+ ชายผู้เปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับสัตว์ในคริสตปรัชญา +
ในเวลาที่เราเห็นคนเรียกน้องหมา น้องแมว มากขึ้น เราพบพฤติกรรมอันใหม่นี้แพร่หลายไม่เกิน 30 ปีที่ผ่านมา เพราะก่อนหน้าไม่ช้านานการนับสัตว์เป็นครอบครัวญาติพี่น้องถูกมองว่า "โอเว่อร์" หรือ "เพี้ยน" และในกระแสการยกระดับและคลั่งไคล้เอ็นดูสัตว์ในปัจจุบัน ก็ปรากฎการฟีเวอร์ขึ้นในการพูดถึงและให้ความเคารพแก่นักบุญท่านหนึ่ง ผู้ราวกับเกิดมาก่อนกาลเวลาล้ำหน้ากว่าใครในยุคสมัยของตน เพราะเขาผู้เรียกสัตว์เป็นน้อง เมื่อเกือบ 900 ปีที่แล้ว แล้วไม่ใช่แค่สัตว์ แม้พระอาทิตย์กับพระจันทร์ก็นับเป็นพี่ เขาจึงอาจเป็นมนุษย์คนแรกที่นับญาติกับสัตว์ และสิ่งสร้างทั้งหมดของพระเจ้า
นักบุญ ฟรังซิส แห่ง อัสซิซี เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1181 เป็นนักบุญคนสำคัญของคริสตศาสนาเพราะได้ชื่อว่า สวรรค์ส่งมาเกิดให้เป็นผู้กอบกู้พระศาสนจักรในยุคกลาง ที่พระสงฆ์นักบวชเริ่มมีอำนาจทางโลกมากเกินไป และเริ่มฟุ้งเฟ้อเกินฐานะศิษย์พระคริสต์ผู้ยากจน ชายผู้ก่อตั้งคณะนักบวชที่ทำตัวเช่นเหล่าศิษย์ของพระเยซู ไม่ขอมีทรัพย์สินใด ไม่แตะเงินอาหารส่วนหนึ่งมาจากการขอบริจาคทาน และกลับไปใช้วิถีชีวิตแบบที่พระเยซูทำในพระคัมภีร์ ท่านทำให้เหล่าพระสังฆราชถึงแก่ถกเถียงกันว่า ที่ท่านทำนี้มันสุดโต่งเกินไปไหม จนมีพระสังฆราชท่านหนึ่งพูดขึ้นกลางที่ประชุมว่า ถ้าที่ฟรังซิสทำมันผิด เท่ากับเรากำลังบอกว่าสิ่งที่พระเยซูสอนทำไม่ได้จริง ท่านจึงเป็นนักปฏิรูปคริสตศาสนาคนแรกๆ ที่ปฏิรูปศาสนาสู่ความสมถะยากจนจากภายใน ท่านจึงเป็นนักบุญในสาระบบของคาทอลิก และโปรแตสแตนท์ แองกลีกัน และลูเธอรัน ด้วย
บทอธิษฐานที่ท่านแต่งยังลึกซึ้งกินใจชาวคริสต์ทั้งคาทอลิกและโปรแตสแตนท์จำนวนมากที่ว่า
"ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้าเป็นเครื่องมือของพระองค์ เพื่อสร้างสันติ
- ที่ใดมีความเกลียดชัง ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความรัก
- ที่ใดมีความเจ็บแค้น ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำการอภัย
- ที่ใดมีความแตกแยก ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความสามัคคี...."
บทอธิษฐานภาวนาของท่านจึงเป็นบทที่ถูกยกขึ้นมาเสมอในงานสานสัมพันธ์ระหว่างคริสต์นิกายต่างๆ
และยิ่งกว่านั้นวีรกรรมที่ท่านบุกเข้าไปหาสุลต่านมุสลิมในค่ายทหารมุสลิม เพื่อเสวนาสร้างความเข้าใจในศาสนาคริสต์อย่างไม่กลัวความตาย จนสุลต่าน ทึ่งและนับถือในตัวท่าน และปล่อยท่านออกมาอย่างปลอดภัยทั้งที่เคยฆ่าคริสตชนมามากมาย ทำให้ในปัจจุบันเมื่อการเสวนาระหว่างศาสนาคริสต์และศาสนาอื่น เป็นวิสัยทัศน์ของพระศาสนจักรท่านจึงถูกยกขึ้นมาเป็นองค์อุปถัมภ์การเสวนาระหว่างศาสนาด้วย
แต่การสร้างสันติและมิตรภาพของท่านไม่จำกัดแค่คนต่างศาสนากัน หรือคนนิกายกัน แต่วีรกรรมในชีวิตท่านยังเต็มไปด้วยมิตรภาพของท่านและสัตว์ต่างๆอีกด้วย
ก่อนหน้ายุคสมัยของท่าน ตั้งแต่ศาสนายิวมา การฆ่าสัตว์เป็นวิถีชีวิตธรรมดาของมนุษย์ ด้วยข้อความในปฐมกาล
“ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไปและสัตว์ต่างๆ ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน” (ปฐมกาล 1:26)
ชาวยิว คริสต์ อิสลาม จึงไม่สอนว่าบาปในการฆ่าสัตว์โดยเฉพาะเพื่อเอามากิน แต่เทววิทยาของฟรังซิสผู้นี้ บอกว่าการปกครองที่พระเจ้าหมายถึงไม่ใช่การมุ่งแสวงหาประโยชน์ แต่ให้ดูแลรักษา ดุจ ดังลูกที่ดีที่รักพ่อ ย่อมดูแลและรักษาของขวัญที่พ่อให้อย่างดี ไม่ใช่ใช้ทิ้งขว้างทำลายล้างอย่างไม่เห็นค่า ท่านยังชี้ว่า พระเจ้า สร้างมนุษย์คู่แรกมาให้ปลอดภัยและสุขสบายอยู่ใน "สวน" ไม่ใช่มหาวิหารหรือราชวังสุดหรู แต่คือสวนที่มีแต่ต้นไม้ใบหญ้า และสัตว์น้อยใหญ่ ท่านและคณะของท่านจึงเน้นการอยู่กับธรรมชาติในป่าในสวน ทำงานเพาะปลูก และค้นพบพระเจ้าในธรรมชาติและสิ่งที่พระองค์สร้าง สำหรับท่านแล้วทุกสิ่งที่พระเจ้าสร้างล้วนเป็นพี่น้องร่วมบิดาผู้สร้างเดียวกัน ท่านจึงเรียกสิ่งต่างๆทั้งดวงดาว ดิน น้ำ พืช สัตว์ เป็นพี่น้องของท่านทั้งหมด
ท่านไม่ได้พูดสอนโลกสวยเป็นทฤษฎีดีแต่ปาก แต่มีการกระทำจริง มีบันทึกชีวประวัติของท่านและคณะนักบวชได้เล่าเรื่องราว(ที่ยากจะสรุปว่าเหนือธรรมชาติหรือสุดแสนจะธรรมชาติกันแน่)ของท่านกับสัตว์ไว้มากมายกว่านักบุญคนอื่นๆในคริสตศาสนา
- การเทศนาให้เหล่านก -
มีบันทึกว่า เมื่อคนไม่มาฟังท่านเทศนา ท่านเลยหันไปเทศนาให้นกฟัง ปรากฏว่าเริ่มมีนกมากมายมาชุมนุมกัน แม้แต่นกแปลกๆต่างถิ่นที่คนแถวนั้นไม่เคยเห็น พวกมันเกาะเต็มพื้นเต็มต้นไม้รอบตัวท่าน ท่านได้สอนพวกมันถึงพระเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อพวกมัน ให้มีขนสวยงาม ให้มีอาหารประจำวัน ฯลฯ พวกมันฟังกันอย่างสงบนิ่งเป็นที่ตื่นตาตื่นใจของผู้พบเห็นจนเอาไปเล่าต่อๆกันทั่วเมือง
-กระต่ายป่าที่ แกร๊กโซ-
ในปี 1229 ท่านพบกระต่ายติดกับดักที่ชายป่าแกร๊กโซ ท่านช่วยมันจากกับดัก และอุ้มมันอย่างอ่อนโยนและพูดกับมันว่า "น้องกระต่ายระวังอย่าให้ใครจับได้อีกนะ"จากนั้นท่านก็ปล่อยมัน แต่มันกลับไม่ยอมไปไหน และกระโดดมาบนตักท่าน ท่านจึงค่อยๆอุ้ม และพูดกับมันว่า กลับเข้าป่าไปได้แล้วปลอดภัยแล้ว แต่ไม่ว่ากี่ครั้งมันก็กระโดดกลับมาหาท่านตลอด จนท่านต้องขอให้นักบวชท่านอื่นในคณะช่วยนำมันไปปล่อยที่อีกฟากของป่า
-ปล่อยปลาที่เรียตี-
มีคนเอาปลาตัวใหญ่ที่เพิ่งจับได้มาทำบุญให้ท่าน ท่านไม่อยากฆ่ามัน จึงเอามันไปปล่อยพร้อมพูดกับมันว่า"จงไปและสรรเสริญพระเจ้าเถิด"
-น้องน้ำ-
ท่านเคยอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าว่า "สรรเสริญพระเจ้าสำหรับน้องน้ำ ผู้ซึ่งเปี่ยมด้วยคุณประโยชน์ สุภาพ ล้ำค่า และบริสุทธิ์"
และเรื่องที่โด่งดังและมีชื่อเสียงที่สุดคือเรื่อง หมาป่าแห่งกุบบิโย ซึ่งเล่าลือไปทั่วอิตาลี ใน คศ.1220 ที่กุบบิโย มีหมาป่าดุร้ายตัวหนึ่งมักลอบเข้ามากัดกินสัตว์และทำร้ายคนในหมู่บ้าน ชาวบ้านตามล่ามันหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ฟรังซิสทราบเรื่องเข้าท่านรีบเข้าไปในป่า พบหมาป่าดุร้ายตัวนี้เข้า ท่านพูดกับมันอย่างอ่อนหวานว่า "น้องหมาป่าเอ๋ย ในนามพระเยซูเจ้า ฉันขอสั่งห้ามเธอไม่ให้ทำร้ายใครๆอีกเลยนะ" หมาป่านั่นหมอบลงราวกับรู้ภาษา และเดินตามท่านกลับเมือง เมื่อถึงเมืองท่านเจรจากับชาวบ้านว่าอย่าฆ่ามันเลย เพราะที่มันทำไปเพราะ มันหลงฝูงขาดแคลนอาหารจึงหิวโหยโหดร้าย พวกท่านจะช่วยแบ่งปันอาหารให้มันเลี้ยงดูมัน มันจะได้ไม่ทำร้ายใครอีก และฟรังซิสได้หันไปยื่นมือขอสัญญาจากมัน มันก็ยกอุ้งเท้าวางบนมือท่าน ชาวบ้านเห็นมันเชื่องไปเช่นนี้ จึงยอมทำตามและช่วยกันเลี้ยงดูมันในหมู่บ้าน จน2ปีต่อมามันจึงตายลงอย่างสงบที่หมู่บ้านนั่นเอง สิ่งที่ท่านทำเรียกได้ว่าเป็นการฝึกให้ชุมชนร่วมรับผิดชอบและอยู่ร่วมกับสัตว์จรจัดเป็นคนแรกๆของโลก
หลายร้อยปีผ่านไป เมื่อกระแสอนุรักษ์ธรรมชาติ และการรักสัตว์บูมในโลกตะวันตก ชื่อของท่านก็บูมขึ้นมาด้วย เรื่องราววีรกรรมกับสัตว์ในชีวิตของท่านถูกยกขึ้นมาสนับสนุนการอนุรักษ์สัตว์ และปรัชญาเทววิทยาที่ท่านได้ตีความเกี่ยวกับสัตว์อย่างไม่เหมือนใคร ได้ทำให้ศาสนาคริสต์ที่ไม่มีการสอนว่า ฆ่าสัตว์เป็นบาป ก็สามารถใช้ เทววิทยาของน.ฟรังซิส เข้ารองรับกระแสใหม่นี้ได้ทันที แม้แต่ในกลุ่มวีแกน(Vegan)หลายกลุ่มยังยกย่องท่านขึ้นมาเป็นแบบอย่าง (แม้ท่านจะไม่ถึงขนาดกินผักทุกมื้อก็ตามเพราะขอทานมาได้อะไรก็กิน) ผู้มีชื่อเสียงเกี่ยวกับสัตว์บางคน เช่น ซีซาร์ มิลานนักฝึกสุนัขชื่อดังของอเมริกามีรูปปั้นของท่านท่ามกลางสัตว์ อยู่ที่หน้าบ้านของตน ปัจจุบัน หลายโบสถ์ในคาทอลิกและแองกลีกัน มีพิธีอวยพรสัตว์เลี้ยงในวันระลึกท่านคือวันที่ 4 ตุลาคม ของทุกปี
นักบุญฟรังซิส ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักบุญ ผู้อุปถัมภ์สัตว์และระบบนิเวศน์ เพราะท่านรักทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าสร้างและเห็นชัดเจนว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ พืช สัตว์ ดวงดาว สิ่งแวดล้มต่างๆ ล้วนถูกสร้างมาอย่างมีเหตุผลและต้องอยู่อย่างเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
เราทั้งผองไม่เพียงมนุษย์ แต่ทุกสิ่งทั้งจักรวาลนี้ล้วนเป็นพี่น้องกัน
( มัทธิว 5:5,7) ผู้มีใจอ่อนโยน ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก
ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา
CR. :
https://www.facebook.com/100000534736435/posts/2026292424065229/?d=n
ชายผู้เปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับสัตว์ในคริสตปรัชญา
ในเวลาที่เราเห็นคนเรียกน้องหมา น้องแมว มากขึ้น เราพบพฤติกรรมอันใหม่นี้แพร่หลายไม่เกิน 30 ปีที่ผ่านมา เพราะก่อนหน้าไม่ช้านานการนับสัตว์เป็นครอบครัวญาติพี่น้องถูกมองว่า "โอเว่อร์" หรือ "เพี้ยน" และในกระแสการยกระดับและคลั่งไคล้เอ็นดูสัตว์ในปัจจุบัน ก็ปรากฎการฟีเวอร์ขึ้นในการพูดถึงและให้ความเคารพแก่นักบุญท่านหนึ่ง ผู้ราวกับเกิดมาก่อนกาลเวลาล้ำหน้ากว่าใครในยุคสมัยของตน เพราะเขาผู้เรียกสัตว์เป็นน้อง เมื่อเกือบ 900 ปีที่แล้ว แล้วไม่ใช่แค่สัตว์ แม้พระอาทิตย์กับพระจันทร์ก็นับเป็นพี่ เขาจึงอาจเป็นมนุษย์คนแรกที่นับญาติกับสัตว์ และสิ่งสร้างทั้งหมดของพระเจ้า
นักบุญ ฟรังซิส แห่ง อัสซิซี เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1181 เป็นนักบุญคนสำคัญของคริสตศาสนาเพราะได้ชื่อว่า สวรรค์ส่งมาเกิดให้เป็นผู้กอบกู้พระศาสนจักรในยุคกลาง ที่พระสงฆ์นักบวชเริ่มมีอำนาจทางโลกมากเกินไป และเริ่มฟุ้งเฟ้อเกินฐานะศิษย์พระคริสต์ผู้ยากจน ชายผู้ก่อตั้งคณะนักบวชที่ทำตัวเช่นเหล่าศิษย์ของพระเยซู ไม่ขอมีทรัพย์สินใด ไม่แตะเงินอาหารส่วนหนึ่งมาจากการขอบริจาคทาน และกลับไปใช้วิถีชีวิตแบบที่พระเยซูทำในพระคัมภีร์ ท่านทำให้เหล่าพระสังฆราชถึงแก่ถกเถียงกันว่า ที่ท่านทำนี้มันสุดโต่งเกินไปไหม จนมีพระสังฆราชท่านหนึ่งพูดขึ้นกลางที่ประชุมว่า ถ้าที่ฟรังซิสทำมันผิด เท่ากับเรากำลังบอกว่าสิ่งที่พระเยซูสอนทำไม่ได้จริง ท่านจึงเป็นนักปฏิรูปคริสตศาสนาคนแรกๆ ที่ปฏิรูปศาสนาสู่ความสมถะยากจนจากภายใน ท่านจึงเป็นนักบุญในสาระบบของคาทอลิก และโปรแตสแตนท์ แองกลีกัน และลูเธอรัน ด้วย
บทอธิษฐานที่ท่านแต่งยังลึกซึ้งกินใจชาวคริสต์ทั้งคาทอลิกและโปรแตสแตนท์จำนวนมากที่ว่า
"ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้าเป็นเครื่องมือของพระองค์ เพื่อสร้างสันติ
- ที่ใดมีความเกลียดชัง ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความรัก
- ที่ใดมีความเจ็บแค้น ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำการอภัย
- ที่ใดมีความแตกแยก ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความสามัคคี...."
บทอธิษฐานภาวนาของท่านจึงเป็นบทที่ถูกยกขึ้นมาเสมอในงานสานสัมพันธ์ระหว่างคริสต์นิกายต่างๆ
และยิ่งกว่านั้นวีรกรรมที่ท่านบุกเข้าไปหาสุลต่านมุสลิมในค่ายทหารมุสลิม เพื่อเสวนาสร้างความเข้าใจในศาสนาคริสต์อย่างไม่กลัวความตาย จนสุลต่าน ทึ่งและนับถือในตัวท่าน และปล่อยท่านออกมาอย่างปลอดภัยทั้งที่เคยฆ่าคริสตชนมามากมาย ทำให้ในปัจจุบันเมื่อการเสวนาระหว่างศาสนาคริสต์และศาสนาอื่น เป็นวิสัยทัศน์ของพระศาสนจักรท่านจึงถูกยกขึ้นมาเป็นองค์อุปถัมภ์การเสวนาระหว่างศาสนาด้วย
แต่การสร้างสันติและมิตรภาพของท่านไม่จำกัดแค่คนต่างศาสนากัน หรือคนนิกายกัน แต่วีรกรรมในชีวิตท่านยังเต็มไปด้วยมิตรภาพของท่านและสัตว์ต่างๆอีกด้วย
ก่อนหน้ายุคสมัยของท่าน ตั้งแต่ศาสนายิวมา การฆ่าสัตว์เป็นวิถีชีวิตธรรมดาของมนุษย์ ด้วยข้อความในปฐมกาล
“ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไปและสัตว์ต่างๆ ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน” (ปฐมกาล 1:26)
ชาวยิว คริสต์ อิสลาม จึงไม่สอนว่าบาปในการฆ่าสัตว์โดยเฉพาะเพื่อเอามากิน แต่เทววิทยาของฟรังซิสผู้นี้ บอกว่าการปกครองที่พระเจ้าหมายถึงไม่ใช่การมุ่งแสวงหาประโยชน์ แต่ให้ดูแลรักษา ดุจ ดังลูกที่ดีที่รักพ่อ ย่อมดูแลและรักษาของขวัญที่พ่อให้อย่างดี ไม่ใช่ใช้ทิ้งขว้างทำลายล้างอย่างไม่เห็นค่า ท่านยังชี้ว่า พระเจ้า สร้างมนุษย์คู่แรกมาให้ปลอดภัยและสุขสบายอยู่ใน "สวน" ไม่ใช่มหาวิหารหรือราชวังสุดหรู แต่คือสวนที่มีแต่ต้นไม้ใบหญ้า และสัตว์น้อยใหญ่ ท่านและคณะของท่านจึงเน้นการอยู่กับธรรมชาติในป่าในสวน ทำงานเพาะปลูก และค้นพบพระเจ้าในธรรมชาติและสิ่งที่พระองค์สร้าง สำหรับท่านแล้วทุกสิ่งที่พระเจ้าสร้างล้วนเป็นพี่น้องร่วมบิดาผู้สร้างเดียวกัน ท่านจึงเรียกสิ่งต่างๆทั้งดวงดาว ดิน น้ำ พืช สัตว์ เป็นพี่น้องของท่านทั้งหมด
ท่านไม่ได้พูดสอนโลกสวยเป็นทฤษฎีดีแต่ปาก แต่มีการกระทำจริง มีบันทึกชีวประวัติของท่านและคณะนักบวชได้เล่าเรื่องราว(ที่ยากจะสรุปว่าเหนือธรรมชาติหรือสุดแสนจะธรรมชาติกันแน่)ของท่านกับสัตว์ไว้มากมายกว่านักบุญคนอื่นๆในคริสตศาสนา
- การเทศนาให้เหล่านก -
มีบันทึกว่า เมื่อคนไม่มาฟังท่านเทศนา ท่านเลยหันไปเทศนาให้นกฟัง ปรากฏว่าเริ่มมีนกมากมายมาชุมนุมกัน แม้แต่นกแปลกๆต่างถิ่นที่คนแถวนั้นไม่เคยเห็น พวกมันเกาะเต็มพื้นเต็มต้นไม้รอบตัวท่าน ท่านได้สอนพวกมันถึงพระเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อพวกมัน ให้มีขนสวยงาม ให้มีอาหารประจำวัน ฯลฯ พวกมันฟังกันอย่างสงบนิ่งเป็นที่ตื่นตาตื่นใจของผู้พบเห็นจนเอาไปเล่าต่อๆกันทั่วเมือง
-กระต่ายป่าที่ แกร๊กโซ-
ในปี 1229 ท่านพบกระต่ายติดกับดักที่ชายป่าแกร๊กโซ ท่านช่วยมันจากกับดัก และอุ้มมันอย่างอ่อนโยนและพูดกับมันว่า "น้องกระต่ายระวังอย่าให้ใครจับได้อีกนะ"จากนั้นท่านก็ปล่อยมัน แต่มันกลับไม่ยอมไปไหน และกระโดดมาบนตักท่าน ท่านจึงค่อยๆอุ้ม และพูดกับมันว่า กลับเข้าป่าไปได้แล้วปลอดภัยแล้ว แต่ไม่ว่ากี่ครั้งมันก็กระโดดกลับมาหาท่านตลอด จนท่านต้องขอให้นักบวชท่านอื่นในคณะช่วยนำมันไปปล่อยที่อีกฟากของป่า
-ปล่อยปลาที่เรียตี-
มีคนเอาปลาตัวใหญ่ที่เพิ่งจับได้มาทำบุญให้ท่าน ท่านไม่อยากฆ่ามัน จึงเอามันไปปล่อยพร้อมพูดกับมันว่า"จงไปและสรรเสริญพระเจ้าเถิด"
-น้องน้ำ-
ท่านเคยอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าว่า "สรรเสริญพระเจ้าสำหรับน้องน้ำ ผู้ซึ่งเปี่ยมด้วยคุณประโยชน์ สุภาพ ล้ำค่า และบริสุทธิ์"
และเรื่องที่โด่งดังและมีชื่อเสียงที่สุดคือเรื่อง หมาป่าแห่งกุบบิโย ซึ่งเล่าลือไปทั่วอิตาลี ใน คศ.1220 ที่กุบบิโย มีหมาป่าดุร้ายตัวหนึ่งมักลอบเข้ามากัดกินสัตว์และทำร้ายคนในหมู่บ้าน ชาวบ้านตามล่ามันหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ฟรังซิสทราบเรื่องเข้าท่านรีบเข้าไปในป่า พบหมาป่าดุร้ายตัวนี้เข้า ท่านพูดกับมันอย่างอ่อนหวานว่า "น้องหมาป่าเอ๋ย ในนามพระเยซูเจ้า ฉันขอสั่งห้ามเธอไม่ให้ทำร้ายใครๆอีกเลยนะ" หมาป่านั่นหมอบลงราวกับรู้ภาษา และเดินตามท่านกลับเมือง เมื่อถึงเมืองท่านเจรจากับชาวบ้านว่าอย่าฆ่ามันเลย เพราะที่มันทำไปเพราะ มันหลงฝูงขาดแคลนอาหารจึงหิวโหยโหดร้าย พวกท่านจะช่วยแบ่งปันอาหารให้มันเลี้ยงดูมัน มันจะได้ไม่ทำร้ายใครอีก และฟรังซิสได้หันไปยื่นมือขอสัญญาจากมัน มันก็ยกอุ้งเท้าวางบนมือท่าน ชาวบ้านเห็นมันเชื่องไปเช่นนี้ จึงยอมทำตามและช่วยกันเลี้ยงดูมันในหมู่บ้าน จน2ปีต่อมามันจึงตายลงอย่างสงบที่หมู่บ้านนั่นเอง สิ่งที่ท่านทำเรียกได้ว่าเป็นการฝึกให้ชุมชนร่วมรับผิดชอบและอยู่ร่วมกับสัตว์จรจัดเป็นคนแรกๆของโลก
หลายร้อยปีผ่านไป เมื่อกระแสอนุรักษ์ธรรมชาติ และการรักสัตว์บูมในโลกตะวันตก ชื่อของท่านก็บูมขึ้นมาด้วย เรื่องราววีรกรรมกับสัตว์ในชีวิตของท่านถูกยกขึ้นมาสนับสนุนการอนุรักษ์สัตว์ และปรัชญาเทววิทยาที่ท่านได้ตีความเกี่ยวกับสัตว์อย่างไม่เหมือนใคร ได้ทำให้ศาสนาคริสต์ที่ไม่มีการสอนว่า ฆ่าสัตว์เป็นบาป ก็สามารถใช้ เทววิทยาของน.ฟรังซิส เข้ารองรับกระแสใหม่นี้ได้ทันที แม้แต่ในกลุ่มวีแกน(Vegan)หลายกลุ่มยังยกย่องท่านขึ้นมาเป็นแบบอย่าง (แม้ท่านจะไม่ถึงขนาดกินผักทุกมื้อก็ตามเพราะขอทานมาได้อะไรก็กิน) ผู้มีชื่อเสียงเกี่ยวกับสัตว์บางคน เช่น ซีซาร์ มิลานนักฝึกสุนัขชื่อดังของอเมริกามีรูปปั้นของท่านท่ามกลางสัตว์ อยู่ที่หน้าบ้านของตน ปัจจุบัน หลายโบสถ์ในคาทอลิกและแองกลีกัน มีพิธีอวยพรสัตว์เลี้ยงในวันระลึกท่านคือวันที่ 4 ตุลาคม ของทุกปี
นักบุญฟรังซิส ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักบุญ ผู้อุปถัมภ์สัตว์และระบบนิเวศน์ เพราะท่านรักทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าสร้างและเห็นชัดเจนว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ พืช สัตว์ ดวงดาว สิ่งแวดล้มต่างๆ ล้วนถูกสร้างมาอย่างมีเหตุผลและต้องอยู่อย่างเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
เราทั้งผองไม่เพียงมนุษย์ แต่ทุกสิ่งทั้งจักรวาลนี้ล้วนเป็นพี่น้องกัน
( มัทธิว 5:5,7) ผู้มีใจอ่อนโยน ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก
ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา
CR. : https://www.facebook.com/100000534736435/posts/2026292424065229/?d=n