------ ที่เขียนว่ารีวิวทิ้งไว้ เพราะว่าถ้าปีหน้ากลับมา จะได้มี reference ว่าเคยวิจารณ์อะไรไว้
เพราะตอน GDC ก็เขียนทิ้งไว้อันนึงเหมือนกัน ...... ** พาร์ทความเห็นหลักๆ เอาเฉพาะที่ขีดเส้นใต้ก็พอ **

จริงๆ ก็ยกมาจากอีกกระทู้ที่ตอบไว้ก่อน
ภาพที่คิดไว้ก็คือสารคดีอยู่แล้ว

ความคาดหวังก่อนดูก็คือ 
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้- คิดว่าโครงเรื่องก็จะไม่มีอะไรมากอยู่แล้ว (เพราะเป็นสารคดีในช่วงที่ต่างกันกับช่วงของพี่เต๋อ)
- และก็ยังคิดว่าโครงเรื่องจะไม่สามารถมีอะไรมากได้อยู่แล้วด้วย 
- ยังไม่นับว่า เนื้อเรื่องสำคัญที่เกิดพ่วงกับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (ดราม่าโคตรระหว่างทางโคตรเยอะระหว่างเริ่มจนจบ รวมถึงพาร์ทที่ต้องดึงออก จากการจบการศึกษา)
- รวมไปถึงความเกรงใจต่ออนาคตของผู้ให้สัมภาษณ์ด้วย (ก็น่าจะทำให้ตัวบทสัมภาษณ์ที่จะเป็น Talk of.. ก็น่าจะหายไปเยอะ)
- ยังไม่นับว่า Effect จากการสัมภาษณ์ใน GDC -> ห้องดำ บางอันที่ทำให้น้องบางคนอาจจะเซฟโซนขึ้นอีก
- และยังมีเรื่องที่ เม็มเบอร์ที่พูดบางเรื่อง ยังถูก Quote ข้อความบางอย่างมาตอกย้ำหรือ คนนอกเข้าใจผิดอยูเลย
 
- ด้วยความเป็น Documentary เล่าเรื่องราวช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่ง ในเมื่อ GDC ได้เล่าในมุมของ ความรู้สึกประจำวงไปแล้ว 
(บวกลบต่างๆนานา แต่เป็นความรู้สึกที่จะมีตลอดเวลาที่อยู่ในวง) โดยหลักแล้ว สารคดี ก็คือการบันทึกสิ่งใดสิ่งนึงในช่วงเวลาหนึ่งๆ ดังนั้น Onetake ก็ต้องออกแนวบันทึกเหตุการณ์อยู่แล้วอ่ะ
- เมื่อมันเป็นการบันทึกเหตุการณ์ใดๆ มันยืดเยื้อมานานมากๆ มากซะจนความน่าตื่นเต้นมันก็น่าจะหายไปแล้ว (ซึ่งก็ต้องไปย้อนว่ายืดมานานเพราะอะไร ใครแกรด ใครออก ข่าวลบ เนื้อหาข้ามกัน พาดพิงคนที่ออก หรืออะไรก็ช่าง) documentary แนวนี้ (บันทึกเหตุการณ์) มันเหมาะให้คนกลับมารำลึกความหลัง ของคนที่มาตาม หลังจากคนที่อยู่ในเรื่องราวทยอยแกรดกันหมดแล้วมากกว่า ดังนั้น feedback ของคนที่ อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด และผ่านเหตุการณ์แบบเดียวกันที่ใหม่กว่า ก็น่าจะเป็นลบมากๆด้วย
 
- สารคดี ที่ Real และสนองกิเลสคนดู ... จะเกิดขึ้นได้เมื่อเลือกจะนำเสนอด้านลบ (ซึ่งจะทำลายชีวิตของตัวละครซึ่งเป็นของจริง) และใช่ ถ้าคุณย้อนกลับไปวันที่มี GDC ความเห็นก็มีแต่ลบๆกันเต็มบอร์ดไปหมด 555555 ดังนั้นความคาดหวังจริงๆก็น่าจะเป็นแค่บันทึกเหตุการณ์เนี่ยแหล่ะ ซึ่งจะให้ตื่นเต้นมันยากมากเลย (เพราะ backstage เป็นลบและเผยแพร่ยาก) แถมโอตะแทบจะอยู่ในลมหายใจเม็มเบอร์อยู่แล้วเนี่ย บันทึกเหตุการณ์แบบไหนที่โอตะจะไม่รู้มาก่อนมั่งอ่ะ ไม่มีแล้วมั๊ง

--------------

คราวนี้หลังดูจบ

- เรารู้สึกว่า จริงๆหนังมันมาผิดเวลาไปมากๆ 

- ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะปล่อยหนังนี้ในความรู้สึกเราคือ "ก่อนประกาศ General Election 2" นั่นคือ หนังจบปุ๊บ จ๊อบซังออกมาบอกว่า "และเรากำลังจะมีงาน GE ครั้งที่ 2" 
---- ช่วงเวลารองลงมาก็คือ "เมื่อซิงเกิล 6 ออก ... ออกมาช่วยโปรโมต"
---- ช่วงเวลาที่ไปกว่านั้นก็คือ การ reborn/revival ของวง (วงกลับมามีอะไรสักอย่างทำให้บูม หลังจากการจบการศึกษาของเหล่าคามิ 7 ในการเลือกตั้งครั้งแรก

- เรารู้สึกว่า การเอา GDC มาเทียบมันไม่แฟร์ เพราะเอาเข้าจริงๆ GDC มันคือหนังที่ โฟกัสอยู่ที่ "การแข่งขัน / ตำแหน่ง / ที่ยืน / การเอาตัวรอด" ประเด็นของ Documentary มันอยู่ในส่วนที่พอจะเปิดเผยได้ และครอบคลุมไปหมดแล้ว (ซึ่งก็น่าจะเป็นเหตุผลของการที่ นวพลเองก็ตัดสินใจว่าจะไม่กลับมาทำอีกพักนึงจนกว่านะมีเรื่องราวอัพเดท - coming of age เช่น เม็มหลักตัวเดินสำเร็จแล้วเต็มตัว หรือแกรดออกมา อะไรแบบนั้น)

- การทำหนังที่โฟกัสอะไรแบบเดียวกับ GDC มันก็คือ ซ้ำ (นั่นคือ แล้วจะทำไปทำไม) ดังนั้นการทำสารคดี (ซึ่งเป็นของที่ต้องยึดโยงเหตุการณ์) ก็ต้องเอาไปผูกกับกิจกรรมขนาดใหญ่สักอันนึง ตัวเลือกก็มี งานเลือกตั้ง / คอนเสิร์ต / งานใหญ่ระดับเดียวกัน(ซึ่งไม่มีเลยตลอดระยะเวลาหลัง GE1 ดังจะเห็นได้ว่ากระแสวงก็ฮวบๆมาเรื่อยๆ) ในเมื่อตัวเลือกก็มีจำกัดมาก มันอาจจะเป็น Flight บังคับให้เส้นเรื่องที่ต้องเลือก มันผูกติดกับตรงนี้แหล่ะ
- (เส้นเรื่องอื่นๆก็ ถ้านับตามไทม์ไลน์ เอาจริงๆคือไม่มีเส้นเรื่องอะไรระหว่างนั้นเลยนะ เอาว่าพล๊อตของเรื่องนี้คือ หลังรุ่นสองมา ไปจนถึง เลือกตั้งจบ ก็คือไม่มีเหตุการณ์อะไรระหว่างนั้นเลยจริงๆ)
- ถ้าเวลามีไม่จำกัด แล้วถ่ายใหม่หรือเลือกหัวข้อใหม่ได้ เราว่า ผกก. ก็คงไม่อยู่ที่ประเด็นนี้หรอก แต่ด้วยเวลา มันไม่มีจริงๆ

- ช่วงเวลาที่ถ่ายทำ วงไม่มี Class Acting เลย ... และพันทิพ ก็พูดถึงเรื่องนี้กันพอสมควร ถ้ามันไม่ได้ผิดเวลา ไม่ผิดไทม์ไลน์มากขนาดนี้ เราว่ามันถูกใส่เข้ามาภายหลัง เพื่อส่ง message ออกไปว่า "เรามีนะคลาสเนี่ย"

- และเราว่ามันถูกใส่ขึ้นมาแทนบริบท และบทสนทนาบางอย่าง ที่ไม่ผ่านการคัดกรองในดราฟแรก รวมไปถึง เม็มเบอร์ที่แกรดระหว่างทาง แต่มีบทในหนังด้วย
- เรารู้สึกว่า สารคดีไม่สามารถเล่าไปในทาง GDC ได้โดยไม่ทิ้งแผล หรือทำร้ายใครระหว่างนั้น (ใช่ ถ้าอำมหิตแบบพี่เต๋อ เราเชื่อว่า ระหว่างการทำฟุตเทย ก็มีประโยคที่ดีมากๆ ที่ออกอากาศไม่ได้อยู่แหล่ะ แต่เค้าก็ตัดออก / หรือในทางกลับกัน เม็มที่รู้สึกว่าตัวเองสุ่มเสี่ยง กับการจะพูดเรื่องพวกนี้ ก็จะระวังขึ้นกว่าตอนเล่าให้พี่เต๋อฟัง)

- การลำดับเรื่องสลับไปสลับมา แบบเส้นเรื่องผสมผสานกัน ทำให้การดูมันยากมาก จับประเด็นยาก
- ประเด็น GE เป็นประเด็นที่ไม่มีทางจะถูกใจโอตะได้เลย (เพราะโอตะ รู้แทบจะเกือบ 100% แล้ว .... และเรื่องที่โอตะไม่รู้ คือเรื่องที่ก็คือไม่สามารถออกอากาศได้ หรือไม่ควรออกอากาศได้ ทั้งนั้นอ่ะแหล่ะ)
- แถมเอาเข้าจริงๆระหว่าง รุ่นสองมา ถึง GE1 จบ ไม่ได้มีอีเวนท์ใหญ่ที่เข้ามากระทบงานเลย
- ถ้าเล่า GE2 อาจจะมีให้เล่ามากกว่า ว่าต้องทำอะไรบ้าง มีความตื่นเต้น (เพราะเปลีย่นรูปแบบงาน เจอดราม่า ยกเลิกนู่นนี่นั่น เจอโควิด เปลี่ยนผบห)
- เราคิดว่า ถ้าหนังมาถูกไทม์ไลน์ (เวลาที่ดีที่สุดที่พิมพ์ไปข้างบน) มีหลายข้อความ หลายจุด หลายฉาก เอามาใช้บิวด์กิจกรรม GE2 ได้ดีเลยทีเดียว
- การที่หนังออกมาช้า ผลของวิธีคิดมันเปลี่ยนไปแล้ว (คือการเลือก ผลการเลือกตั้ง มันมีผลของมันเอฟเฟกต์ของมัน -- และเอฟเฟกต์ของมันได้ถูกผลของ GE2 ลบทับไปหมดแล้ว)
- แต่ถ้าสารคดีจะดีกว่านี้ได้ ก็ต้องลากมาจบด้วย To be continued ... โดยลากยาวมาถึงดราม่า ถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง ถึงความรู้สึกของเด็กๆ ในช่วงระหว่างที่ยังไม่เริ่ม GE2 เช่น การอยากเปลี่ยนอันดับ การไม่ได้งาน การเสียงานไป การหาคนใหม่มาแทน (ก็จะมีจุดพีค จุดเครียด แต่ถามว่ากระทบเด็กที่เกี่ยวไหม ก็กระทบหมดอ่ะ) และใช่ มันก็กลับไปที่ว่า เวลาที่ดีที่สุดมันได้ผ่านมาแล้ว

- ข้อดีมากๆ คือ แสง การถ่ายทำ เสียง ภาพรวม บรรยากาศ จริงๆเก็บดีเทลมาได้ดีมาก
- ข้อที่แย่มากๆ คือ ประเด็นที่หยิบยก โดยเฉพาะเรื่องการเขียนอันดับ เป็นประเด็นที่เฉพาะครั้งมากเลยอ่ะ คือเป็นประเด็นที่เล่าแล้วไม่ทำให้เกิดอารมณ์ร่วมอะไรเลย (relive เหตุการณ์ ที่รู้ผลอยู่แล้วว่าเป็นยังไง) และการเลือกนี้ "ไม่ได้ส่งผลกระทบถึงปัจจุบัน" (หรือไม่ได้ส่งผลกระทบอีกต่อไปแล้ว)

- เราว่าสิ่งที่ขาดไปในหนังเรื่องนี้คือ "Present perfect tense" มันไม่มีคำพูดไหนที่อยู่ยาวมาตลอดกาล (แบบคำที่เกิดขึ้นใน GDC) หลายอย่างเปลี่ยนไปแล้วหลังเลือกตั้งที่ตามมา ...... มันไม่มีคำที่ตราตรึง ... วงแตก ยืนข้างกัน หรืออะไรพวกนี้ เหลืออยู่เลย ...  // คือมันไม่ได้มีสักประโยคเลย ที่เป็นความเชื่อที่สตรองของตัวละคร (เรียกว่าความเชื่อของน้องๆ ในการดำรงชีวิตในวง) ที่สะท้อนไปหาความมุ่งมั่นหรือทัศนคติของน้องบางคน

- และเราว่า โอตะปัจจุบัน ก็ไม่ใช่ Target group อยู่ดี ถ้าจะมีใครสักคนดู ก็คือรำลึกความหลังเฉยๆ เพราะจริงๆในเหตุการณ์ระดับ Grand Event อย่าง General Election โอตะแทบจะขายบ้านขายรถโหวตกัน เนื้องานนี่ตามกันละเอียดยิบ ในอีกด้าน น้องๆก็ไลฟ์เล่าความรู้สึกละเอียดยิบกันมาตลอด สิ่งเดียวที่พอมีคือ ความสดในขณะที่พูด ณ วันนั้น

การจะเล่าเรื่อง GE ได้นั้น มันต้องเล่าจากสองด้าน แฟนคลับทำอะไร เม็มเบอร์ตอบยังไง แต่เม็มเยอะระดับนั้น มันคงยากอ่ะ
และ เราคิดว่าจริงๆแล้ว ถ้าเทียบกับ GDC ในช่วงสัปดาห์ที่ออกฉาย มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น รีวิว GDC วันนั้นดูเผินๆ จะแย่ไม่แพ้กันด้วยซ้ำ
 

----------------------

แล้วถ้าจะมีสารคดีใหม่ล่ะ

เราคิดว่า BNK น่าจะไม่ทำสารคดีเรื่องใหม่ไปอีกยาวเลยแหล่ะ เพราะในฝั่งวงเองไม่มีประเด็นอะไรแล้ว
ยกเว้นว่า ผบห. จะยอมให้เล่าประเด็นอ่อนไหวต่างๆ 
- เลือกคนยังไง (ถ้าเล่าเรื่องนี้ มันก็จะมีเด็กที่เหมือนพยายามเก็งข้อสอบ ซึ่งไม่ดี)
- เบื้องหลังการทำงาน (คือเอาจริงๆ ไม่มีงานไหนจบแบบเป็นประวัติศาสตร์ที่ดีเลยอ่ะ ดังนั้นหลังบ้านต้องไม่ดีพอที่จะเล่าเป็นสารคดีได้อยู่แล้ว)
- เบื้องหลังการผลิตงานอื่นๆ 

เรารู้สึกว่า ถ้าจะทำสารคดีนะ ทำรายการกึ่งรายการประจำ ออกมาแบบ senpai ดูน่าติดตามกว่า (บรรยากาศหลังห้องซ้อม เบื้องหลังเพลง เบื้องหลังการทำงานเพลงต่างๆ การซ้อม) ไว้ออกเป็น journal รายเพลงไป 

----------------------

สรุปก็คือ สำหรับโอตะแล้ว สารคดีเรื่องนี้ มีไว้ดู "Footage" ที่ยังไม่เคยเห็น ซะมากกว่า
ที่เหลือคือเรารู้หมดแล้ว และเรา "Move on" จาก GE1 มาสักพักใหญ่ๆแล้ว (ก็คือว่ากันตรงๆ
ตั้งแต่ 19 มีนาคมมา ที่เงินบาทสุดท้ายถูกใส่เข้าไปโหวต โอตะก็มูฟออนจาก GE1 แล้ว
เพราะหลังจากวันนั้น ผลของ GE1 ก็จะสิ้นสุดและมีข้อสรุปทุกอย่างแล้ว)