงแรกไม่ค่อยลงตัว จึงต้องมีการจัดกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ต่างๆมาช่วย
ปัญหาโลกแตกของไอดอลที่ต้องเจอ เจอกันตั้งแต่รุ่น1 ยันรุ่น2 คือการบุลลี่ และ การเป็นตัวของตัวเอง ก็ต้องหาวิธีจัดการกับมันให้ได้ มียกตัวอย่างไอดอลรุ่นเก่า
งานเลือกตั้งครั้งแรก GE1
หนังมีเบื้องหลังต่างๆให้ดู ตั้งแต่ร่างโปสเตอร์ ถ่ายโปสเตอร์ ถ่ายคลิปหาเสียง ฟังผลด่วนทุกรอบ ซ้อมคอนก่อนงาน ภาพในงาน ไปถึงหลังเวทีตอบจบงานเลือกตั้ง
น้องๆบอกเล่าความรู้สึกต่อ GE1 บางคนชอบที่จะได้รู้อันดับที่มาจากแฟนคลับ บางคนก็ไม่ชอบเลยที่ต้องมาถูกวัดด้วยอะไรแบบนี้ น้องรู้ดีว่ามันแข่งกันที่เงิน หลายคนก็เกรงใจ แต่ก็อยากได้โอกาสติดตามอันดับที่คาดไว้ ด้วยเหตุผลต่างกันไป แล้วก็มีพูดแสดงความเห็นต่ออันดับของเพื่อน มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ยินดีและไม่ยินดี
นอกจากนี้ยังมีสัมภาษณ์โอตะบางบ้านถึงความตั้งใจในการติดตามน้องและการเตรียมตัวโหวต
สิ่งที่ชอบ
1. สัมภาษณ์โอตะ คนนอกบางคนที่สงสัยในตัวโอตะ จะได้รับฟังไปพร้อมกับหนังเลย เผื่อดูๆอยู่แล้วเกิดคำถามว่า ทำไมโอตะยอมโหวตขนาดนี้ ก็จะได้คำตอบทันที
2. สัมภาษณ์น้องๆ ที่ตัดมาใส่ คำพูดของหลายๆคนคือดีมาก ชอบที่สุดคือ แก้ว ตอบดีหลายคำถามเลย
3. ชอบการสร้างกิจกรรมเรียนแอคติ้งให้น้อง จริงๆคือ ดีใจที่น้องมีโอกาสได้เรียน แล้วก็ถือว่าดีที่หนังเอามาให้ดู
4. รู้สึกดีที่เขาไม่ตัดภาพคนที่แกรดแล้วทิ้งไป
สิ่งที่ไม่ชอบ
การตัดต่อที่สลับไปมา งง โดยเฉพาะ
1. พาร์ทการเรียนแอคติ้ง ซึ่งเนื้อหาเป็นเกี่ยวกับ การกระชับความสัมพันธ์ การเป็นตัวของตัวเอง และการทำงานเป็นทีม ฟุตเทจเหล่านี้ถูกตัดไปแทรกอยู่ตลอดทั้งเรื่อง โดนไม่ได้เรียงลำดับความสัมพันธ์กับฟุตเทจรอบข้างเลย
2. ฟุตเทจที่สัมภาษณ์น้อง คือเข้าใจว่าก็เป็นคำถามเกี่ยวกับประเด็นหลักในเรื่องแหละ ทั้ง เรื่องการแข่งระหว่างรุ่น และความรู้สึกต่อ GE1 แต่เขาตัดสลับกันไป สลับกันมา ทำให้ดูไม่ปะติดปะต่อ เอา 2 ประเด็นของเรื่องมายำสลับกันไปหมด
ไม่รู้คนอื่นๆมองว่าไงกันนะ อาจจะมองว่าการตัดต่อแบบนี้เป็นศิลปะการเล่าเรื่องอีกแบบหนึ่ง แต่สำหรับเรา คิดว่าควรเล่าทีละเรื่อง
ไม่ชอบอีกอย่างคือตรง end credit คือ Netflix ตัดจบไปดื้อๆเลยโธ่ ฟังเพลงยังไม่ทันจบ หรือเราไปกดอะไรผิดป่าวนะ
คะแนน 6/10