“
ตลอดระยะเวลากว่า 5000 ปี แห่งอารยธรรมและวิวัฒนการ
ชาติจีนได้สร้างคุณูปการ ต่ออารยธรรมและความก้าวหน้าแห่งมนุษยชาติ
ซึ่งไม่มีวันที่จะถูกลบเลือน”
- ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง
“แลนด์มาร์ค ที่สำคัญของ ปักกิ่ง คืออะไร?
ตั้งแต่วันที่แลนดิ้ง ลงยังเมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีน
คำถามนี้ ก็ดังในใจผมมาตลอด …”
ปักกิ่ง นับเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
ประวัติศาสตร์ของอารยธรรมโบราณหลายพันปี
ซึ่งล้ำสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ได้ถูกรักษาให้คงอยู่ เหนือกาลเวลา
ไม่ว่าจะผ่านกี่ยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลง
รากฐานทางสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อมา ก็ยังคงอยู่
ให้เราได้ ออกเดินทางเพื่อเรียนรู้ ท่องเที่ยวไปกับประวัติศาสตร์
เก็บบันทึกช่วงเวลาของการเดินทาง
แล้วบอกเล่าเรื่องราวต่อไป
__________________________________________________________________________
ตอนที่ 1: บันทึกการเดินทางเที่ยวพระราชวังฤดูร้อน
https://ppantip.com/topic/39628881
ตอนที่ 2: บันทึกการเดินทางท่องเที่ยวกำแพงเมืองจีน ซือหม่าไท่
https://ppantip.com/topic/39658054
___________________________________________________________________________
ยินดีทักทายพูดคุยกันต่อได้ที่
https://www.facebook.com/thecrosscutting/
ขอบคุณพันทิปและเพื่อนๆ ทุกคนครับ
ติดตามชมรูปแบบวีดีโอได้ตามนี้ครับ
ตอนที่ 1:บันทึกการเดินทางเที่ยวพระราชวังฤดูร้อน
ตอนที่ 2: บันทึกการเดินทางท่องเที่ยวกำแพงเมืองจีน ซือหม่าไท่
ตอนที่ 3: บันทึกการเดินทางพระราชวังต้องห้าม
หลังจากที่ได้เดินทางไปเยี่ยมชมกำแพงเมืองจีนด่านซือหม่าไท่
และพระราชวังฤดูร้อนมาแล้ว
วันนี้ พวกเราได้เดินทางมายังสถานที่ซึ่งถูกเรียกว่า Forbidden City
หรือ พระราชวังต้องห้าม
ขอบคุณภาพจาก CCTV Channel 1
ว่ากันว่า จตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งอยู่บริเวณด้านหน้าของพระราชวังนั้น
คือ บริเวณที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองมากที่สุดของจีน
จัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ เป็นพื้นที่ซึ่งได้ผ่านเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของจีนมามากมาย
หนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญนั้นคือ วันสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน
ในวันที่ 1 ตุลาคม ปี 1949 โดยท่านประธานเหมา เจ๋อตุง
ซึ่งนับเป็นการนำพาชาติจีนให้หลุดพ้น จากศตวรรษแห่งความอัปยศอดสู
จากร้อยปีแห่งความไม่เท่าเทียม และการล่าอาณานิคมทั้งจากมหาอำนาจตะวันตก
และญี่ปุ่น รวมทั้งความขัดแย้งภายใน สู่ความสงบและมั่นคงของชาติ
ผ่านมาแล้ว 70 ปี จากการเป็นชาติที่โดดเดี่ยว สู่การเป็นหนึ่งในประเทศที่มั่งคั่งที่สุดในโลก
ดั่งสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ซึ่งกล่าวไว้
“
วันนี้ สังคมนิยมจีนได้ตั้งตระหง่านอย่างมั่นคงในโลกตะวันออก
จะไม่มีพละกำลังใดที่จะสั่นคลอนสถานะของชาติจีนอันยิ่งใหญ่
จะไม่มีพละกำลังใดที่จะสกัดกั้นประชาชาติจีนให้ก้าวย่างไปข้างหน้า”
ชื่อ เทียนอันเหมิน อาจแปลได้ว่า ประตูแห่งความผาสุกจากสวรรค์
ได้ถูกสร้างเริ่มแรก เมื่อปี ค.ศ. 1417 ในสมัยราชวงศ์หมิงมีชื่อเดิมว่า
"เฉิงเทียนเหมิน"
ต่อมาในปี ค.ศ. 1651 รัชสมัยของ สมเด็จพระจักรพรรดิซุ่นจื้อ แห่งราชวงศ์ชิง
ทรงโปรดฯให้มีการบูรณะขึ้นใหม่ และเปลี่ยนชื่อเป็น
"เทียนอันเหมิน" นับแต่นั้นมา
จัตุรัสเทียนอันเหมินนับเป็นจัตุรัสใจกลางเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
มีพื้นที่ทั้งสิ้น 440,000 ตารางเมตร สามารถจุผู้คนได้มากถึง 1,000,000 คน
ตรงกลางกำแพง เป็นรูปภาพขนาดใหญ่ของประธานเหมา เจ๋อตุง
ด้านข้างสองฝั่ง มีคำขวัญเขียนว่า
สาธารณรัฐประชาชนจีนจงเจริญ และ ความสามัคคีประชาชนทั่วโลกจงเจริญ
จากประตูเทียนอันเหมิน เดินตรงเข้าไป จะเป็นบริเวณด้านในพระราชวังต้องห้าม
หรือ พระราชวังกู้กง
พระราชวังที่สำคัญและมีชื่อเสียงที่สุดของจีน มีอายุกว่า 600 ปี
เคยเป็นที่ประทับของฮ่องเต้ ทั้งจากราชวงศ์หมิง และราชวงศ์ชิง รวมกว่า 24 พระองค์
ในอดีต พระราชวังแห่งนี้ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้า
จึงได้ชื่อว่า พระราชวังต้องห้าม
แต่หลังจากจีนประกาศสถาปนาชาติ และเปลี่ยนการปกครองมาเป็นระบอบสาธารณรัฐ
จึงได้เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมความงามและความยิ่งใหญ่ของพระราชวังแห่งนี้ในรูปแบบของ
พิพิธภัณฑ์พระราชวัง (Palace Museum) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 เป็นต้นมา
เมื่อได้เดินเข้ามา ผมก็รู้สึกทึ่งถึงความอลังการ ใหญ่โต
โดยเฉพาะบริเวณโถ่งกว้าง หน้าพระตำหนักไท่เหอเตี้ยน
ซึ่งเป็นตำหนักที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของพระราชวังต้องห้าม
และยังเป็นสถาปัตยกรรมโครงสร้างไม้ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาพระตำหนักของจีน
โดยด้านในห้องโถงยังเป็นที่ประทับขององค์จักรพรรดิในการว่าราชการ
พระราชวังโบราณแห่งนี้ ถูกก่อสร้างขึ้นในรัชสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อ
แห่งราชวงศ์หมิง ช่วงปี ค.ศ 1406 แล้วเสร็จในปี 1420
โดยใช้เวลาสร้างกว่า 14 ปี กับแรงงานก่อนสร้างราว 1 ล้านคน
และใช้ช่างฝีมือกว่าหนึ่งแสนคน อีกทั้งนำวัสดุในการก่อสร้างชั้นดีมาจากทั่วสารทิศของจีน
จนกลายมาเป็นพระราชวังต้องห้ามอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ในที่สุด
ภายในพระราชวังแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ “วังหน้า”
หรือเป็นเขตที่จักรพรรดิออกว่าราชการ
และ “วังใน” เป็นเขตที่พักของเหล่าสนมนางใน
ซึ่งประกอบไปด้วยพระตำหนัก พระที่นั่ง ท้องพระโรง
และสวนต่างๆ หลายแห่ง
เฉกเช่นเดียวกับทุกสรรพสิ่ง ที่เป็นไปตามวัฐจักรเวลา
พระราชวังต้องห้ามมีจุดเริ่มต้น ขึ้นสู่ยุครุ่งเรืองสูงสุด
และปิดฉากสิ้นสุดการทำหน้าที่พระราชวัง
ไปพร้อมกับการล่มสลายของราชวงศ์ชิง
นับตั้งแต่เกิดการปฏิวัติซินไฮ่ ในปี 1911
นำไปสู่การสละราชสมบัติ ของจักรพรรดิผู่อี๋
จักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์ชิง
ก่อนการเปลี่ยนระบอบการปกครอง เป็นสาธารณรัฐของจีน
จนในที่สุดเมื่อฝ่ายสาธารณรัฐได้ปกครองปักกิ่งแล้ว จักรพรรดิผู่อี๋
ถูกขับออกจากพระราชวังต้องห้าม ในปี 1924
และในปีต่อมา พระราชวังต้องห้าม ได้ถูกเปลี่ยนสถานะไปสู่บทบาทของ
พิพิธภัณฑ์พระราชวัง หรือ Palace Museum
โดยในปี 1987 พิพิธภัณฑ์พระราชวัง ก็ได้รับการประกาศ
ให้เป็นสมบัติด้านวัฒนธรรมที่สำคัญของโลก จาก Unesco World Heritage
หากใครได้มาเยือนกรุงปักกิ่งแล้ว
คงยากที่จะพลาดการเข้าชมพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้
โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นคนที่ชอบในเรื่องราวของประวัติศาสตร์
ศิลปะ วัฒนธรรม และการถ่ายภาพแล้วละก็ คุณต้องเผื่อเวลามาที่นี่
อย่างน้อยๆ ครึ่งวันเลยนะครับ
เพราะคุณจะเพลิดเพลินไปกับงานศิลปะตกแต่งที่เก่าแก่
ตามพระตำหนักต่างๆ และการจัดสวนสวยๆ แบบดั้งเดิม
ไม่ว่าจะมองไปมุมไหน ก็มีเรื่องราวให้ได้คิด
ได้จินตนาการถึงประวัติศาสตร์ในอดีต จนเพลินเลยละครับ
ทางด้านทิศเหนือ ฝั่งตรงข้ามของพระราชวังต้องห้าม จะมีสวนขนาดใหญ่ตั้งอยู่
ชื่อว่า จิ่งซาน พาร์ค สวนแห่งนี้มีจุดเด่นคือ เนินเขาสูง 5 ยอด
แต่เนินเขาเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาตินะครับ
เป็นเนินเขาที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยของจักรพรรดิหย่งเล่อ แห่งราชวงศ์หมิง
เช่นเดียวกับพระราชวังต้องห้าม
สำหรับการสร้างเขาจิ่งซานนี้ ก็เพื่อเป็นไปตามหลักฮวงจุ้ย
ให้เนินเขาตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของพระราชวังต้องห้าม
นอกจากนี้ เขาจิ่งซานยังช่วยป้องกันกระแสลมเหนือที่มาพร้อมกับความหนาวเย็นสู่พระราชวังอีกด้วย
บนยอดเขาแต่ละยอดก็จะมีศาลาสร้างไว้ สามารถนั่งพักผ่อน ขณะที่เดินเล่นชมวิวได้
และยังเป็นจุดถ่ายรูปพระราชวังต้องห้ามจากมุมบนที่สวยมากๆ
เป็นอีกสถานที่แนะนำนะครับ ถ้ายังไม่เหนื่อยจากการเดินในพระราชวังต้องห้าม มาต่อที่นี่ได้เลย
(ตามต่อเนื้อหาส่วนที่ 2 ใน Comment ด้านล่างครับ)
บันทึกการเดินทางเที่ยวพระราชวังต้องห้าม: The Forbidden City Beijing China
ชาติจีนได้สร้างคุณูปการ ต่ออารยธรรมและความก้าวหน้าแห่งมนุษยชาติ
ซึ่งไม่มีวันที่จะถูกลบเลือน”
- ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง
“แลนด์มาร์ค ที่สำคัญของ ปักกิ่ง คืออะไร?
ตั้งแต่วันที่แลนดิ้ง ลงยังเมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาชนจีน
คำถามนี้ ก็ดังในใจผมมาตลอด …”
ปักกิ่ง นับเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
ประวัติศาสตร์ของอารยธรรมโบราณหลายพันปี
ซึ่งล้ำสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ได้ถูกรักษาให้คงอยู่ เหนือกาลเวลา
ไม่ว่าจะผ่านกี่ยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลง
รากฐานทางสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อมา ก็ยังคงอยู่
ให้เราได้ ออกเดินทางเพื่อเรียนรู้ ท่องเที่ยวไปกับประวัติศาสตร์
เก็บบันทึกช่วงเวลาของการเดินทาง
แล้วบอกเล่าเรื่องราวต่อไป
__________________________________________________________________________
ตอนที่ 1: บันทึกการเดินทางเที่ยวพระราชวังฤดูร้อน https://ppantip.com/topic/39628881
ตอนที่ 2: บันทึกการเดินทางท่องเที่ยวกำแพงเมืองจีน ซือหม่าไท่ https://ppantip.com/topic/39658054
___________________________________________________________________________
ยินดีทักทายพูดคุยกันต่อได้ที่https://www.facebook.com/thecrosscutting/
ขอบคุณพันทิปและเพื่อนๆ ทุกคนครับ
ติดตามชมรูปแบบวีดีโอได้ตามนี้ครับ
ตอนที่ 1:บันทึกการเดินทางเที่ยวพระราชวังฤดูร้อน
ตอนที่ 2: บันทึกการเดินทางท่องเที่ยวกำแพงเมืองจีน ซือหม่าไท่
ตอนที่ 3: บันทึกการเดินทางพระราชวังต้องห้าม
หลังจากที่ได้เดินทางไปเยี่ยมชมกำแพงเมืองจีนด่านซือหม่าไท่
และพระราชวังฤดูร้อนมาแล้ว
วันนี้ พวกเราได้เดินทางมายังสถานที่ซึ่งถูกเรียกว่า Forbidden City
หรือ พระราชวังต้องห้าม
ขอบคุณภาพจาก CCTV Channel 1
ว่ากันว่า จตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งอยู่บริเวณด้านหน้าของพระราชวังนั้น
คือ บริเวณที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองมากที่สุดของจีน
จัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ เป็นพื้นที่ซึ่งได้ผ่านเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ของจีนมามากมาย
หนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญนั้นคือ วันสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน
ในวันที่ 1 ตุลาคม ปี 1949 โดยท่านประธานเหมา เจ๋อตุง
ซึ่งนับเป็นการนำพาชาติจีนให้หลุดพ้น จากศตวรรษแห่งความอัปยศอดสู
จากร้อยปีแห่งความไม่เท่าเทียม และการล่าอาณานิคมทั้งจากมหาอำนาจตะวันตก
และญี่ปุ่น รวมทั้งความขัดแย้งภายใน สู่ความสงบและมั่นคงของชาติ
ผ่านมาแล้ว 70 ปี จากการเป็นชาติที่โดดเดี่ยว สู่การเป็นหนึ่งในประเทศที่มั่งคั่งที่สุดในโลก
ดั่งสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ซึ่งกล่าวไว้
“วันนี้ สังคมนิยมจีนได้ตั้งตระหง่านอย่างมั่นคงในโลกตะวันออก
จะไม่มีพละกำลังใดที่จะสั่นคลอนสถานะของชาติจีนอันยิ่งใหญ่
จะไม่มีพละกำลังใดที่จะสกัดกั้นประชาชาติจีนให้ก้าวย่างไปข้างหน้า”
ชื่อ เทียนอันเหมิน อาจแปลได้ว่า ประตูแห่งความผาสุกจากสวรรค์
ได้ถูกสร้างเริ่มแรก เมื่อปี ค.ศ. 1417 ในสมัยราชวงศ์หมิงมีชื่อเดิมว่า
"เฉิงเทียนเหมิน"
ต่อมาในปี ค.ศ. 1651 รัชสมัยของ สมเด็จพระจักรพรรดิซุ่นจื้อ แห่งราชวงศ์ชิง
ทรงโปรดฯให้มีการบูรณะขึ้นใหม่ และเปลี่ยนชื่อเป็น
"เทียนอันเหมิน" นับแต่นั้นมา
จัตุรัสเทียนอันเหมินนับเป็นจัตุรัสใจกลางเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
มีพื้นที่ทั้งสิ้น 440,000 ตารางเมตร สามารถจุผู้คนได้มากถึง 1,000,000 คน
ตรงกลางกำแพง เป็นรูปภาพขนาดใหญ่ของประธานเหมา เจ๋อตุง
ด้านข้างสองฝั่ง มีคำขวัญเขียนว่า
สาธารณรัฐประชาชนจีนจงเจริญ และ ความสามัคคีประชาชนทั่วโลกจงเจริญ
จากประตูเทียนอันเหมิน เดินตรงเข้าไป จะเป็นบริเวณด้านในพระราชวังต้องห้าม
หรือ พระราชวังกู้กง
พระราชวังที่สำคัญและมีชื่อเสียงที่สุดของจีน มีอายุกว่า 600 ปี
เคยเป็นที่ประทับของฮ่องเต้ ทั้งจากราชวงศ์หมิง และราชวงศ์ชิง รวมกว่า 24 พระองค์
ในอดีต พระราชวังแห่งนี้ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้า
จึงได้ชื่อว่า พระราชวังต้องห้าม
แต่หลังจากจีนประกาศสถาปนาชาติ และเปลี่ยนการปกครองมาเป็นระบอบสาธารณรัฐ
จึงได้เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมความงามและความยิ่งใหญ่ของพระราชวังแห่งนี้ในรูปแบบของ
พิพิธภัณฑ์พระราชวัง (Palace Museum) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 เป็นต้นมา
เมื่อได้เดินเข้ามา ผมก็รู้สึกทึ่งถึงความอลังการ ใหญ่โต
โดยเฉพาะบริเวณโถ่งกว้าง หน้าพระตำหนักไท่เหอเตี้ยน
ซึ่งเป็นตำหนักที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของพระราชวังต้องห้าม
และยังเป็นสถาปัตยกรรมโครงสร้างไม้ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาพระตำหนักของจีน
โดยด้านในห้องโถงยังเป็นที่ประทับขององค์จักรพรรดิในการว่าราชการ
พระราชวังโบราณแห่งนี้ ถูกก่อสร้างขึ้นในรัชสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อ
แห่งราชวงศ์หมิง ช่วงปี ค.ศ 1406 แล้วเสร็จในปี 1420
โดยใช้เวลาสร้างกว่า 14 ปี กับแรงงานก่อนสร้างราว 1 ล้านคน
และใช้ช่างฝีมือกว่าหนึ่งแสนคน อีกทั้งนำวัสดุในการก่อสร้างชั้นดีมาจากทั่วสารทิศของจีน
จนกลายมาเป็นพระราชวังต้องห้ามอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ในที่สุด
ภายในพระราชวังแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ “วังหน้า”
หรือเป็นเขตที่จักรพรรดิออกว่าราชการ
และ “วังใน” เป็นเขตที่พักของเหล่าสนมนางใน
ซึ่งประกอบไปด้วยพระตำหนัก พระที่นั่ง ท้องพระโรง
และสวนต่างๆ หลายแห่ง
เฉกเช่นเดียวกับทุกสรรพสิ่ง ที่เป็นไปตามวัฐจักรเวลา
พระราชวังต้องห้ามมีจุดเริ่มต้น ขึ้นสู่ยุครุ่งเรืองสูงสุด
และปิดฉากสิ้นสุดการทำหน้าที่พระราชวัง
ไปพร้อมกับการล่มสลายของราชวงศ์ชิง
นับตั้งแต่เกิดการปฏิวัติซินไฮ่ ในปี 1911
นำไปสู่การสละราชสมบัติ ของจักรพรรดิผู่อี๋
จักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์ชิง
ก่อนการเปลี่ยนระบอบการปกครอง เป็นสาธารณรัฐของจีน
จนในที่สุดเมื่อฝ่ายสาธารณรัฐได้ปกครองปักกิ่งแล้ว จักรพรรดิผู่อี๋
ถูกขับออกจากพระราชวังต้องห้าม ในปี 1924
และในปีต่อมา พระราชวังต้องห้าม ได้ถูกเปลี่ยนสถานะไปสู่บทบาทของ
พิพิธภัณฑ์พระราชวัง หรือ Palace Museum
โดยในปี 1987 พิพิธภัณฑ์พระราชวัง ก็ได้รับการประกาศ
ให้เป็นสมบัติด้านวัฒนธรรมที่สำคัญของโลก จาก Unesco World Heritage
หากใครได้มาเยือนกรุงปักกิ่งแล้ว
คงยากที่จะพลาดการเข้าชมพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้
โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นคนที่ชอบในเรื่องราวของประวัติศาสตร์
ศิลปะ วัฒนธรรม และการถ่ายภาพแล้วละก็ คุณต้องเผื่อเวลามาที่นี่
อย่างน้อยๆ ครึ่งวันเลยนะครับ
เพราะคุณจะเพลิดเพลินไปกับงานศิลปะตกแต่งที่เก่าแก่
ตามพระตำหนักต่างๆ และการจัดสวนสวยๆ แบบดั้งเดิม
ไม่ว่าจะมองไปมุมไหน ก็มีเรื่องราวให้ได้คิด
ได้จินตนาการถึงประวัติศาสตร์ในอดีต จนเพลินเลยละครับ
ทางด้านทิศเหนือ ฝั่งตรงข้ามของพระราชวังต้องห้าม จะมีสวนขนาดใหญ่ตั้งอยู่
ชื่อว่า จิ่งซาน พาร์ค สวนแห่งนี้มีจุดเด่นคือ เนินเขาสูง 5 ยอด
แต่เนินเขาเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาตินะครับ
เป็นเนินเขาที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยของจักรพรรดิหย่งเล่อ แห่งราชวงศ์หมิง
เช่นเดียวกับพระราชวังต้องห้าม
สำหรับการสร้างเขาจิ่งซานนี้ ก็เพื่อเป็นไปตามหลักฮวงจุ้ย
ให้เนินเขาตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของพระราชวังต้องห้าม
นอกจากนี้ เขาจิ่งซานยังช่วยป้องกันกระแสลมเหนือที่มาพร้อมกับความหนาวเย็นสู่พระราชวังอีกด้วย
บนยอดเขาแต่ละยอดก็จะมีศาลาสร้างไว้ สามารถนั่งพักผ่อน ขณะที่เดินเล่นชมวิวได้
และยังเป็นจุดถ่ายรูปพระราชวังต้องห้ามจากมุมบนที่สวยมากๆ
เป็นอีกสถานที่แนะนำนะครับ ถ้ายังไม่เหนื่อยจากการเดินในพระราชวังต้องห้าม มาต่อที่นี่ได้เลย
(ตามต่อเนื้อหาส่วนที่ 2 ใน Comment ด้านล่างครับ)